เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างไร้ซึ่งความลังเลใจ “แม่นางหร่วนจะถามอย่างนี้ก็ได้ แต่ข้ากลับไม่อาจคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบให้เจ้า”
หร่วนซิ่วยกสองมือเท้าคาง ทอดสายตามองไปไกลพลางพึมพำว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าเหมือนกับท่านพ่อข้าเลย ท่านพ่อข้าดื้อดึงยิ่งนัก ไม่คิดจะไปตามหาท่านแม่ข้าที่ไปจุติเกิดใหม่ บอกว่าต่อให้ตามหาเจออย่างยากลำบากแล้ว นางก็ไม่ใช่ท่านแม่ตัวจริงของข้าอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฟื้นคืนความทรงจำของภพชาติก่อน ดังนั้นไม่สู้ไม่พบหน้ากันเลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อนางที่อยู่ในใจของเขามาตลอดเวลา แล้วยังต้องเสียเวลาสตรีที่อยู่ข้างกายด้วย”
เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับช่างหร่วน เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไร
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “กลับบ้านเกิดคราวนี้ ไม่ได้เอาของขวัญมาด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าหรือจะกล้าเอาของขวัญมา หากไม่พูดจากันให้ชัดเจน จะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่หรอกหรือ?”
แล้วจากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างโล่งอก “แต่วันหน้าข้าสามารถนำของขวัญกลับมาให้แม่นางหร่วนได้แล้ว”
หร่วนซิ่วเอียงศีรษะ ยิ้มจนดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นหยีลง ถามว่า “นี่เรียกว่าพูดจากันชัดเจนได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันสีหน้าอึ้งค้าง
รีบทบทวนคำพูดของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบโดยเร็ว
ตามหลักแล้วหากแม่นางหร่วนไม่ชอบตน หรือหากชอบตนนิดๆ จริงๆ ก็ถือว่าเขาพูดชัดเจนแล้วนี่นา
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เอาเถอะ ก็แค่เจ้าไม่ได้ชอบข้าแบบนั้น แล้วยังกลัวว่าข้าจะชอบเจ้าแบบนั้น เจ้าก็เลยรู้สึกไม่ดีอย่างมาก กลัวว่าพูดตรงไปจะทำให้ข้าอึดอัดใจ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ วันหน้าเป็นไม่ได้แม้แต่สหายกัน ใช่ไหมล่ะ? วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้โกหกเจ้าด้วย และความชอบของข้าก็ไม่ใช่ความชอบอย่างที่เจ้าเข้าใจ วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง หรือไม่เจ้าจะลองถามชุยตงซานลูกศิษย์ของเจ้าดูก็ได้ สรุปก็คือ นี่ไม่ถ่วงรั้งการเป็นสหายของพวกเรา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แม่นางหร่วนพูดอ้อมค้อมไปหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพูดจากระจ่างแจ้งยิ่งกว่าเขา
หร่วนซิ่วกล่าว “แม่นางหนิงก็ชอบเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ชอบ”
หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งที “เฉินผิงอัน ทำไมต้องคิดมากขนาดนั้น ทำไมไม่คิดเพื่อตัวเองให้มากหน่อย?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หร่วนซิ่วปัดเข่าลุกขึ้นยืน “เอาเถิด ว่ากันตามนี้ก็แล้วกัน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกหิวแล้ว จะกลับบ้านไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม ถามว่า “ไม่อย่างนั้นไปที่เรือนไม้ไผ่ของข้าดีไหม ข้ามีวัตถุดิบในการทำอาหารมื้อดึก ในวัตถุจื่อชื่อก็มีเก็บไว้ไม่น้อย ปลาตากแห้ง เยื่อไผ่ตากแห้ง เนื้อเค็ม ล้วนมีหมด แล้วก็ยังมีผักป่าอีกมากมายที่สำเร็จรูปกินได้เลย เอามาต้มหม้อไฟสักหม้อ รสชาติน่าจะไม่เลว แล้วก็ใช้เวลาทำไม่นานด้วย”
หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ “ท่านพ่อข้ายังรออยู่ที่ตีนเขา ข้ากลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหวจับเจ้ามาต้มเป็นอาหารมื้อดึกแทนมากกว่า”
เฉินผิงอันเช็ดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผาก
หร่วนซิ่วเดินลงบันได หันหน้ามายิ้มให้ “ไม่ต้องไปส่งหรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าก็ต้องลงจากเขาเหมือนกัน ไปส่งที่ทางแยกก็แล้วกัน”
คนทั้งสองเดินลงภูเขามาด้วยกันช้าๆ
หร่วนซิ่วมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ประดุจองค์เทพที่ออกท่องเที่ยวผืนป่ายามค่ำคืน
จากนั้นคนทั้งสองก็แยกทางกัน หร่วนซิ่วเดินเท้าลงเขาไปต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินไปบนถนนที่มุ่งสู่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันพลันนึกถึงประโยคงดงามประโยคหนึ่งที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่
แสงจันทร์แสงดาวสกาวใส ทางช้างเผือกยิ่งใหญ่แขวนบนนภาสูง รอบกายไร้สำเนียงผู้คน เสียงนั้นแว่วดังมาจากผืนป่า
……
นอกภูเขาลั่วพั่ว
เว่ยป้อยืนอยู่ข้างกายหร่วนฉง
ชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ท่านหร่วน จะไม่ขึ้นไปดูบนภูเขาลั่วพั่วสักหน่อยจริงหรือ? หากข้าอยู่ด้วยแล้วไม่เหมาะสม ข้าสามารถจากไปได้ รับรองว่าทั้งบนเขาและนอกเขา ข้าจะไม่ฟังไม่มองอะไรทั้งนั้น”
หร่วนฉงดื่มเหล้า ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่ได้ต่ำช้าขนาดนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่จะไม่เชื่อใจลูกสาวของตัวเองเลยหรือ?”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
หากเจ้าหร่วนฉงเชื่อใจจริงๆ ยังจะต้องแอบวิ่งมาที่นี่ทำไม?
หร่วนฉงดื่มเหล้า
ส่วนเว่ยป้อก็ยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
หร่วนฉงเอ่ยถาม “เว่ยป้อ เจ้าคิดว่าวันหน้าใครจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ของต้าหลี?”
เว่ยป้อไม่กลัวว่าจะมีคนแอบฟัง อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครกล้าทำเช่นนี้ก็แสดงว่ารังเกียจที่มีชีวิตยืนยาวเกินไป
ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางท่านนั้นก็ไม่มีทางมาสนใจเรื่องแบบนี้
เว่ยป้อคิดแล้วก็กล่าวว่า “หากดูจากปัจจุบัน ซ่งเหอและซ่งจี๋ซินต่างก็มีความเป็นไปได้ แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นซ่งเหอมีมากกว่า คนทั้งราชสำนักหยั่งรากฝังลึก จึงสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อถือได้มากกว่า ส่วนซ่งจี๋ซินก็มีแค่กรมพิธีการเท่านั้นที่เป็นหมาจนตรอก จึงแอบวางเดิมพันไว้ข้างเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ พูดไปพูดมาก็ต้องดูแค่ที่การตัดสินใจของคนสองคน คำพูดของเหนียงเนียงท่านนั้นไม่มีประโยชน์ ข้ารู้สึกว่าซ่งจ่างจิ้งกับชุยฉาน สุดท้ายแล้วต่างก็ต้องเลือกในสิ่งที่ทุกคนคาดเดากันไม่ถึง”
หร่วนฉงเอ่ย “ฮ่องเต้ต้าหลีช่างจากไปได้ประจวบเหมาะนัก”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
หร่วนฉงคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี อีกทั้งยังเป็นช่างหลอมกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ว่าใครก็ต้องเอาอกเอาใจ มีสหายอยู่ทั่วทั้งทวีป ‘บ้านเดิม’ ยังเป็นศาลลมหิมะ ทั้งสองฝ่ายไม่เคยตัดความสัมพันธ์กัน ยังมีเส้นใยเชื่อมโยงเอาไว้อยู่ ความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าหร่วนฉงแตกหักกับศาลลมหิมะแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมีเงาร่างของเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะปรากฎตัวที่หน้าผาหินซึ่งมีแท่นสังหารมังกรแห่งนั้น แต่จะกลับกลายเป็นว่าเขาหร่วนฉงทอดทิ้งศาลลมหิมะไปโดยตรง แล้วหันไปแบ่งส่วนแบ่งกับภูเขาเจินอู่แทน
