GGS:บทที่ 984 สั่นสะเทือนไปทั้งโลก

ชายหนุ่มและผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมของชาวหนุ่มทำได้เพียงนิ่งอึ้งกันไปหมด
นั่นก็เพราะว่าในพื้นที่คลีนิกพิเศษของซูจิ้งในตอนนี้ ซูจิ้ง ลูฉินหมิง และชายวัยกลางคนสองคนที่กำลังเดินโดยใช้เครื่องช่วยเดิน
ท่าทางของพวกเขานั้นช่างดูยากลำบากราวกับมีอะไรบางอย่างมาทิ่มแทงกล้ามเนื้อในขณะที่เดินจนต้องร้องโอดโอยออกมากันระงม
ทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว ทั้งสองคือผู้ป่วยโรคALSรายที่สองที่ถูกพามาเพื่อให้ซูจิ้งลองใช้วิธีการรักษาของเขาว่าจะได้ผลแค่ไหน

อย่างไรก็ตามชายทั้งสองสมควรจะเป็นอัมพาตทั้งตัวเพราะโรคALSไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงสามารถที่จะเดินได้แบบนี้กันล่ะ
ถึงแม้ว่าพวกเขาในตอนนี้ยังจะเป็นต้องเดินโดยใช้เครื่องช่วยเดินอยู่ ต่อให้พวกเขายังเดินได้อย่างยากลำบาก แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเขานั้นกำลังเดินได้ด้วยตัวเอง
นี่จะเป็นไปได้ยังไงกัน แถมดูจากท่าทีแล้วการรักษานี่เหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเสียด้วย

“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น เขาเป็นผู้ป่วยโรคALS ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาไม่ใช่ผู้ป่วยโรคALSแต่แรกอยู่แล้ว”
“ใครบอกว่าคนที่โดนซูจิ้งทดลองรักษาจะต้องตายสักคนหนึ่งน่ะห้ะ ออกมาแสดงตัวให้เห็นหน้าหน่อยสิ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรหรอก”
“สองคนนี่เป็นคนที่ป่วยเป็นโรคALSจริงๆนี่นา เขาเดินได้ยังไงกัน”
“นี่ทั้งสองคนหายแล้วเหรอ”
“เป็นไปไม่ได้น่า นี่มันโรคALSเลยนะ”
“ถ้าทั้งสองคนนี้หายเดินได้จริง ไม่ใช่หมายความว่าซูจิ้งพบวิธีรักษาโรคALSหรอกเหรอ นี่เขารักษาได้แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเนี่ยนะ”
ในขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงและตื่นเต้นกัน ชายหนุ่มสตรีมเมอร์ไม่ได้สนใจที่จะมีท่าทีตื่นเต้นตามผู้ชมของเขา เขาได้ทำการถ่ายรูปตามที่ฉิวจิงรองขอ
แต่ปัญหาก็คือฉิวจิงนั้นอยากจะเห็นผู้ป่วยโรคALSที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงต่างหาก หากเขาได้รูปนั้นมาจะทำให้ซูจิ้งตกต่ำลงได้ในทันที แต่จากสิ่งที่เห็นนี่ไม่ได้ทำให้ฉิวจิงมีความสุขได้เลยแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มที่ตอนนี้ไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว เขาก็ได้รีบถ่ายรูปแบบขอไปทีอีกชุดหนึ่งก่อนที่จะรีบออกมาแล้วกลับไปยังรถยนต์ของฉิวจิงที่จอดอยู่
เขาเห็นฉิวจิ้งจ้องมองไปยังวิดีโอที่หนุ่มสตรีมมิ่งได้สตรีมทิ้งเอาไว้กรอกลับไปมาดูซ้ำๆ ท่าทางของเขาราวกับเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปานที่ได้เห็นผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนที่กำลังพยายามเดินด้วยขาของตัวเอง

