บทที่ 919 ลงมือต่อสู้กันหนักหน่วง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 919 ลงมือต่อสู้กันหนักหน่วง

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ตรัสถามว่า: “ท่านอุปราช ท่านว่าอย่างไร?”

หนานกงเย่มองไปยังราชครูจวิน: “เห็นแก่ที่ท่านอายุมากแล้ว รับใช้จักรพรรดิมาถึงสามพระองค์และเคยสร้างผลงานต่อองค์ชายสาม วันนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับท่านจึงละเว้นต่อท่าน”

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทอดพระเนตรยังเบื้องล่าง จากนั้นราชครูจวินก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา: “เจ้ากล้าลบหลูเบื้องสูง ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่นี่มีหรือที่ข้าจะให้เจ้ามาละเว้นข้า ฝ่าบาท……กระหม่อมไม่สามารถรับใช้ฝ่าบาทได้แล้ว กระหม่อมยอมตายเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์”

ราชครูจวินกล่าวอยู่ก็พุ่งชนไปทางเสาแต่ไม่มีผู้ใดทั้งบุ๋นบู๊ขัดขวาง องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงตรัสก็ไร้ประโยชน์ ราชครูจวินชนเข้ากับเสาลายมังกรจากนั้นคนก็ล้มลงบนพื้น

ขุนนางบุ๋นและบู๊คุกเข่าลงทีละคนๆ จากนั้นองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงลุกขึ้นแล้วจากไปพร้อมกับอวิ่นหลัวฉวน

หนานกงเย่ มองไปยังราชครูจวินบนพื้นแล้วสั่งให้คนนำตัวเขาออกไป

ตำหนักเฟิงอี๋

ราชครูจวินค่อยๆลืมตาขึ้น หมอประจำจวนโจวรีบเร่งช่วยชีวิตเขา ราชครูจวินหายใจพะงาบๆแล้วมองไปยังหนานกงเย่ที่กุมมือของเขา เขายิ้ม: “สิ่งที่ข้าสามารถทำได้มีเพียงแค่นี้แล้ว ข้าแก่เฒ่าแล้วช่วยอ๋องเย่ไม่ได้แล้ว แต่ข้าดูไม่ผิด อ๋องเย่เป็นเสือที่ดุร้าย เสือดุร้ายลงจากเขาจะต้องทำร้ายผู้คน!”

หนานกงเย่หัวเราะ: “ข้าขอขอบคุณท่านราชครูที่ส่งเสริม”

“ข้าทำเพื่อฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงยืนยาวของเมืองต้าเหลียง ตอนนี้ห้าแคว้นเผชิญหน้ากันสามฝ่าย หลิงอวิ๋นเซวียนเหอไม่สามารถปฏิบัติดีด้วยได้ เดิมทีเขาก็เป็นกบฏแล้วเมืองต้าเหลียงจะให้เขาอยู่อย่างสงบสุขยาวนานได้หรือ?ความแค้น……ก็เป็นความแค้นตลอดกาล!

ซูมู่ไห่แห่งปีกใต้เป็นหายนะอันแท้จริง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้กองกำลังอันแข็งแกร่งแห่งปีกใต้ของเขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตีตั้งนานแล้ว

แม้ว่าอู๋โยวจะไม่ได้แปลกใจแต่กลับได้รับเงื่อนไขเป็นพิเศษ หากว่าเขาไร้สมองเข้าข้างผู้ใดแล้วเมืองต้าเหลียงของเราจะไม่ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วหรือ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมืองต้าเหลียงเราจะนั่งรอความตายได้อย่างไร!

เช่นนี้ในวันนี้เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ทางเดินก้าวนี้ช้าหรือเร็วก็ต้องเดินข้าเพียงแค่รู้สึกว่าอ๋องเย่ควรจะดีใจที่พระชายากลับมาแล้ว หากไม่ใช่พระชายาใต้หล้านี้ก็อาจจะไม่สามารถต่อสู้ไปได้”

ราชครูจวินหายใจอ่อนแรงส่วนหนานกงเย่พยักหน้า

ราชครูจวินมองไปยังองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้: “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ไหวแล้ว หลังจากที่กระหม่อมตายแล้วอย่าได้ทรงมีพระเมตตา จะต้องทรงตัดรากถอนโคนตระกูลของกระหม่อมเพื่อมิให้สร้างปัญหาในภายภาคหน้า ฆ่าล้างทั้งตระกูล……”

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงส่ายพระเศียร: “ไม่ได้ ข้าไม่ได้!”

“อ๋องเย่……” ราชครูจวินใช้แรงบีบมือของหนานกงเย่: “เพื่อราชวงศ์อันยืนยาว!”

