บทที่ 920 แย่งชิงอวิ๋นเลี่ย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 920 แย่งชิงอวิ๋นเลี่ย

เอ๋าชิงปวดหัวกับเรื่องนี้มาก เลี่ยเอ๋อร์มีนิสัยโอหังถือดีมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเหยียดหยามสตรีทุกนาง แต่พอเขาได้พบกับอวิ๋นจวิ้นจู่เพียงครั้งเดียว ไม่กี่วันมานี้ก็บอกแต่ว่าอยากจะเข้าวัง

เดิมทีเอ๋าชิงเตรียมไว้เพื่อเฟิ่งหลิงอวิ๋น ทว่าทั้งสองคนเคยเจอกันแล้วและต่างก็ดูปกติมาก แต่ทำไมจำต้องมาชอบอวิ๋นจวิ้นจู่ด้วย

เฟิ่งหลิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อวิ๋นเลี่ยอายุสิบสามแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่”

หนานกงอวิ๋นเยียนแปลกใจ “เขาชื่ออวิ๋นเลี่ยรึ”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองนางและยิ้มเรียบๆ “อวิ๋นเอ๋อร์คิดว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เขาเทียบกับพี่ๆ ของข้าไม่ได้เลย แต่ข้าคิดว่าเขาชื่อเอ๋าเลี่ยเสียอีก!” หนานกงอวิ๋นเยียนไม่เห็นด้วยที่มันเป็นอย่างนั้น เฟิ่งหลิงอวิ๋นอดยิ้มไม่ได้

“ผู้ชายอย่างท่านพี่ทั้งหลายของเจ้า เกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงมีคนไม่มากนักที่จะมาเทียบได้!”

“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าไม่ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร” หลังจากกินข้าวจนอิ่ม หนานกงอวิ๋นเยียนจึงหยิบแส้และลุกออกไป

ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นคนสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งเดินนำ คนหนึ่งเดินตาม คนที่อยู่ข้างหน้าคืออวิ๋นเลี่ย ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังนางไม่รู้จัก แต่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ติดตามของอวิ๋นเลี่ย

หนานกงอวิ๋นเยียนหยุดชะงัก อวิ๋นเลี่ยเลิกคิวและเหลือบมองนาง เมื่อเข้ามาใกล้จึงก้มลงมองนางและถามว่า “ท่านจะไปข้างนอกหรือ”

“ไม่ได้รึ” หนานกงอวิ๋นเยียนรู้สึกว่าคนผู้นี้น่ารำคาญมากที่มาขวางไม่ให้นางไป

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองทั้งสองคน อวิ๋นเลี่ยเป็นคนที่มีอนาคตไกล เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนอย่างหนานกงเย่จะยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับชายแปลกหน้าหรือไม่

เกรงว่าหนทางข้างหน้าคงจะอีกยาวไกล!

“บังเอิญวันนี้ข้าว่างพอดี หลังจากนี้ข้าจะพาท่านไปเดินเล่นเอง ท่านรอข้าสักครู่ ตัวตั๋ว เจ้าคอยดูจวิ้นจู่อยู่ตรงนี้ก่อน”

ว่าแล้วอวิ๋นเลี่ยจึงเดินไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น เฟิ่งหลิงอวิ๋นเลิกคิ้วมองเขา นางกับเอ๋าชิงบอกกับคนอื่นว่าอวิ๋นเอ๋อร์มาในฐานะแขกของแคว้นเฟิ่ง ดังนั้นอวิ๋นเลี่ยจึงไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของนางกับอวิ๋นเอ๋อร์

อวิ๋นเลี่ยเดินไปยืนตรงหน้าเฟิ่งหลิงอวิ๋นและโค้งคำนับ “คารวะองค์รัชทายาท”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเขา “มีอะไรงั้นหรืออวิ๋นเลี่ย”

“อวิ๋นเลี่ยต้องการพาอวิ๋นจวิ้นจู่ออกไปเดินเล่นขอรับ” อวิ๋นเลี่ยบอกไปตามตรง

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองหนานกงอวิ๋นเยียนที่อยู่หน้าประตู “เกรงว่าคงไม่ได้ อวิ๋นจวิ้นจู่เป็นอุปราชคนสำคัญแห่งเมืองต้าเหลียง คราวนี้ถึงจะบอกว่านางมาที่นี่ในฐานะอาคันตุกะ แต่จริงๆ แล้วนางอยู่ในฐานะหลาน

เวลานี้หนานกงเย่โอหังอวดดี บังคับให้ข้าตกลงเรื่องการหมั้นหมาย ทั่วทุกทิศบนแผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยความโกลาหล ข้าจึงทำได้เพียงเก็บนางไว้ข้างกาย ถ้าเกิดนางหนีขึ้นมาจะเป็นอย่างไรเล่า”

อวิ๋นเลี่ยถามว่า “หากเกิดสงครามขึ้นจริงๆ ล่ะขอรับ”

“เพราะเกิดมาเป็นธิดาของหนานกงเย่ ก็เลยต้องมอบเป็นของแลกเปลี่ยนน่ะหรือ”

เมื่อเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ อวิ๋นเลี่ยจึงหันไปมองหนานกงอวิ๋นเยียนซึ่งยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาลองคิดดู “อวิ๋นเลี่ยรับรองด้วยชีวิตว่าจะพาอวิ๋นจวิ้นจู่กลับมาขอรับ”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ได้!”