ฉิวจิงได้บ่นพึมพำออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง นี่ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ๆ ฮา…ฮา…ฮา…”
“หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วเรอะ” ชายหนุ่มได้คิดขึ้นมาในทันทีที่เห็นสภาพของฉิวจิง เขาตกใจจนต้องเม้มปากเอาไว้ ในตอนนี้เขาเพียงต้องการเงินที่เหลือเท่านั้นแล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เขาอยากรีบออกให้ห่างจากคนบ้าคนนี้โดยเร็วที่สุด เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันทำทุกอย่างตามที่นายบอกแล้ว นายรีบจ่ายเงินมาซะ”
“นี่ไม่ใช่ภาพอย่างที่ฉันหวังไว้ แกต้องช่วยหมอนั่นประชาสัมพันธ์เรื่องนี้แน่ๆ แล้วอย่างนี้ยังมีน่าที่จะมาเอาเงินจากฉันอีกเหรอ” ฉิวจิงได้จ้องไปยังหนุ่มสตรีมเมอร์ด้วยสายตาที่โหดร้าย
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของฉัน เราตกลงไว้กันแค่ว่าถ่ายรูปผู้ป่วยให้ได้เท่านั้น” ชายหนุ่มพูดถูกข้อตกลงที่ทั้งสองคุยกันไว้ในตอนแรกอย่างอารมณ์เสีย
“อย่าหวังว่าแกจะได้เงินฉันสักแดงเลย ออกไปให้พ้น” ฉิวจิงในตอนนี้ที่กำลังอารมณ์ขึ้นเพราะสิ่งที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คิดได้พูดออกมาอย่างดุร้าย
“ถ้าแกไม่จ่ายเงินมาในวันนี้ฉันก็จะไม่ลงไปไหนเป็นอันขาด” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความโกรธ

หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ปะทะคารมต่อกันอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเปลี่ยนการพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลเป็นพูดคุยกันด้วยหมัดรุ่นๆ
ทั้งสองนั้นสู้กันจนรถโขยกเขยกไปมาจนทำให้คนภายนอกในตอนนี้คิดไปว่าภายในรถกำลังเกิดกิจกรรมที่ร่ำลือกันอยู่
“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แถมเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ผู้ป่วยโรคALSสองคนที่เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนเดินได้แล้ว”

ณ โรงพยาบางฮัวกังจงหยุน หมอคนหนึ่งที่ได้ใช้เวลาว่างในการดูสตรีมต่างๆก็ได้พบการสตรีมของชายหนุ่มสตรีมเมอร์และได้พูดออกมาดังลั่น
ในทันทีที่สิ้นเสียงนี้ ข่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว หลิวเว่ยและหมอคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงกันในทันที ชายสองคนที่เป็นอมพาตที่เกือบจะกลายเป็นมนุษย์ผักไปแล้วกลับสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง
“พระเจ้า เขาสามารถรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทได้จริงๆเหรอ นี่เขาจะเทพไปไหนเนี่ย” หมอคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน” หลิวเว่ยถอนหายใจ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้อยู่บ้างว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดพลาดได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเขานั้นจะทำให้สำเร็จได้เร็วขนาดนี้เหมือนกัน

ดูเหมือนว่าในตอนนั้นที่เขาเคยเห็นซูจิ้งเดินออกมาจากโรงพยาบาลที่ปันฉางอยู่นั่นจะเป็นเขาจริงๆ เป็นเขาเองสินะที่ช่วยปันฉางให้ฟื้นขึ้นมาจากสภาพมนุษย์ผักแบบนั้น

“หมอหวังครับ หมอหวัง มีข่าวดีครับ” หมอวัยกลางคนคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในคลีนิกของหมอหวังกังหยุน
“เกิดอะไรขึ้น” หวังกังหยุนถามออกมา
“ซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนนั่นให้สามารถเดินได้แล้วครับ” หมอวัยกลางคนคนนั้นได้พูดออกมา
“ว่าไงนะ” หวังกังหยุนที่ได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงจนแทบจะปล่อยชาร์จคนไข้ที่ถืออยู่หลุดมือลงพื้นเลยทีเดียว
เขานั้นได้วางแผนที่จะสนับสนุนซูจิ้งไว้แล้วในกรณีที่ซูจิ้งไม่สามารถรักษาโรคALSได้สำเร็จ แต่การกระทำของเขานั้นถือได้ว่าเป็นหมอที่กล้าท้าทายโรคภัยแบบนี้ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก

ต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ในอนาคตย่อมมีโอกาสอีกมาก
ใครจะไปคิดว่าเพียงแค่ไม่กี่วันผ่านไปเขาก็สามารถรักษาได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แถมยังรักษาให้เดินได้ทั้งสองคนอีกด้วย
“ข่าวนี้เชื่อถือได้รึเปล่า”หวังกังหยุนเองก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“เป็นความจริงครับ มีใครบางคนได้ทำการสตรีมมิ่งแล้วแอบเข้าไปในคลีนิกพิเศษของซูจิ้ง เมื่อเขาได้เข้าไปถึงก็เห็นผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนพยายามเดินด้วยเครื่องช่วยเดินอย่างยากลำบากจนต้องครวญครางออกมา
ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ในเมื่อนั้นเป็นการสตรีมมิ่งก็หมายความว่ามันเป็นของจริงอย่างแน่นอน ถึงแม้แต่นี้จะหยุดการสตรีมไปแล้วแต่ก็ยังย้อนวิดีโอกลับไปดูได้อยู่ คุณหมอจะลองดูหน่อยรึเปล่าครับ” พูดจบ หมอวัยกลางคนก็ได้ส่งโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังเปิดวิดีโอให้หวังกังหยุน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” หวังกังหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“พึ่งจะได้ข่าวมาว่าประธานซูรักษาผู้ป่วยโรคALSสำเร็จด้วยนะ เขาทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็วจริงๆ” ภายในห้องสำนักงานของกลุ่มทุนกาลเวลาและกาลอวกาศ หวังจ้าว เฉิงหนาน และคนอื่นๆที่ได้ข่าวนี้ต่างก็ยิ้มออกมากันทั่วหน้าในระหว่างที่ทุกคนกำลังประชุมกันอยู่ ข่าวนี้ถูกรายงานมาโดยผู้ช่วยจึงแน่นอนว่าเชื่อถือได้

“หมอนี่จริงๆเลยน้า.. ชอบทำแต่เรื่องแบบนี้จริงๆ” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะไม่สั่นสะเทือนแค่กับวงการแพทย์ แต่เรื่องนี้จะทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“เห็นด้วย และนี่เองก็น่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาซื้อโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนมา ฉันว่านะเรื่องนี้ต่อให้พวกเราจะตกตะลึงแค่ไหนก็ตาม
แต่สำหรับเขาก็คงจะเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นแหล่ะ เฮ้อ เขาน่าจะก่อเรื่องที่ใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน” เฉิงหนานได้พูดออกมาพลางถอนหายใจ
คนอื่นๆที่เห็นท่าทีของทั้งสอง คนอื่นๆที่อยู่ในห้องประชุมก็ได้แต่จ้องมองด้วยสายตาที่โง่งมพลางคิดกันว่า ประธานที่ไม่เข้าได้เข้าบริษัทผู้นี้นี่นับวันยิ่งสุดยอดจริงๆ

“ชื่อเสียงเคียงฟ้า?” อดีตประธานของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้อุทานออกมาในทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้ เขามองข่าวนี้ด้วยสายตาโง่งมอยู่นานมาก
พลางนึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองได้ทำตอนอยู่ที่นั่น สำหรับเขาแล้ว โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นไม่ต่างไปจากหัวมันร้อนๆ ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด แต่ทำไมตอนที่ซูจิ้งเข้ามาบริหารถึงได้มีชื่อเสียงเสียดฟ้าได้กัน
“นี่เขาสามารถท้าทายโรคALSได้จริงๆเหรอ” มู่ติงที่เห็นข่าวทำได้เพียงอุทานออกมาแบบอึ้งๆ
“……………..” หวังหยานที่เห็นข่าวเองก็ทำได้แค่นิ่งเงียบไปเท่านั้น นับวันเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นห่างไกลจากเธอมากไปทุกที

