บทที่ 461.1 หลีกทางให้การช่วงชิงแห่งไฟและน้ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “แม่นางหร่วน?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ

เฉินผิงอันถาม “เรื่องนี้ต้องให้เจ้ามาเตือนข้าด้วยหรือ? ด้วยนิสัยของแม่นางหร่วน ขอแค่ขึ้นเขามาก็ต้องมาที่เรือนไม้ไผ่นี่อย่างแน่นอน”

เว่ยป้อทำสีหน้าเสียใจดั่งคนที่มีความหวังดีแต่ถูกคนอื่นมองเป็นประสงค์ร้าย

เฉินผิงอันพูดขันๆ ปนฉุน “ข้าก็แค่พบกับแม่นางหร่วน แม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน แต่ผู้คนก็อยู่กันมากมาย แล้วก็ไม่มีเรื่องครึกครื้นอะไรให้พวกเจ้าดูด้วย องค์เทพขุนเขาเหนืออย่างเจ้าว่างงานถึงขนาดนี้แล้วหรือ?”

เว่ยป้อชี้นิ้วไปทางประตูภูเขาด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยความองอาจเที่ยงธรรม แล้วจึงชี้มาที่เฉินผิงอัน “ตอนนี้อาณาเขตขุนเขาเหนือของข้าแบ่งออกเป็นส่วนในกับส่วนนอก เจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดของพื้นที่ส่วนในสองคนมาเจอกัน ข้าจะไม่ใส่ใจเลยได้หรือ?”

เฉินผิงอันไม่สนใจเว่ยป้ออีก ลุกขึ้นเดินไปต้อนรับหร่วนซิ่ว

แม้จะรู้แล้วว่านางขึ้นเขามาเยี่ยมเยียน ในฐานะเจ้าของภูเขาลั่วพั่วก็ยังต้องนำมารยาทในการรับแขกที่พึงมีออกมาใช้

เว่ยป้อไม่ได้ตามไป เขายืนพึมพำกับตัวเองอยู่ที่เดิม “ไม่มีอะไรเลยจริงๆ หรือ? ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็ทำตัวเปิดเผยตรงไปตรงมามากแล้วนะ”

พอได้ยินว่าพี่สาวชุดเขียวที่อ่อนโยนกับตนเป็นพิเศษผู้นั้นมาเยี่ยม เผยเฉียนดีใจยิ่งกว่าใคร นางกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งตะบึงไปเหมือนใต้รองเท้าทาด้วยน้ำมัน ผลกลับกลายเป็นว่ากระแทกชนเข้ากับม่านน้ำไอหมอกแห่งขุนเขาที่กระเพื่อมเป็นระลอก เซถอยกลับมา พบว่าตัวเองมายืนอยู่ข้างโต๊ะหินอีกครั้ง เผยเฉียนเหลียวซ้ายแลขวาก็สังเกตเห็นว่ารอบด้านมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเบาๆ แล้วจู่ๆ พวกมันก็แปรเปลี่ยนไปไม่หยุดหนึ่ง เดี๋ยวก็โถมขึ้น เดี๋ยวก็ลดต่ำลง นางจึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านเว่ย ท่านเป็นถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขุนเขา แต่กลับใช้ลูกไม้ชั้นต่ำอย่างผีพรางตาเช่นนี้ ไม่อายบ้างหรือไร?”

เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าจะไปร่วมวงด้วยทำไม? ยกตัวอย่างนะ หากอาจารย์ของเจ้าง่วง อยากจะนอน เจ้าถือโคมดวงใหญ่เดินเตร่อยู่ในห้อง มันสมควรแล้วหรือ?”

