บทที่ 921 ส่งจักรพรรดิสองพันลี้สุดท้ายต้องบอกลา

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 918 ส่งจักรพรรดิสองพันลี้สุดท้ายต้องบอกลา

หนานกงอวิ๋นเยียนพลิกตัวขึ้นหลังม้าเพื่อไปหาเสี่ยวเฉียวและต้องการจากไปพร้อมกับเสี่ยวเฉียว

เสี่ยวเฉียวบอกว่า “ท่านแม่ต่างก็รักพวกเราเท่าเทียมกัน เพียงแต่เมื่อก่อนนั้นท่านแม่มักจะเลี้ยงข้าและเลี้ยงเจ้าห้า เมื่อเจ้าเกิดมาท่านแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ท่านแม่จึงอยากจะใช้เวลาอยู่กับเจ้าให้มาก”

หนานกงอวิ๋นเยียนใบหน้าซีด ใบหน้าของนางดูไม่มีความสุขขึ้นมาเลย

เจ้าห้าเดินไปที่ข้างกายของนางและบีบแก้มน้อยๆ ของหนานกงอวิ๋นเยียน “ไม่มีความสุขหรือ?”

“ไม่ใช่ต่างหาก!”

“เช่นนั้นทำไมถึงไม่ยิ้มล่ะ”

“จะยุ่งไปทำไม!”

“……” หนานกงอวิ๋นเยียนไม่ต้องการไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น และติดตามไปเรื่อยๆ

เฟิ่งหลิงอวิ๋นนั่งมองเด็กๆ จากในรถม้าและกล่าวว่า “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าข้าจะมีลูกเยอะเช่นนี้ หากในอนาคตแต่งงานไปและยังให้กำเนิดอีก……”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ข้าไม่อยากให้กำเนิดอีกแล้วในอนาคต”

“ข้าก็คิดว่าพอแล้ว รอให้พวกเขาให้กำเนิด เช่นนั้นแล้วค่อยช่วยพวกเขาเลี้ยงเด็กจะดีกว่า”

“เพคะ”

รถม้าเดินทางโดยหยุดพักเป็นระยะและเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็ว พวกเขาเพียงแค่หยุดพักเพื่อรับประทานอาหารเท่านั้น

ทุกครั้งหนานกงอวิ๋นเยียนมักอยากจะไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น แต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้เรียกให้นางเข้าไป นางจึงไม่กล้าพูดออกมา

เดินทางมาแล้วสิบวัน เมื่อมาถึงเขตชายแดน หนานกงอวิ๋นเยียนยิ่งรู้สึกเสียใจ ในหนึ่งวันนั้นไม่ได้ไปในรถม้าเลย เมื่อท่านพ่อมีท่านแม่อยู่เขาก็ไม่สนใจนางเลย

เจ้าห้าพูดจาเชิงหยอกล้อ “ยังไม่ไปอีก เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ”

“เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!” หนานกงอวิ๋นเยียนดื้อรั้น

จากนั้นเจ้าห้าจึงไม่แกล้งนาง แต่พูดด้วยเหตุผล “อยู่ข้างกายท่านแม่ เจ้าจะต้องเป็นเด็กดี”

“……เชอะ!” มาถึงเขตชายแดนเช่นนี้แล้ว จะไปอยู่ข้างกายท่านแม่ได้อย่างไรดี?

เจ้าห้าและอีกหลายคนพลิกตัวลงจากหลังม้า “ท่านแม่ มาถึงตรงนี้แล้ว เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่ขอไปด้วยแล้ว ขอให้ท่านแม่โชคดีขอรับ!”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นลงมาจากรถม้า จากนั้นมองพวกเขาทีละคนและเดินไปตรงหน้าของเสี่ยวเฉียว “เจ้าก็ไม่เด็กแล้ว หากมีคนที่ชอบก็ตอบตกลงไปเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ขอให้เจ้ามีความสุขเท่านั้นก็ได้แล้ว ท่านพ่อของเจ้าพูดมาแล้วว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ”

เสี่ยวเฉียวตกตะลึง “ท่านแม่!”

“อันที่จริงนั้น เจ้าเป็นลูกบุญธรรมของข้า ไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้ายังต้องเปลี่ยนตำแหน่งสถานะของเจ้าเองถึงจะถูก ท่านพ่อของเจ้าได้หาคนดีๆ ให้กับเจ้าแล้ว เดิมทีเจ้าเป็นคนของเมืองอู๋โยว ถึงแม้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าจะไม่อยู่แล้ว แต่สถานะและตัวตนของเจ้านั้นยังคงอยู่

อีกไม่กี่วัน ท่านพ่อจะจัดการเรื่องนี้ให้กับเจ้า เจ้าห้าก็จะคอยช่วยเหลือเจ้าด้วย!”

เสี่ยวเฉียวหน้าแดงก่ำ “เสี่ยวเฉียวรู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้ แต่……”

“แต่กั๋วจิ้วมีความสามารถมาก และเสี่ยวเฉียวก็ไม่ชอบปืน ดาบและไม้เหล่านั้น และกั๋วจิ้วก็เป็นคนที่ช่างใส่ใจเช่นกัน!”