หนานกงเย่ก็ไม่ตอบเช่นกันแต่ในขณะที่ทุกคนน้ำตาไหลรินกันผู้คนนอกตำหนักก็ล้มลงกับพื้นทีละคนๆ มีคนเข้าประตูอย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นลมกระโชกแรง

ใบหน้าของหนานกงเย่หมองลงแล้วหันหลังไปมอง เงาของผู้สวมเสื้อสีแดงได้เดินถึงข้างกาย เขาเอื้อมมือออกไปจับร่างของคนผู้นั้นหายไปอย่างคล่องแคล่วพร้อมหันออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นราชครูจวินก็หายไปแล้ว

หนานกงเย่ลุกขึ้นในทันทีแล้ววิ่งไล่ตามออกไปด้านนอก เงาร่างของคนผู้นั้นก็ได้หายไปเสียแล้ว

“พวกเจ้า ปิดประตูลงกลอนวังหลวง” หนานกงเย่สั่งปิดกั้นวังหลวงเพื่อจับมือสังหารในวัง

คนจากนอกวังรายงานว่าจวนราชครูเกิดไฟไหม้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ไม่รอดชีวิตเลยแม่แต่คนเดียว

หนานกงเย่กัดฟันแล้วมองย้อนกลับไปยังองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงตรัสว่า: “ข้าไม่รู้เรื่องนี้”

ภายในคืนเดียวจวนราชครูอันโอ่อ่าไม่มีเหลือ ราชครูทำให้ท่านอุปราชโกรธเคืองและจบลงโดยไม่เหลือซากได้กลายเป็นข้าราชบริพารผู้ซื่อสัตย์เพียงคนเดียวของเมืองต้าเหลียงที่ถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล

ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนอยู่ในอันตราย ตั้งแต่เริ่มแรกที่ไม่สนับสนุนการทำสงครามกระทั่งถึงให้คำแนะนำกันอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเมืองต้าเหลียงได้เตรียมตัวออกรบอยู่ตอดเวลา

เฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับไปถึงแคว้นเฟิ่งก็ได้ช่วยรักษาเสนาบดี

เอ๋าชิงและคนอื่นๆก็ขอให้ยุติการหมั้นของหนานกงเย่เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ทั่วทุกสารทิศราษฎรทุกข์ยากลำบาก

อู๋โยว ปีกใต้ หลิงอวิ๋นก็ได้ส่งทูตมาขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วย

ชั่วขณะหนึ่งแคว้นเฟิ่งได้กลายเป็นสนามแข่งขันอีกสนามหนึ่ง

เฟิ่งหลิงอวิ๋นลุกขึ้นจากที่ประทับหงส์ รวบเสื้อคลุมหงส์บนร่างกายจากนั้นลุกขึ้นเหยียดแขนให้คนจัดความเรียบร้อยให้พระนาง เอ๋าชิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งโดยได้รายงานเรื่องราวทุกอย่างแล้วมองไปยังใบหน้าเล็กอันงดงามแท้จริงของเฟิ่งหลิงอวิ๋นและรอพระนางกล่าวคำพูดขึ้น

อีกฝั่งหนึ่งอีกผู้หนึ่งซึ่งลุกขึ้นตามจากที่ประทับหงส์

หนานกงอวิ๋นเยียนเหลือบมองเอ๋าชิง จากนั้นเดินไปฝั่งหนึ่งแล้วยกมือขึ้นทำเช่นเดียวกันไม่มีผิด ส่งร่างของนางให้กับนางกำนัลในวังนางกำนัลก็รีบจัดความเรียบร้อยให้นาง

“เรื่องถอนการหมั้นนั้นไม่ต้องกล่าวถึง หากว่าเสด็จแม่และเสด็จพ่อรู้สึกว่าไม่หมาะสมในเวลานี้ก็จะกลับมาเป็นแน่ ในเมื่อไม่ได้กลับมาก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวางในเรื่องนี้

ใต้หล้าแตกแยกเป็นเวลานานก็จะรวมสมาน รวมสมานกันเป็นเวลานานก็จะแตกแยก นี่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ บัดนี้ห้าแคว้นสามเส้นทางดูราวกับสงบสุขแต่ว่าผ่านไปอีกสิบปีก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

หนานกงเย่ต้องการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้วเอ๋าชิงรู้ได้เช่นไรว่าไม่ใช่การเริ่มต้นหล่ะ? ”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่คิดว่าควรสู้รบหากว่าแคว้นเฟิ่งกลายเป็นสถานที่แข่งขันเช่นนั้นองค์รัชทายาทก็คือผู้ที่จะนำหายนะมาสู่บ้านเมืองและราษฎร แล้วไม่กลัวจะเสียชื่อเป็นหมื่นปีหรือ?”