ส่วนเขาเว่ยป้อกลับเป็นองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากสกุลซ่งต้าหลี คำพูดบางอย่างที่เกินขอบเขตฐานะซึ่งค่อนข้างจะเนรคุณคน พูดให้น้อยลงจะดีกว่า
พูดถึงองค์ชายสองคนย่อมไม่เป็นปัญหา พูดคุยถึงอ๋องเจ้าเมืองกับราชครูก็ยังพอทำได้ แต่ตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของเว่ยป้อนี้ เป็นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่ประทับตราลงนามด้วยตัวเอง เว่ยป้อจึงต้องเห็นแก่น้ำใจนี้ ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายของซ่งเจิ้งฉุน ไม่ว่าจะเป็นหร่วนฉงที่พูดถึง หรือเจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงตนนั้นที่ชวนคุย เว่ยป้อก็จะใช้ความเงียบเป็นการตอบรับอยู่เสมอ
ห่างออกไปไกลมีเงาร่างของสตรีชุดเขียวปรากฏตัว มองดูเหมือนเดินไม่เร็ว ทว่าร่างของนางกลับลอยพลิ้วมาถึงประหนึ่งกลุ่มควันสีเขียว
หร่วนซิ่วเห็นหร่วนฉงกับเว่ยป้อก็ผงกศีรษะทักทายเว่ยป้อก่อน จากนั้นจึงหันมามองบิดาของตนเอง “ท่านพ่อ บังเอิญจริง ท่านก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ แล้วก็โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อบอกลาจากไปอย่างรู้กาลควร
หร่วนฉงขยับริมฝีปากเบาๆ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่เอาเหล้าอีกกาออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ แกะผนึกดินออกแล้วเริ่มดื่มอีกครั้ง
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าเจอเฉินผิงอันบนภูเขาลั่วพั่วด้วย”
หร่วนฉงพูดหน้าเคร่ง “บังเอิญจริง”
ไม่เสียแรงที่เป็นพ่อลูกกัน
หร่วนซิ่วจึงเลือกบทสนทนาบางส่วนของคนทั้งสองมาเล่าให้บิดาฟังหนึ่งรอบ ความหมายคร่าวๆ นั้นไม่เปลี่ยน เพียงแต่ถ้อยคำบางอย่าง หร่วนซิ่วปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
หร่วนฉงกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เช็ดปากแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “เฉินผิงอันตาบอดหรือไร? ลูกสาวข้ามีตรงไหนที่ไม่ดี ถึงได้ไม่ชอบ?! ใครมอบดีสุนัขให้เขากล้าไม่ชอบ?”
หร่วนซิ่วหัวเราะตาหยี
หร่วนฉงเดือดดาลผิดปกติ ดื่มเหล้าคำใหญ่อีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แต่ว่าเจ้าเด็กนี่ก็ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เหมือนบุรุษทั่วไปที่กินอยู่ในปาก แต่มักจะนึกถึงอาหารในหม้อ สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่มีข้อบกพร่องจริงๆ”
หร่วนฉงพลันเอ่ยอย่างกังขา “ซิ่วซิ่ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ไปท่องอยู่ในยุทธภพมาห้าปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากอุบาย จงใจถอยเพื่อรอรุก ทำให้ข้าไว้ใจเลยไม่คิดป้องกันเขาหรอกนะ?”
หร่วนซิ่วมองบิดาของตนด้วยสายตากังขาโดยที่ไม่เอ่ยอะไร
หร่วนฉงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเด็กนั่นคงไม่ไร้คุณธรรมขนาดนี้กระมัง”
แล้วหร่วนฉงก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ซิ่วซิ่ว เจ้าไม่รู้สึกเสียใจสักนิดเลยหรือ? ซิ่วซิ่ว เจ้าบอกกับพ่อมาตามตรง สรุปแล้วเจ้าชอบเฉินผิงอันหรือไม่ พ่อจะถามเจ้าแค่ครั้งนี้ หลังจากนี้จะไม่ถามอีกแล้ว ดังนั้นห้ามพูดโกหก”
หร่วนซิ่วยิ้มพลางยกสองมือขึ้นโบกอย่างแรง “เปล่าสักหน่อย”
หร่วนฉงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “หากพ่อต่อสู้กับเฉินผิงอัน เจ้าจะช่วยใคร?”