เสี่ยวเฉียวก้มหน้าลงและใบหน้าแดงก่ำ

เฟิ่งหลิงอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ที่ศีรษะเต็มไปด้วยผมหงอกสีขาว “ข้าไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้มาก ดูแลพวกเขาให้ดี และดูแลให้เองดีดีนพเพคะ”

“เจ้าก็เช่นกัน” หนานกงเย่ได้รับการชดเชยมาบ้างแล้วในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ถึงแม้จะได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่นี้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก

เฟิ่งหลิงอวิ๋นลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งและเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ห้ามฆ่าหรือทารุณกรรมมากเกินไป อนาคตนั้นสำคัญอย่างมาก แต่ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าท่านอ๋องจะมีอนาคตข้างหน้าจริงๆ

คนเรามีเวลาเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปี และชีวิตก็ไม่ได้มีเพียงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อผ่านไปหนึ่งพันปี เช่นนั้นก็ไม่เสมอไปว่าจะมีใครจดจำใครได้!

ท่านอ๋องต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ข้าจะรอวันที่ท่านอ๋องมารับข้า!”

“ข้ารู้” หนานกงเย่ลูบไล้ใบหน้าที่ขาวสะอาดของเฟิ่งหลิงอวิ๋นและมองไปที่หนานกงอวิ๋นเยียน “เจ้าไปกับท่านแม่ มีบางเรื่องที่เจ้ายังติดค้างและยังขาดบางสิ่ง หากในอนาคตเจ้าแต่งงานออกไป นิสัยของเจ้าเช่นนี้ เกรงว่าจะทุกข์ใจและถูกเอาเปรียบได้ ท่านแม่จะไม่ยอมให้เจ้าถูกเอาเปรียบหรือทุกข์ใจได้”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นปล่อยมือออก เมื่อเห็นว่าหนานกงอวิ๋นเยียนรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางไม่ต้องการไปหรอกหรือ!

“ข้าอยากจะไปกับท่านพ่อ!”

“เจ้าอยู่กับเขามาสิบปีแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? เขาสอนเจ้าถึงความดุร้าย ร้ายกาจและชั่วร้ายไปหมดแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ใครยังจะกล้าแต่งงานกับเจ้าอีก?”

“……ใครบอกล่ะ?” หนานกงอวิ๋นเยียนไม่ยอมรับ

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปที่นางและออกคำสั่ง “มานี่เถอะ”

เมื่อพูดจบเฟิ่งหลิงอวิ๋นก็เดินขึ้นรถม้าไป และรอให้หนานกงอวิ๋นเยียนขึ้นรถม้า

หนานกงเย่กัดฟันกรอดและยืนเอามือไพล่หลังไว้ “เชื่อฟังท่านแม่ของเจ้า”

หนานกงอวิ๋นเยียนถาม “เช่นนั้นท่านพ่อล่ะ?”

“พ่อไม่เป็นอะไร”

สองพ่อลูกจ้องตากัน หนานกงอวิ๋นเยียนเช็ดน้ำตาและหันกลับไปเดินขึ้นรถม้า

เมื่อเห็นทั้งสองเข้าไปอยู่ในรถม้าแล้ว หนานกงเย่จึงกล่าวว่า “สามปี ข้าจะต้องไปรับเจ้ากลับมา!”

“ไม่รีบร้อนเพคะ!”

ม่านของรถม้าถูกปล่อยลง เฟิ่งหลิงอวิ๋นบอกให้คนเริ่มออกเดินทาง เจ้าห้าและคนอื่นๆ พูดขึ้นหลังรถม้า “ขอให้ท่านแม่โชคดีขอรับ!”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองหลังรถม้า และมองหนานกงอวิ๋นเยียนที่ร้องไห้ฟูมฟาย “หากเจ้าไม่ต้องการไปกับแม่ เช่นนั้นเจ้าก็ลงไปเสียเถอะ ท่านพ่อของเจ้าก็คงอยากให้เจ้าอยู่ข้างกายของเขาอย่างแน่นอน”

หนานกงอวิ๋นเยียนสูดน้ำมูก แต่ก็ไม่กล้าลงจากรถม้า

เฟิ่งหลิงอวิ๋นแนบพิงไปที่รถม้าและหลับตาลงไม่พูดอะไรอีก

หนานกงอวิ๋นเยียนมองไปภายนอกรถม้า ท่านพ่อและพี่ชายทั้งหลายต่างกำลังมองมาที่นาง

จนไม่สามารถมองเห็นเงาได้อีก หนานกงอวิ๋นเยียนจึงหันกลับเข้ามานั่งในรถม้า จากนั้นก็นอนลงไป โดยไม่พูดอะไร

เฟิ่งหลิงอวิ๋นลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่หนานกงอวิ๋นเยียนก็อดกลั้นเอาไว้ หนานกงเย่ได้พยายามดูแลนางอย่างดีที่สุดจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เชื่อฟังเขาเช่นนี้