อวิ๋นเลี่ยมองเอ๋าชิง “ท่านพ่อขอรับ!”

เอ๋าชิงเหลือบมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น “เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กันอีก”

อวิ๋นเลี่ยหันไปมองหนานกงอวิ๋นเยียนและเดินไปหานาง “ท่านจะไปไหนรึ”

หนานกงอวิ๋นเยียนเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความรักความใคร่เลย นางเหลือบมองอวิ๋นเลี่ยนิดหนึ่ง “ข้าจะไปไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน ท่านยุ่งเรื่องของตัวเองไปก็พอ”

ว่าแล้วหนานกงอวิ๋นเยียนจึงเดินออกไปโดยมีอวิ๋นเลี่ยเดินตามไปด้วย

เอ๋าชิงเป็นกังวลและคิดจะไปหยุดเขา แต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นเรียกเขาไว้ให้อยู่ที่นี่

หนานกงอวิ๋นเยียนออกไปข้างนอกและเดินเล่นอยู่ในพระราชวังเฟิ่ง ที่ด้านหลังมีเฟยอิงติดตามไปด้วย

อวิ๋นเลี่ยเดินไปข้างๆ พวกเขาทั้งสองคน

“อวิ๋นจวิ้นจู่เกิดและเติบโตที่เมืองต้าเหลียง ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างหรือ” อวิ๋นเลี่ยถาม

หนานกงอวิ๋นเยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็เหมือนกับที่นี่นะ ไม่มีอะไรแตกต่าง”

“เป็นไปได้อย่างไร ที่นั่นไม่ใช่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่หรอกหรือ”

หนานกงอวิ๋นเยียนหยุดชะงักและหันไปมองอวิ๋นเลี่ย “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงอะไร”

คำว่าผู้ชายเป็นใหญ่ไม่เคยปรากฏอยู่ในพจนานุกรมของหนานกงอวิ๋นเยียนมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจ

“สิทธิ์ขาดในการปกครองเป็นของผู้ชายไง”

“ท่านพ่อของข้าเป็นใหญ่สุด ที่เหลือข้าไม่รู้” หนานกงอวิ๋นเยียนหันกลับและเดินต่อไป เมื่อเดินมาถึงบ่อน้ำนางจึงจดจ่ออยู่กับปลาคาร์ฟในบ่อ

“อุปราชทุกคนต้องการต่อสู้กับแคว้นเฟิ่ง แน่นอนว่าพูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม” อวิ๋นเลี่ยยืนข้างๆ และขยับเข้าไปใกล้ชิดหนานกงอวิ๋นเยียน เขาไม่ได้มองปลา แต่มองนาง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มองอะไรก็ชอบไปหมด

หนานกงอวิ๋นเยียนเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปที่อื่นต่อ

ทั้งสองเดินเล่นกันตลอดช่วงเช้า เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน อวิ๋นเลี่ยจึงชวนหนานกงอวิ๋นเยียนไปด้วยกัน ซึ่งนางก็ตามเขาไป

ตำหนักของเอ๋าชิงอยู่ในวัง อวิ๋นเลี่ยก็อาศัยอยู่ในวังและมีเรือนเป็นของตัวเองเช่นกัน เมื่อกลับมาถึงเรือนเขาจึงสั่งให้คนไปเตรียมอาหารกลางวัน ซึ่งทั้งหมดเป็นอาหารรสชาติอ่อนๆ หนานกงอวิ๋นเยียนคุ้นเคยกับอาหารเหล่านี้เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารของเมืองต้าเหลียง

หลังจากกินอาหารกลางวันแล้วจึงเตรียมจะกลับออกไป มู่เหอมาหาในวังและพบกับหนานกงอวิ๋นเยียนเข้าพอดีจึงลงไม้ลงมือ

อวิ๋นเลี่ยเกือบจะฟาดผู้มาใหม่ขณะปกป้องหนานกงอวิ๋นเยียน ทั้งสามเอะอะวุ่นวายและไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น

ปกติมู่เหอเป็นก้าวร้าวอวดดีอยู่แล้ว นางถือดาบบุกเข้าไปในตำหนักของเฟิ่งหลิงอวิ๋น ซึ่งเฟิ่งหลิงอวิ๋นกำลังอ่านข้อราชการอยู่

ข้างหลังนางคืออวิ๋นเลี่ยและหนานกงอวิ๋นเยียน

เมื่อทั้งสามคนเข้ามาก็ได้ยินมู่เหอพูดว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันอยากจะตีคนเพคะ!”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองหนานกงอวิ๋นเยียน นางเดินไพล่หลังเข้ามาเป็นคนท้ายสุดและดูเหมือนจะสบายดี ทว่าอวิ๋นเลี่ยดึงแขนเสื้อนางเอาไว้เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองบุตรีและหันไปมองอวิ๋นเลี่ย ถ้าเป็นความจริงใจจริงๆ ก็คงดี แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ?