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ยื่นนิ้วสองนิ้วมาลูบคลำปลายคาง จมอยู่ในภวังค์ความคิด หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างจริงจังว่า “ยังไม่ได้ยกเกี้ยวแปดคนหามแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามหลักประเพณีก็หลับนอนด้วยกันแล้ว ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ช่างหร่วนอายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบให้อาจารย์ของข้าอยู่กับพี่หญิงหร่วน ไม่อย่างนั้นท่านเว่ยไปที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นเพื่อนข้าสักรอบเถอะ จะได้เรียกช่างหร่วนมาคุยกัน ดีไหม? พรุ่งนี้เช้าเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ไม่ใช่อาจารย์แม่รองก็ต้องเป็นอาจารย์แม่รองแล้ว หึหึ อาจารย์แม่กับเงิน ยิ่งมีมากก็ยิ่งดีจริงๆ …”

แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดล้อเล่นของเผยเฉียน ถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่อยู่ที่นี่ เว่ยป้อเองก็เป็นคนน่าเบื่อที่ไม่ชอบเอาเรื่องคนอื่นไปฟ้อง ดังนั้นเผยเฉียนจึงพูดจาตามใจปรารถนาอย่างไร้ยำเกรง

ทว่าอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ เผยเฉียนชอบหร่วนซิ่วมากที่สุด นี่เป็นความรู้สึกจากใจจริง เผยเฉียนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหร่วนซิ่ว ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเคยเห็นม้วนภาพแห่งกาลเวลาของชุยตงซานเท่านั้น แต่เป็นเพราะพอเผยเฉียนมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ครั้งแรกที่นางได้เห็นพี่สาวชุดเขียวมัดผมหางม้าคนนั้นก็รู้สึกชื่นชอบทันที และเมื่อเผยเฉียนมองหร่วนซิ่วก็เหมือนกำลังมองม้วนภาพที่ ‘อบอุ่นอ่อนโยน’ อย่างถึงที่สุดม้วนหนึ่ง ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้คนรู้สึกหนาวไปทั่วกระดูกเหมือนของชุยตงซาน แต่เป็นภาพมหาสมุทรถูกต้ม ทะเลสาบถูกนึ่ง ฟ้าดินเดือดพล่าน เปลวร้อนอาบแผ่นฟ้า ย้อมผืนนภาให้เป็นสีแดงสดทั้งแถบ

มีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง หลุบตาลงต่ำมองมายังพื้นดิน พี่หญิงหร่วนซิ่วที่โฉมหน้าพร่าเลือนคนนั้น อีกมือหนึ่งกำดวงจันทร์กลมดิกที่ราวกับว่านางไปเด็ดมาจากม่านฟ้าแห่งอื่น แค่นางหมุนมันเบาๆ ก็ราวกับว่าแก่นต้นกำเนิดเปลวเพลิงที่เข้มข้นที่สุดในโลกได้พากันปลดปล่อยเส้นแสงนับไม่ถ้วนสาดสะท้อนสี่ทิศให้สว่างเจิดจ้า

เพียงแต่ว่าความลับนี้ เผยเฉียนไม่ได้บอกแม้กระทั่งเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู มีเพียงวันหน้าหากนางได้อยู่กับอาจารย์เพียงลำพังเมื่อไหร่ นางถึงจะยอมบอกเขา

เว่ยป้อปวดหัวแปลบ

ยังดีที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่แล้ว เผยเฉียนรีบนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้หิน หันหน้าไปถามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่ามีเมล็ดแตงหรือไม่ ฝ่ายหลังรีบควักเมล็ดแตงกำหนึ่งออกมายื่นให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของนายท่านตัวเอง พวกนางสองคนสนิทกันนักล่ะ

เผยเฉียนก้มหน้าแทะเมล็ดแตง นางยังคงหวาดกลัวผู้เฒ่าเปลือยเท้าคนนี้ โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเล่าถึงประสบการณ์การฝึกหมัดของอาจารย์ตัวเองแล้ว เผยเฉียนก็เกือบจะเก็บเอาไปนอนฝันร้าย ดังนั้นนางจึงยอมเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทั้งวันดีกว่า เพราะนางกลัวจริงๆ ว่าผู้เฒ่าจะมองออกว่านางคือผู้มีความสามารถในการฝึกวรยุทธที่พันปียากจะพานพบ

ผู้เฒ่าพูดกับเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ยังไม่กลับไปนอนกันอีกรึ?”