ตามนิสัยของเสี่ยวอวิ๋นในตอนนี้ที่หยิ่งผยอง พูดตามหลักเหตุผลแล้วไม่มีใครสามารถจัดการได้ แต่นางก็สามารถเชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อท่านแม่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ เช่นนั้นก็เห็นได้ถึงระดับความเชื่อถือในตัวท่านพ่อท่านแม่ของนาง

อายุของนางในตอนนี้ เป็นช่วงอายุที่ไม่เชื่อฟังและดื้อรั้นที่สุด

แต่วันนี้เป็นเช่นนี้ ก็สามารถบอกถึงความสามารถของหนานกงเย่ได้เป็นอย่างดี

รถม้าเดินทางออกไปไกล หนานกงเย่หันกลับและเดินเข้าไปนั่งในรถม้า และเด็กๆ ข้างกายก็ติดตามกลับไปด้วย

เสี่ยวเฉียวหันกลับไปมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไป

อามู่ถามว่า “ไม่เข้าใจใช่หรือไม่?”

“เข้าใจ”

เสี่ยวเฉียวก็เป็นเด็กฉลาด ทำไมจะไม่เข้าใจ

ต่อจากนี้ไปท่านพ่อจะออกรบไปทั่วทุกทิศ ความกังวลเดียวที่มีก็คืออวิ๋นเอ๋อร์ หากพาติดตัวไปละก็ เกรงว่าจะมีคนใช้อวิ๋นเอ๋อร์ในการข่มขู่ เช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบอย่างมาก แทนที่จะนั่งเฉยๆ เช่นนั้นควรจะตัดสินใจเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า

อวิิ๋นเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่จะปลอดภัยมากที่สุด

อามู่พยักหน้า และออกเดินทางไปพร้อมกัน

หนานกงเย่กลับไปถึงก็เริ่มทำงานเกี่ยวกับการรวบรวม

เรื่องของเฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับถูกเก็บซ่อนไว้อย่างน่าแปลกใจ ในที่สุดก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกไป และหลังจากที่จบงานการชุมนุมกันของห้าอาณาจักร อาณาจักรอื่นทั้งสี่ต่างก็พากันกลับออกไป โดยมีแคว้นเฟิ่งออกเดินทางไปก่อน จากนั้นอีกสามอาณาจักรก็ค่อยๆ ออกเดินทางจากไป

และจุดประสงค์ของทั้งสามอาณาจักรนั้นก็ง่ายดาย ไปแต่งงานที่แคว้นเฟิ่งก่อน จากนั้นใช้นามของการแต่งงานนี้ในการเตรียมต่อสู้

ในทางกลับกัน พวกเขากำลังเตรียมที่จะทำสงครามกับเมืองต้าเหลียง ครั้งนี้เมืองอู๋โยว ปีกใต้และแค้วนหลิงอวิ๋นสามอาณาจักร พร้อมที่จะรวมตัวและทำลายเมืองต้าเหลียงในคราวเดียว

ราชวงศ์ต้าเหลียง

จักรพรรดิเหยี่ยนตี้จูงมือของฮองเฮาอวิ๋นหลัวฉวนปรากฏตัวออกมา ทั้งสองนั่งคู่กันและจักรพรรดิเหยี่ยนตี้ตรัสว่า “ข้าจะไม่เริ่มเปิดศึก แต่สายลับรายงานมาว่า เมืองอู๋โยว ปีกใต้และแคว้นหลิงอวิ๋นได้ร่วมมือกันแล้ว หากเป็นเช่นนี้คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะทำสงคราม หากจะนั่งรอให้พวกเขามาโจมตีพวกเรา ไม่เช่นนั้นเราเริ่มทำการเตรียมตัวเสียก่อนจะดีกว่า”

ราชครูจวินก้มหน้าและผมขาวเต็มศีรษะ เขากล่าวว่า “หากจะจู่โจมอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในตอนนี้ ตามความสามารถของเมืองต้าเหลียงในตอนนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร แต่หากทั้งสามอาณาจักรร่วมมือกัน เช่นนั้นเราจะสูญเสียพ่ะย่ะค่ะ

กระหม่อมคิดเห็นว่า ขอเพียงแค่ท่านอุปราชไม่ฝืนใช้กำลัง หากไม่ทำตัวน่ารังเกียจและยกเลิกการหมั้นหมายกับแคว้นเฟิ่ง เรื่องนี้ก็คงยังพอมีทางรอดพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่ราชครูจวินพูดออกมา เกือบครึ่งของขุนนางข้าราชการในราชสำนักต่างพากันคุกเข่าลง และขอร้องไม่ให้เกิดการสงครามต่อสู้กัน โดยสามารถพูดคุยกันด้วยดีได้ ขอเพียงแค่ท่านอุปราชยอมยกเลิกการหมั้นหมาย

ในสายตาของคนนอกนั้น การแต่งงานเป็นเรื่องที่ท่านอุปราชบังคับขึ้น แคว้นเฟิ่งนั้นนับว่าไม่สามารถทำอะไรได้

ถึงอย่างไรเสีย มกุฎราชกุมารของแคว้นเฟิ่งก็ยังเป็นเด็ก แต่ท่านอุปราชอายุอายุสามสิบสองปีแล้ว