“มีเรื่องอะไร”

“กราบทูลองค์รัชทายาท แม่นางผู้นี้ล่อลวงคู่หมั้นของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้โปรดเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ด้วย” คำพูดของมู่เหอเต็มไปด้วยความคับแค้น

เวลาผ่านไปไม่นาน เพื่อจะแย่งชิงอวิ๋นเลี่ย นางไม่เห็นแม้แต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นอยู่ในสายตา แล้วแบบนี้นางจะเห็นจวิ้นจู่จากแคว้นของศัตรูอยู่ในสายตาได้อย่างไร

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองหนานกงอวิ๋นเยียนและถามว่า “อวิ๋นจวิ้นจู่ เจ้าแย่งเขาใช่หรือไม่”

หนานกงอวิ๋นเยียนไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เดิมทีนางไม่เคยหวั่นเกรงฟ้าดินและประมือกับองค์รัชทายาทแห่งต้าเหลียงได้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น

เพียงแต่หนานกงอวิ๋นเยียนไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่เหมือนเมื่อวาน ที่มาถึงก็ใช้กำลังเลย นางจำคำที่ท่านแม่ของนางเคยพูดไว้ได้

“ข้าไม่รู้ว่าใครคือคู่หมั้นของนาง วันนี้ข้าได้รับคำเชิญให้ร่วมทางไปกับอวิ๋นเลี่ย นางมาถึงก็เข้ามาทำร้าย ข้ายังตกใจอยู่เลย”

“…..” อวิ๋นเลี่ยมองนางแต่ไม่พูดอะไร

เฟิ่งหลิงอวิ๋นถามว่า “แล้วเจ้าล่ะว่าอย่างไร”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองอวิ๋นเลี่ย อวิ๋นเลี่ยจึงตอบว่า “อวิ๋นเลี่ยไม่เคยหมั้นกับใคร เป็นแม่ทัพมู่เหอที่เข้าใจผิด”

“อวิ๋นเลี่ย ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่เด็ก ท่านทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร” มู่เหอคำรามอย่างโกรธจัด

แววตาของอวิ๋นเลี่ยเย็นชา “ในเรือนของแม่ทัพมู่เหอมีสามีที่โปรดปรานแล้วมิใช่หรือ คนปรนนิบัติก็มีมิใช่หรือ”

หนานกงอวิ๋นเยียนชะงักงันราวกับได้ค้นพบแผ่นดินใหม่ “ท่านมะ… องค์รัชทายาท…”

หนานกงอวิ๋นเยียนเกือบจะเผลอพูดว่าแม่ออกมาและรีบเปลี่ยนคำพูดทันที นางถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่า “สามีที่โปรดปรานกับคนปรนนิบัติคืออะไรหรือเพคะ”

“…อย่าถามไร้สาระน่ะ” สีหน้าของอวิ๋นเลี่ยดูไม่ดีนัก เขาคว้าข้อมือของหนานกงอวิ๋นเยียนไว้ นางชักมือออกเพราะไม่ชอบให้ใครมาลากจูง

นางเดินไปข้างๆ เฟิ่งหลิงอวิ๋นและนั่งลงโดยไม่สนใจฐานะเรื่องฐานะเลยแม้แต่น้อย

อวิ๋นเลี่ยเหลือบมองเฟิ่งหลิงอวิ๋นอย่างกังวล “อวิ๋นจวิ้นจู่มาจากเมืองต้าเหลียง ข้อปฏิบัติต่างๆ ที่นั่นคงไม่เหมือนกับแคว้นเฟิ่ง อวิ๋นจวิ้นจู่จึงยังไม่คุ้นเคยกับมารยาทในพระราชวังของแคว้นเฟิ่ง”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองอวิ๋นเลี่ยด้วยดวงตาที่เรียบเฉย

มู่เหอกล่าวว่า “อวิ๋นจวิ้นจู่ช่างบังอาจนัก กล้าดีอย่างไรถึงได้หยาบคายเช่นนี้”

“เรื่องอะไรของเจ้า ขนาดพ่อของข้ายังไม่สนใจข้าเลย!” เวลานี้หนานกงอวิ๋นเยียนมีพ่อกับเขาเสียที เฟิ่งหลิงอวิ๋นอดรู้สึกขบขันไม่ได้

ทว่านางเพียงแต่มองดูอย่างสงบ อวิ๋นเลี่ยเอ่ยขึ้นมาว่า “มู่เหอ ท่านช่างหยาบคายนัก!”