ข่าวนี้ช่างทรงพลังและแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่จำนวนมาก
เรื่องนี้ทำให้วงการแพทย์ทั้งประเทศต้องตกตะลึงและเป็นที่พูดถึงกันในทันที แล้วค่อยๆลามไปที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา อังกฤษ และค่อยๆเป็นที่รู้กันไปทั่วโลก

ประเทศอเมริกา นักเรียนแพทย์ผู้หนึ่งได้พูดออกมาว่า
“ฉันได้ยินมาว่าที่จีน โรงพยาบาลที่ชื่อกังเฟิงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางการแพทย์อีกแล้วนะ ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเขาจะรักษาคนที่ป่วยเป็นโรคALSได้”
“เป็นไปได้ยังไงกัน ข่าวนี้เชื่อถือได้เหรอ”
“มีวิดีโอที่แอบถ่ายมาได้อยู่นะ น่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ซื้อตั๋วไปที่นั่นกันเลยดีกว่า ฉันอยากเห็นด้วยตาตัวเอง”

ญี่ปุ่น ที่นี่ในวงการแพทย์กำลังยุ่งอยู่กับการศึกษาว่าซูจิ้งใช้วิธีการไหนในการรักษาโรคทางดวงตา ทำยังไงถึงเพิ่มความสูงในผู้ใหญ่ได้ และทำยังไงถึงรักษาภาวะมีบุตรยากได้ยังไงอยู่นั้น
พวกเขาก็ได้ข่าวมาอีกว่าซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยโรคALSได้นี่ราวกับว่าพวกเขานั้นอยู่ๆก็เจอระเบิดน้ำลึกเล่นงานจนไปกันไม่เป็นเลยทีเดียว
“เป็นไปได้ยังไง นี่วิธีการรักษาของประเทศจีนจะพัฒนาเร็วเกินไปแล้ว”
“ดูเหมือนว่าการรักษาทั้งหมดนี้จะออกมาจากโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งนะ”
“กะอีแค่เด็กอายุยี่สิบกว่าๆจะไปทำอะไรได้”

มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
“พระเจ้าช่วย หมอเทวดาของจีนค้นพบวิธีการรักษาโรคALS]jt”
“ในที่สุดพระเจ้าก็มีตาสักที นายว่าคุณฮอว์กิ้งจะมีโอกาสยืนได้อีกครั้งรึเปล่า”
“รีบไปหาแล้วบอกเขากันดีกว่า”

ตอนนี้ทั่วทั้งโลกกำลังคุยกันเกี่ยวกับการรักษาโรคALSนี้กันอย่างร้อนแรง ก่อนหน้านี้ที่มีการรณรงค์การทำไอซ์บัคเกตเองก็ถือว่าได้ทำให้โรคALSนี้เป็นที่พูดกันเป็นวงกว้างได้แล้ว
แต่เมื่อข่าวนี้ออกมา การรณรงค์นั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากการเล่นสนุกธรรมดา
เหล่ากองกำลังต่อต้านซูจิ้งที่มีฉิวจิงแอบชักใยอยู่เบื้องหลังนั้นในตอนนี้ต่างก็อันตรธานหายไปกันหมด แม้แต่คนที่ออกมาโวยวายว่าค่ารักษาของซูจิ้งแพงนั้นก็ไม่กล้าที่จะโผล่ออกมาแม้แต่น้อยทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังเอาจรรยาบรรณแพทย์มาเล่นงานซูจิ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ในตอนนี้หลายๆคนเองได้เปลี่ยนจากออกมาต่อต้านเป็นคุกเข่ายอมศิโรราบเพราะรู้สึกสำนึกได้ว่าคนทั่วไปไม่มีทางหยุดยั้งซูจิ้งได้อีกต่อไป