หร่วนซิ่วให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ก็ต้องช่วยท่านพ่ออยู่แล้ว”
หร่วนฉงรู้สึกปลาบปลื้มใจนิดๆ
เขาพลันหันขวับมามอง
หร่วนซิ่วมีสีหน้าจริงใจ ไร้พิรุธแม้แต่น้อย
“รีบกลับบ้านกันเถอะ” หร่วนฉงถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง เขาทะยานร่างกลายเป็นรุ้งยาวที่พุ่งจากไป
หร่วนซิ่วยังคงเดินอยู่ท่ามกลางป่าเขาตามลำพังอย่างสบายอุรา สุดท้ายนางเดินมาหยุดอยู่ข้างลำธารสายหนึ่ง นั่งยองลงตรงนั้น วักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบมือ ในน้ำมีแสงจันทร์ที่ทอประกายกระจัดกระจาย
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินเพียงลำพังสักครู่หนึ่ง กลับถูกผู้เฒ่าแซ่ชุยยื่นมือมาคว้ากระชากเข้าไปในห้องบนชั้นสอง
จากนั้นผู้เฒ่าก็เตะเข้าที่หน้าท้อง ร่างทั้งร่างของเขากระแทกเข้ากับผนัง เฉินผิงอันใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น พลิกร่างหมุนกลับ เพิ่งจะพลิ้วกายหยุดยืนได้มั่นคงก็ถูกพายุหมัดอีกลูกของผู้เฒ่ากระแทกเข้าที่หน้าผาก เรือนไม้ไผ่โยกคลอนตามไปด้วย เสียงกัมปนาทระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น
มากพอจะแสดงให้เห็นว่าหมัดนี้มีพละกำลังมหาศาลเพียงใด
เฉินผิงอันที่อยู่ดีๆ ก็ถูกซ้อมอย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก สบถด่ามารดาอีกฝ่ายอย่างดุเดือด จากนั้นก็แผดเสียงด้วยความโกรธเคือง “แน่จริงก็ใช้ขอบเขตห้าสู้กับขอบเขตห้าสิ!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ได้สิ ประมือกันด้วยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของขอบเขตห้า?”
เฉินผิงอันใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวกระโจนออกไป
ผู้เฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ เขายังถึงขั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งแบฝ่ามือผายไปตรงหน้า บอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าเชิญออกหมัดก่อนได้ตามสบาย
ก้าวที่หกที่เดินออกไป เฉินผิงอันกระทืบพื้นอย่างแรง พลังอำนาจพุ่งทะยาน
จากนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างไม่มีลางบอกเหตุ พุ่งตัวออกไปจากประตูไม้ไผ่ของห้องชั้นสองที่ยังไม่ถูกปิด ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งเจี้ยนเซียนก็พุ่งออกจากฝัก เขาขึ้นไปเหยียบบนกระบี่ โผนทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ เผ่นหนีไปไกล
ป้อนหมัด เฉินผิงอันสามารถรับได้
แต่คืนนี้เห็นได้ชัดว่าตาแก่กินยาผิดขนาน คล้ายจะเอาตนไปเป็นที่ระบายโทสะ แบบนี้ไม่สมควร
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าไม่ได้รีบออกหมัดต่อยให้เฉินผิงอันร่วงลงมา แค่จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไหลลื่นเป็นปลาไหลจริงๆ เหตุใดพอเจอกับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงถึงได้ทึ่มทื่อเป็นตอไม้นักเล่า? อายุน้อยๆ ก็ทำตัวยึดมั่นในรักเดียวขนาดนี้แล้ว? ไม่เข้าท่า!”
ผู้เฒ่าคิดคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะเดินก้าวหนึ่งมาอยู่บนระเบียงรั้วนอกห้อง แล้วปล่อยหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
เฉินผิงอันที่เดิมทีนึกว่ารอดพ้นหายนะมาได้แล้วกำลังคิดว่าคืนนี้คงจะต้องชมจันทร์อยู่บนท้องฟ้าสักคืนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไร
คิดไม่ถึงว่าทั้งคนและกระบี่จะถูกหนึ่งหมัดของผู้เฒ่าต่อยให้ร่วงลงสู่โลกมนุษย์
จากนั้นผู้เฒ่าก็กดฝ่ามือข้างหนึ่งลงเบาๆ หนึ่งครั้ง
ทว่าประหนึ่งมีพายุลมกรด มีน้ำตกสายใหญ่ที่ซัดกรากลงมาจากม่านฟ้า ตบกระแทกให้เฉินผิงอันที่คิดจะเหยียบกระบี่ทะยานลมต่ออีกครั้งร่วงลงไปในผืนป่า
ร่างของเฉินผิงอันกระแทกลงในลำธารสายเล็ก สะเก็ดน้ำสาดกระจายดังตูม
น้ำในลำธารไม่ลึก เฉินผิงอันยืนโงนเงนอยู่กลางน้ำ บังคับเจี้ยนเซียนให้กลับเข้ามาในฝักด้านหลังตัวเองอีกครั้ง
ผลกลับเห็นหร่วนซิ่วที่นั่งยองอยู่ริมลำธารกำลังเหม่อมองมายังตน
เฉินผิงอันค้อมเอว สูดอากาศเข้าปอดคำใหญ่ จากนั้นก็ลูบใบหน้า กล่าวอย่างจนใจว่า “บังเอิญจริง เจอกันอีกแล้ว”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
อยู่ดีๆ ก็ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ปลิวหวือเข้าไปในผืนป่าอีกครั้ง พร้อมกับเสียงคำรามที่คุ้นเคยดังขึ้น “เจ้าตัวดี รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ยอมเลิกทำตัวเป็นโจรง่ายๆ ไม่แล้วไม่เลิกสักทีใช่ไหม?! คิดถึงลูกสาวข้าจนติดใจนักใช่ไหม? แม้แต่แผนเจ็บตัวก็ยังเอามาใช้ได้?!”
อีกหมัดหนึ่งพุ่งมาถึง
ตลอดทั้งลำธารถูกพายุหมัดที่ ‘ผ่านทางมา’ ลูกนั้นสะบั้นหั่นกลาง
เฉินผิงอันจึงได้แต่บังคับให้เจี้ยนเซียนออกจากฝักอีกครั้ง แล้วขี่กระบี่เผ่นหนีไป ถึงจะพอหลบหมัดนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วจากนั้นเขาก็ตกอยู่ท่ามกลางอันตรายรายล้อม
เฉินผิงอันถึงขั้นเอายันต์ย่อพื้นที่ออกมาใช้ด้วย ระหว่างที่หนีกระเซอะกระเซิงก็บ่นไปด้วยตลอดทาง “บวกกับเว่ยป้ออีกคนก็นั่งกันเต็มโต๊ะพอดีแล้ว”
สายตาเขาเหลือบไปเห็นว่าบนยอดต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งมีเงาร่างชุดขาวพลิ้วกายมาถึง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบบนั้นจะดีหรือ”
เสียงของเว่ยป้อไม่ดังมาก ทว่าเฉินผิงอันกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันหัวทิ่มเข้าไปในระลอกคลื่น นาทีถัดมาก็มายืนอยู่บนยอดเขาพีอวิ๋นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเซียน เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นั่งแปะลงไปบนพื้น
ยังดีที่เว่ยป้อไม่ได้ซ้ำเติมเขา
ทางฝั่งของลำธาร หร่วนฉงกดไหล่ของหร่วนซิ่วเบาๆ ร่างทั้งสองก็วูบหายกลับคืนไปยังสำนักกระบี่หลงเฉวียน
หร่วนฉงทำอาหารมื้อดึกด้วยตัวเองหนึ่งโต๊ะ พ่อลูกสองคนนั่งตรงข้ามกัน หร่วนซิ่วคลี่ยิ้มกว้าง
หร่วนฉงถอนหายใจอยู่ในใจ
เสียใจในวันนี้ก็ยังดีกว่าจิตใจด้านชาในวันหน้า
ทางฝั่งของภูเขาพีอวิ๋น
เว่ยป้อยิ้มพลางค้อมตัวยื่นมือมาช่วยพยุงให้เฉินผิงอันที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “คืนนี้เหมือนกับฝันอย่างไรอย่างนั้น”
เว่ยป้อยิ้มแล้วยื่นฝ่ามือออกมา
ครู่หนึ่งต่อมานกขนสีเขียวตัวหนึ่งที่บินผ่านทะเลเมฆเหนือยอดเขาพีอวิ๋นยามค่ำคืนก็พลันร่วงหล่นสู่ฝ่ามือขององค์เทพท่านนี้
เว่ยป้อใช้มือหนึ่งประคองนกเขียว ส่วนมืออีกข้างโบกชายแขนเสื้อเบาๆ มีเบาะรองนั่งเมฆขาวเบาะหนึ่งลอยขึ้นด้านหลังเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง
เว่ยป้อยกฝ่ามือขึ้น นกน้อยก็บินกลับคืนสู่ทะเลเมฆ จากไปไกลอีกครั้ง
เว่ยป้อเอ่ยเสียงเบา “เฉินผิงอัน จากเนื้อความในจดหมายหลายฉบับที่เจ้าส่งมายังภูเขาพีอวิ๋น บวกกับที่ได้คุยเล่นกับชุยตงซานคราวก่อนบนภูเขาพีอวิ๋น ข้าค้นพบเบาะแสเส้นหนึ่งที่นำมาประติดประต่อกันได้ เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ตัวเจ้าเองก็อาจจะสัมผัสไม่ถึง”
เฉินผิงอันถาม “ประหลาดอย่างไร?”
นับตั้งแต่ที่ได้เรียนหมากล้อมกับชุยตงซาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน การทบทวนกระดานหมากคือหนึ่งในการบ้านที่นักบัญชีอย่างเฉินผิงอันต้องทำเป็นประจำ
เว่ยป้อทอดสายตามองไปไกล ทะเลเมฆไม่อาจบดบังการมองเห็นขององค์เทพแห่งขุนเขาท่านนี้ได้เลย ลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูที่ทอดยาวเชื่อมต่อกัน และห่างออกไปไกลอีกนิดก็คือแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ของเมืองหงจู๋ เว่ยป้อเอ่ยเนิบช้าว่า “หร่วนซิ่วได้รับโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นมังกรเพลิงที่ขดตัวเป็นกำไลอยู่บนข้อมือของนางตัวนั้น ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นี่คือความจริงที่เห็นกันได้ชัดเจนอยู่แล้ว
เว่ยป้อเอ่ยอีกว่า “นับตั้งแต่ที่อาจารย์ฉีมอบตราประทับขุนเขาแม่น้ำให้แก่เจ้า ศึกในร่องเจียวหลงทำให้ตราประทับตัวอักษรภูเขาแตกสลาย เหลือเพียงแค่ตราประทับอักษรน้ำ ก่อนหน้านี้เจ้าได้เจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานในจวนน้ำใสลมเย็นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซิ่วฮวา ต่อมาในใบถงทวีป เจ้าก็มีวาสนากับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ ในอาณาเขตของแคว้นชิงหลวน ก่อนที่จะไปเยือนสวนสิงโต ว่ากันว่าเจ้าได้ยกพู่กันเขียนตัวอักษรลงบนผนังของศาลเทพวารีแห่งหนึ่ง ทางฝั่งของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงก็ได้เจอกับเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่คิดไม่ซื่อกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ ก็ล้วนเป็นวาสนาสัมพันธ์ หันกลับมามองเทพแห่งขุนเขาซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาองค์เทพแห่งแม่น้ำและภูเขา นอกจากข้าแล้วก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ อย่างน้อยสำหรับในใจของเจ้า ต่อให้ผ่านทางไปแล้วก็ยังไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ถูกหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าอาศัยอยู่ใกล้น้ำมานานเท่าไหร่แล้ว? เป็นเวลาที่ไม่ใช่น้อยๆ เลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้ารับ
“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า ช่วงแรกเริ่มสุดหนีชิวน้อยตัวนั้นเลือกใคร?! คือเจ้าเฉินผิงอัน ไม่ใช่กู้ช่าน!”
เว่ยป้อยิ้มซีดเซียว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เจ้า ‘ใกล้ชิดกับน้ำ’ เช่นนี้ แล้วหร่วนซิ่วเล่า? การช่วงชิงกันระหว่างไฟกับน้ำ ยังมีการช่วงชิงบนมหามรรคาใดที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
เว่ยป้อทอดถอนใจหนึ่งที
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ ยื่นนิ้วไปชี้เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง “วางใจเถอะ หากมีศึกแห่งการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟขึ้นจริงๆ ข้าจะหลีกทางให้แม่นางหร่วนก็แล้วกัน เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง มหามรรคาของข้าเฉินผิงอันอยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธ ขี่กระบี่เดินทางไกล ออกหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด ออกกระบี่ที่เร็วที่สุด ร่ำสุรากับคนที่มีเหตุผล ออกหมัดออกกระบี่ให้กับเรื่องที่ไม่เป็นธรรม…”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คนหนุ่มที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็เรียกได้ว่า ‘ผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก’ ไม่เคยมีชีวิตชีวาเท่าในยามนี้มาก่อน “ข้าหวังว่าวันหนึ่งเมื่อข้าเฉินผิงอันยืนอยู่ที่ใด หลักการเหตุผลก็จะอยู่ที่นั่น!”
—–