เผยเฉียนจึงได้แต่จูงมือพาเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจากไป ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไปไม่ไกลมีเรือนขนาดไม่ใหญ่นักถูกสร้างขึ้นหลายหลัง เผยเฉียนกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพักอยู่ในเรือนเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน

ผู้เฒ่ามองไปทางประตูภูเขา หัวเราะหยันเอ่ยว่า “กล้าสะพายกระบี่มาพบข้า นี่หมายความว่าจิตใจของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่”

เว่ยป้อยิ้มถาม “หากเฉินผิงอันไม่กล้าสะพายกระบี่ขึ้นเรือน ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ท่านชุยจะหงุดหงิดใจหรือไม่?”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หงุดหงิดใจ? อย่างมากก็แค่ป้อนหมัดใหม่เขาเพิ่มหลายๆ หมัดสักหน่อย เดี๋ยวเขาก็กลับไปเป็นเจ้าลูกกระต่ายเหมือนปีนั้นเองนั่นแหละ ใต้หล้านี้มีหลักการเหตุผลใดบ้างที่ใช้หมัดอธิบายไม่ได้ หลักการเหตุผลแบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือหนึ่งหมัดของข้าอธิบายได้เข้าใจ นอกจากนี้ก็แค่ว่าต้องใช้สองหมัดถึงจะทำให้คนอื่นสติปัญญาเปิดกว้างได้”

เว่ยป้อยิ้มเฝื่อน “ท่านชุยมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางนะ”

“เคยเป็นเจ้าประมุขตระกูลชุยแล้วอย่างไร? ข้าเล่าเรียนอ่านตำราจนกลายเป็นอริยะสำนักศึกษาแล้วหรือ? ตัวเองเรียนไม่ได้เรื่อง แล้วจะสอนให้ลูกหลานกลายมาเป็นอริยะได้หรือ?”

ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ดังนั้นข้าทั้งเข้าใจดีว่าบัณฑิตใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ไม่ง่าย แล้วก็ยิ่งรู้ถึงข้อเสียที่ฝังรากลึกของบัณฑิตด้วย”

เว่ยป้อไม่เอ่ยอะไรอีก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในแจกันสมบัติทวีปได้มากที่สุด ณ ตอนนี้ผู้นี้ กำลังยืนอยู่ริมหน้าผา ประหนึ่งต้นไม้หยกรับลม อาภรณ์สีขาวชายแขนกว้างพัดสะบัดพลิ้วเหนือธุลี ประหนึ่งหลิงจือหยกขาวต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมหน้าผาสูง

ผู้เฒ่าถาม “เหตุใดหร่วนฉงถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่เก็บท่าเรือตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งไว้ไป? เหตุใดถึงต้องมอบกำไรใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้กับเจ้าและเฉินผิงอัน?”

เว่ยป้อเอ่ย “ยังนึกว่าท่านชุยไม่สนใจเรื่องราวทางโลกพวกนี้แล้วเสียอีก”

ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “เจ้าจูเหลี่ยนหน้าด้านหน้าทนผู้นั้น ตอนที่เล่นหมากห้าเม็ดกับพวกเด็กๆ จงใจพร่ำบ่นให้ข้าได้ยิน แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยหน่ายที่จะพูดด้วย มีหลายครั้งที่ข้าเกือบทนไม่ไหวต่อยให้เขาร่วงลงไปจากหน้าผา”

สำหรับจูเหลี่ยน เว่ยป้อพูดคุยกับเขาถูกคออย่างยิ่ง รู้สึกเจ็บใจด้วยซ้ำที่พบเจอกันช้าไป

จูเหลี่ยนร้ายกาจถึงระดับไหน? ร้ายกาจจนทำให้เว่ยป้อยอมรับจากใจจริงว่าหากรู้จักจูเหลี่ยนเร็วกว่านี้กี่ปี เขาเว่ยป้อก็คงจะได้คลายปมในใจเร็วเท่านั้น ตอนที่เดินสวนไหล่กับนางบนทางเล็กของภูเขาฉีตุนเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็คงไม่ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะมองนางให้นานสักหน่อย เขาควรจะออกไปจากภูเขาฉีตุนให้เร็วกว่านั้น ไปตามหานาง ต่อให้ชะตาถูกลิขิตไว้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อีกทุกชาติภพ แต่ในเมื่อเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขา มีอายุขัยยาวนานดุจเทพเซียนที่เป็นอมตะ ก็ควรจะได้มองดูความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาของนางให้ใกล้ชิดอีกหน่อย ไม่ใช่ไปหลบทอดถอนใจอยู่ในภูเขาฉีตุนปีแล้วปีเล่า

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจูเหลี่ยนถึงไม่ยอมเรียนวิชาหมัดกับท่านชุย เว่ยป้อไม่เคยถามมาก่อน

กลับมาที่ปัจจุบัน เว่ยป้ออธิบายว่า “เกี่ยวกับเรื่องของการซื้อภูเขา ข้าได้พูดคุยกับอริยะหร่วนอย่างเปิดเผยสองครั้ง ด้านหนึ่งอริยะหร่วนเช่าภูเขาหลายลูกนั้นของเฉินผิงอันไว้หลายร้อยปี ตอนนั้นแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์ เฉินผิงอันเก็บไว้แค่ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเจินจู เขาจึงไม่ได้ดูเด่นดังมีหน้ามีตามากเกินไป หลีกเลี่ยงสายตาอิจฉาริษยาจากผู้ฝึกตนมากมายที่มาจากเมืองหลวงต้าหลีและสถานที่อื่นๆ ไปได้ ส่วนอริยะหร่วนก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่สำนักของตัวเอง ทว่าภายหลังเฉินผิงอันลุกผงาดอย่างรวดเร็ว มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว อริยะหร่วนจึงรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกว่าสัญญาที่ปีนั้นมาจากเจตนาดี กลับกลายเป็นว่าทำให้เฉินผิงอันเสียเปรียบ ดังนั้นจึงยินดีรับท่าเรือมาไว้แล้วเปลี่ยนมือต่ออีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พอมีข้าเข้ามาเป็นตัวประนีประนอมอยู่ตรงกลาง ราชสำนักต้าหลี ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอัน ทั้งสามฝ่ายต่างก็มีบันไดให้เดินลง”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรราชสำนักต้าหลีก็ยังยินดีที่ได้เห็นว่าข้ากับอริยะหร่วนปรองดองกัน”

ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ยังเป็นเพราะหร่วนฉงไม่ต้องการคบค้าสมาคมและติดค้างน้ำใจเฉินผิงอันมากเกินไปนัก ยิ่งทำการค้าอย่างยุติธรรมเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีหน้าไปหลอกลวงลูกสาวเขาเท่านั้น”

เว่ยป้อไม่ให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้

เพราะมันใกล้จะกลายมาเป็นโรคทางใจของหร่วนฉงอยู่แล้ว

เว่ยป้อและผู้เฒ่ามองไปยังมุมหนึ่งของตีนเขา แล้วหันมายิ้มให้กัน

อริยะที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่ง ตกมาอยู่สภาพนี้ได้ก็นับว่าหาได้ยากนัก

เว่ยป้อกล่าว “ข้าจะไปพูดปลอบใจอริยะหร่วนสักหน่อย”

ผู้เฒ่าพยักหน้า “หากพูดถึงชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป คนเป็นพ่อเป็นแม่จะเป็นกังวลกับเรื่องนี้ก็ยังพอทำเนา แต่ช่างตีเหล็กของศาลลมหิมะผู้นี้ นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

ร่างของเว่ยป้อพุ่งวูบหายไป

อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือต้าหลี เว่ยป้อก็คือเจ้าแห่งสายน้ำและขุนเขา

ถึงขั้นที่ว่าถูกต้องเหมาะสมยิ่งกว่าอริยะหร่วนฉงเสียอีก

ต่อให้ในอนาคตต้าหลีกำหนดอีกสี่ขุนเขาที่เหลือได้แน่นอนแล้ว เว่ยป้อก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปที่ได้ครอบครองอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดอยู่ดี เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปที่ทางทิศเหนือและใต้ยาว ทางตะวันออกและตะวันตกแคบ นี่จึงหมายความว่าขุนเขาตะวันออกและขุนเขาตะวันตก เมื่อเปรียบเทียบกับขุนเขาเหนือและขุนเขาใต้แล้วจะเสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งรากฐานของต้าหลีก็ยังอยู่ที่ทิศเหนือ เมืองหลวงในทุกวันนี้ก็คือสถานที่ที่มังกรลุกผงาดของสกุลซ่ง กิจการบรรพบุรุษก็อยู่ทางเหนือ นี่จึงเป็นเหตุให้ขุนเขาเหนือมีระดับสูงกว่าขุนเขาใต้หนึ่งขั้น ด้วยเหตุนี้ต่อให้สถานการณ์ใหญ่ของทวีปจะถูกกำหนดมาแล้วว่า ในอนาคตสกุลซ่งต้าหลีจะต้องย้ายเมืองหลวงลงใต้ แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าไม่มีทางย้ายรวดเดียวไปถึงทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของทวีป เพราะที่นั่นยังมีสำนักศึกษากวานหูอยู่ สกุลซ่งต้าหลีไม่มีทางตัดลมหายใจของตัวเองด้วยการแบ่งแยกเหนือใต้อย่างแน่นอน

เป็นเหตุให้กีบม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำไปถึงชายหาดทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่า ดังนั้นองค์เทพแห่งขุนเขาเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถงัดข้อกับเว่ยป้อได้ก็คือขุนเขากลาง

กึ่งกลางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันได้พบกับหร่วนซิ่ว

หร่วนซิ่วมองคนหนุ่มที่หยุดเดินแล้วกวักมือให้ตนคนนั้น นางกะพริบตา เดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเคียงไหล่กันขึ้นไปบนภูเขา

ไม่มีความห่างเหินเหมือนสหายที่จากกันไปนาน ทุกอย่างประหนึ่งน้ำมาคลองก็สำเร็จ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คืนนั้นที่เจ้าลงมือบนภูเขาพุดตานทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงข้าเห็นอยู่ไกลๆ จากบนเกาะชิงเสีย พลังอำนาจเปี่ยมล้นอย่างยิ่ง”

หร่วนซิ่วพูดเสียงเบาอย่างเขินอาย “ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ เดินทางลงใต้ไปพร้อมกับหน่วยจานกานของต้าหลีกลุ่มหนึ่ง ภายหลังเจอกับชุยตงซานที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของเจ้า ก็เลยเดินทางไปที่แคว้นเหมยโย่วด้วยกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ภายหลังข้ากับสหายก็เดินทางไปที่แคว้นเหมยโย่ว ข้ายังเห็นสนามรบที่พวกเจ้าไล่ล่าผู้ฝึกกระบี่จูอิ๋งไป ตรงแม่น้ำชุนฮวาน่ะ”

หร่วนซิ่วไม่ได้เอ่ยอะไร

แม่น้ำชุนฮวาอะไรที่ว่านั่น นางจำไม่ได้แม้แต่น้อย

นางไม่เคยจดจำเรื่องพวกนี้ ต่อให้การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ หลังจากลงเรือข้ามฝากตระกูลเซียน ขี่ม้าผ่านแคว้นสือหาวแล้วจะถือว่าได้พบเจอกับคนและเรื่องราวมาไม่น้อย แต่นางก็จำอะไรไม่ได้เลย ตอนอยู่บนภูเขาพุดตานนางบังคับมังกรเพลิงให้สังหารเด็กหนุ่มที่มีชะตาบู๊โชติช่วงคนนั้นโดยพลการ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด ระหว่างที่เดินทางกลับขึ้นเหนือ นางจึงได้หาตัวเลือกอีกสามคนให้กับหน่วยจานกานใหม่ นางเองก็สนิทกับพวกเขามาก ทว่าถึงท้ายที่สุดแล้วกลับจำไม่ได้ว่าเด็กสามคนนั้นชื่ออะไรกันบ้าง แต่กลับจำขนมและอาหารอร่อยที่มีเฉพาะในนครลวี่ถงได้ดี

หร่วนซิ่วพลันเอ่ยว่า “ห่างออกไปไม่ไกลทางทิศเหนือ ท่านพ่อข้าเพิ่งซื้อภูเขาจินหรางเอาไว้ลูกหนึ่ง ห่างจากภูเขาลั่วพั่วและภูเขาฮุยเหมิงไปไม่ไกล ท่านพ่อวางแผนว่าจะสร้างเตาหลอมกระบี่แห่งใหม่ขึ้นที่นั่น บนภูเขากำลังเร่งก่อสร้างกันทั้งวันทั้งคืน คืนนี้ข้าลองไปเดินเล่นที่นั่นก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่ทะเลเมฆถูกคนสลายออกบนภูเขาลั่วพั่วพวกเจ้า ค่อนข้างเป็นห่วงเผยเฉียนก็เลยแวะมาดู”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม

แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร

คนอื่นไม่รู้ความตื้นลึกของตบะวิถีวรยุทธผู้เฒ่าแซ่ชุย ทว่าหากไม่นับหยางเหล่าโถวของร้านยาแล้ว องค์เทพเว่ยป้อและอริยะหร่วนฉงต้องเป็นคนที่รู้ลึกรู้ดีที่สุดอย่างแน่นอน

ในเมื่อหร่วนฉงรู้ ก็มักจะหมายความว่าหร่วนซิ่วต้องรู้ด้วยเสมอ

หร่วนซิ่วเองก็หัวเราะ การพูดโกหกไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดเลยจริงๆ มักจะติดๆ ขัดๆ อยู่เสมอ กับท่านพ่อ นางเองก็ไม่เคยหลอกเขาได้ แล้วทุกครั้งก็มักจะถูกเขาแฉต่อหน้าเสมอ ทว่าคนที่อยู่ข้างกายตอนนี้ กลับไม่พูดแฉนาง

เฉินผิงอันไม่ได้เดินไปทางเรือนไม้ไผ่

แต่พาหร่วนซิ่วเดินขึ้นไปบนยอดเขา

ในฐานะเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว จะว่าไปแล้วก็แปลก เฉินผิงอันยังไม่เคยไปเยือนศาลเทพภูเขาที่อยู่บนยอดเขามาก่อนเลย

เรื่องที่คนทั้งสองคุยกันล้วนเป็นเรื่องสัพเพเหระ ไม่สลักสำคัญอะไร

ยกตัวอย่างเช่นผลลัพธ์จากการบูรณะซ่อมแซมสุสานเทพเซียน กิจการของสองร้านในตรอกฉีหลง ไก่ฝูงนั้นที่เฉินผิงอันเคยขอให้นางช่วยดูแล ยังรวมไปถึงหมาพื้นบ้านตัวนั้นด้วย

ขยับเข้าใกล้ศาลเทพภูเขา

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด

หร่วนซิ่วหยุดเดิน หันหน้าไปมองทางทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร”

เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันไดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง สองข้างฝั่งของเส้นทางที่เดินมายังขั้นบันไดที่คนทั้งสองนั่งอยู่มีต้นไม้โบราณขึ้นเรียงราย บนขั้นบันได แสงจันทร์ประหนึ่งธารน้ำที่ไหลลงเนิน อีกทั้งในน้ำยังมีพืชน้ำลอยแผ่ ผิวน้ำสะท้อนเงาต้นสนต้นป่าย เมื่อมาอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพเช่นนี้ก็ราวกับอยู่ในภาพฝันมายา

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ผิดไปหมด แต่หากไม่พูดก็ยิ่งผิด ทางที่ดีที่สุดคือข้าคิดมากไปเอง บุรุษหากถูกสตรีชื่นชอบ ไม่มีใครที่ไม่ดีใจ นี่คือความรู้สึกทั่วไปของคนเรา  ต่อให้บุรุษมากมายจะมีสตรีที่ชื่นชอบอยู่แล้วก็ยังจงใจไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีที่ดีคนอื่นๆ อีก ข้าเองก็ไม่อาจพูดได้ว่าบุรุษเหล่านี้ผิด ข้าเชื่อว่าบุรุษหลายคนเห็นเรื่องนี้เป็นความบันเทิง ถึงขั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เก่งกาจ แต่นี่ไม่ใช่ความรู้สึกทั่วไปของข้าเฉินผิงอัน หากทำอย่างนั้นจริงๆ จะต้องผิดต่อแม่นางหนิง แล้วก็ผิดต่อเจ้าแม่นางหร่วน แต่หากข้าเข้าใจแม่นางหร่วนผิดไป เป็นข้าที่คิดมากไปเอง นั่นก็ดีที่สุด ทว่าต่อให้แม่นางหร่วนจะโกรธ วันหน้าพวกเราไม่อาจเป็นสหายกันได้อีก วันนี้ข้าก็จะต้องพูดอย่างชัดเจน ตลอดหลายปีมานี้แม่นางหร่วนช่วยเหลือข้ามามากมาย ข้าล้วนจดจำไว้ในใจ พูดประโยคที่ไม่ใช่เป็นการโอ้อวด ต่อให้อยู่ต่อหน้าแม่นางหนิง ข้าก็ยังจะเล่าความดี ความมีน้ำใจ และบุญคุณของแม่นางหร่วนให้นางฟัง เป็นคนไม่ควรลืมบุญคุณคน ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีร้อยปี ขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่ควรลืมก็ไม่อาจลืมได้ หากตอบแทนได้ก็ต้องตอบแทน แน่นอนว่าข้าชอบแม่นางหร่วน แต่ไม่ใช่ความรู้สึกฉันท์ชู้สาว ในทางกลับกัน หากปีนั้นการกระทำหรือคำพูดใดของข้ายังคงทำให้แม่นางหร่วนเข้าใจผิด ความผิดนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่อยู่ที่ข้าเฉินผิงอัน ถ้าเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรดี…”

คำพูดประโยคนี้เหมือนก้อนหินที่อยู่กลางลำธาร ไม่มีความแหลมคมแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นก้อนหินที่แข็งทื่อก้อนหนึ่ง ไม่ใช่พืชน้ำที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างพลิ้วไหว ยิ่งไม่ใช่ปลาที่ชอบแหวกว่ายอยู่ในธารา

หร่วนซิ่วมองบุรุษหนุ่มที่ทั้งเสียใจและรู้สึกละอายใจคนนี้ นางเองก็เสียใจเช่นกัน

กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องเสียใจอีกแล้วเล่า? แล้วนี่ยังเป็นเพราะนางด้วย

ส่วนเรื่องความชอบความรักอะไรนั่น อันที่จริงหร่วนซิ่วไม่ได้ยึดติดอย่างที่เขาคิด ส่วนผิดหรือถูกอะไร นางก็ยิ่งไม่คิดให้มากความ

ข้าชอบเจ้า แม้แต่สวรรค์ก็ห้ามไม่ได้ ควบคุมไม่อยู่

ข้าไม่ชอบเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์ก็ยังไม่มีประโยชน์

เป็นเรื่องที่ง่ายดายจะตายไป

แม่นางที่ขี้เกียจมากคนนี้ถึงขั้นรู้สึกว่าหากตนชอบหรือไม่ชอบใครจริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคนผู้นั้นสักเท่าไหร่

แต่หร่วนซิ่วไม่ได้บอกความในใจนี้แก่เฉินผิงอัน

มหามรรคาไม่สนกาลเวลา

หร่วนซิ่วที่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นถามว่า “หากปีนั้นเจ้าได้พบข้าก่อน ไม่ใช่แม่นางหนิง จะเป็นอย่างไรนะ?”

—–