เอ๋าชิงกล่าวอย่างมีวาทศิลป์ ส่วนเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวอย่างเฉยเมยแล้วโบกมือในทันทีเป็นการให้สัญญาณนางกำนัลให้ถอยออกไป นางกำนัลถอยไปอยู่ฝั่งหนึ่ง เฟิ่งหลิงอวิ๋นจัดเสื้อคลุมหงส์บนร่างกายของหนานกงอวิ๋นเยียนด้วยตนเอง หนานกงอวิ๋นเยียนมองลงไปเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า : “เจ้าก็ไม่เด็กแล้วต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เจ้าอาจไม่กระทำได้แต่กระทำไม่เป็นไม่ได้ และเจ้ากระทำได้ต้องเฉลียวฉลาด

ในโลกนี้คนบางคนมักจะชอบอิจฉาผู้ที่งดงามกว่าตนเองอยู่เสมอเกลียดชังกับการไม่ได้สิ่งของมา เจ้าต้องให้คนพวกนั้นรู้อย่างโหดเหี้ยมว่าเจ้าเป็นใคร! แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเจ้าช่างน่ารังเกียจ”

หนานกงอวิ๋นเยียนถามว่า: “เมื่อวานข้าเห็นผู้ที่พบเจอข้าแล้วไม่พอใจอยู่ตลอดผู้นั้น เป็นนางที่ต้องการทำให้ข้าอับอายข้าเพียงแค่ใช้แส้เฆี่ยนนางสักพักเท่านั้นเอง”

“อืม เฆี่ยนได้ดี ไม่ผิด” เฟิ่งหลิงอวิ๋นตบเบาๆที่ใบหน้าเล็กของหนานกงอวิ๋นเยียน นางให้กำเนิดเองไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชอบทั้งนั้น แม้ว่านางจะสูงพอๆกับลูกสาวทว่าดูไปแล้วอ่อนเยาว์กว่าแต่ก็อดที่จะชื่นชอบไม่ได้

หนานกงอวิ๋นเยียนเผยอริมฝีปากขึ้นอย่างได้ใจ

นางเหลือบมองเอ๋าชิงซึ่งเนื่องด้วยเรื่องนี้เมื่อวานเอ๋าชิงได้สอนบทเรียนให้กับนางแล้ว

เอ๋าชิงดูออกว่าหนานกงอวิ๋นเยียนได้ใจจึงกล่าวว่า: “มู่เหอเป็นแม่ทัพน้อยของแคว้นเฟิ่งของเรา แม้ว่านางจะอายุสิบสองปีแต่ว่านางนั้นมีความดีความชอบในการรบและได้เคยจัดการโจรนับไม่ถ้วน ท่านแม่ของนางเป็นลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดินีและก็ยังมีความดีความชอบทางการรบ เช่นไรก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง”

“เอ๋าชิงท่านกล่าวเช่นนี้อวิ๋นเอ๋อร์นั้นจะต้องต่ำต้อยกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้นหรือ?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นหันหลังมองไปด้วยสายตาไม่พอใจ

เอ๋าชิงก้มศีรษะลงเล็กน้อย: “กระหม่อมมิกล้า แต่ว่าตอนนี้นางแม่ลูกกุมกำลังทหารมากมายเอาไว้ในมือแล้วจะดูถูกดูแคลนได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นเดินไปยังฝั่งหนึ่งเปิดแขนเสื้อขึ้นแล้วนั่งลง นางกำนัลที่อยู่ข้างๆได้ยกอาหารเช้ามา ส่วนหนานกงอวิ๋นเยียนเดินไปนั่งลงให้คนดูแลปรนนิบัติทานอาหาร

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองที่โต๊ะแล้วกล่าวว่า: “เอ๋าชิงเจ้าก็นั่งลงเถอะ”

เอ๋าชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินไปแล้วนั่งลง

ทั้งสามคนกำลังทานข้าวกันอยู่เฟิ่งหลิงอวิ๋นก็ถามหนานกงอวิ๋นเยียนว่า:“พวกเจ้าลงมือสู้กันอย่างหนักหน่วงด้วยเหตุอันใด?”

“ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรือ?” หนานกงอวิ๋นเยียนเหลือบมองเอ๋าชิงอย่างโกรธจัดโดยที่เอ๋าชิงนั้นจนปัญญา

“กระหม่อมได้รับบุตรบุญธรรมมาเมื่อไม่กี่วันก่อนและได้พบเจอกับอวิ๋นจวิ้นจู่พอดี ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาสนอกสนใจอวิ๋นจวิ้นจู่ยิ่งนักและไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถูกมู่เหอเห็นเข้าได้เช่นไร แต่ไหนแต่ไรมามู่เหอก็ชอบพอเลี่ยเอ๋อร์มาโดยตลอดเนื่องด้วยเรื่องนี้ถึงได้ตามมาหาอวิ๋นจวิ้นจู่แล้วก็ลงมือต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง”