บทที่ 2723 เป็นเดือดเป็นร้อน 3
เป็นได้เพียงหุ่นเชิดที่ออกมาร้องป่าวต่อหน้าชาวเผ่าจิ้งจอกครามเป็นครั้งคราว ให้ชาวเผ่าสามารถสงบใจเกื้อหนุนเขตแดนของเผ่าจิ้งจอกครามต่อไป เพื่อสร้างที่พักอาศัย ทำการเกษตร ทำงานจิปาถะทุกอย่างให้ชาวดาวจิ้งจอกครามเหล่านี้
ถึงแม้พวกเขากับชาวดาวจิ้งจอกครามจะรับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ร่วมบรรพชน แต่ชาวดาวจิ้งจอกครามไม่มีความเกรงใจต่อชาวเผ่าจิ้งจอกครามเลย มักจะเรียกพวกเขาว่าพวกพันทางอยู่เสมอ ซ้ำยังมีคนเอาไปพูดกันเองในวงว่าพวกเขาเป็นพวกนอกคอกด้วย ทุบตีด่าทออยู่เสมอ ถ้าล่วงเกินพวกเขาไปสักนิดก็จะประสบหายนะ
อันที่จริงชาวเผ่าจิ้งจอกครามเกลียดชังพวกเขามานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกมา
หลานเยวี่ยเคยหลอกถามตวนมู่เหยี่ยน บังเอิญได้ทราบความจากปากของอีกฝ่ายว่า ที่พวกเขาหาที่นี่พบเป็นเพราะได้รับสัญญาณที่กระจายออกมาจากรูปสลักกลางจัตุรัสของแดนเผ่าจิ้งจอกครามเหล่านั้น…
รูปสลักเหล่านั้นตั้งอยู่ที่เผ่าจิ้งจอกครามมาหมื่นปีแล้ว หลานเยวี่ยเพิ่งได้รู้ว่ามีประโยชน์ใช้สอยแบบนี้ด้วย!
บางทีบรรพชนรุ่นก่อนของเผ่าจิ้งจอกครามคงอยากใช้สัญญาณนี้เรียกชาวเผ่าในอวกาศอันไกลโพ้นมา จากนั้นก็กลับสู่มาตุภูมิด้วยกัน
แต่พวกหลานเยวี่ยไม่อยากเลย!
พวกเขาถือเอาทวีปซิงเยวี่ยเป็นถิ่นกำเนิดของตนอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนดาวจิ้งจอกครามที่ไกลโพ้น พวกเขาไม่สนใจเลยสักนิด!
เมื่อก่อนหลานเยวี่ยนึกมาเสมอว่ารูปสลักพวกนั้นคือสัตว์สัญลักษณ์ของบรรพชน หากรู้แต่แรกว่ามีประโยน์ใช้สอยเช่นนี้อยู่ด้วย เขาคงรื้อทิ้งไปนานแล้ว!
ตอนนี้เมื่อตี้ฝูอีให้เขาเลือกว่าต้องการจากไปพร้อมกับชาวดาวจิ้งจอกครามหรือไม่ เขาย่อมปฏิเสธโดยไม่หยุดคิดเลย!
เขายอมตายดีกว่าไปจากทวีปซิงเยวี่ย...
ตี้ฝูอีให้เขาถามความเห็นของคนในเผ่าดู หลานเยวี่ยจึงเรียกชาวเผ่าทั้งหมดมาทันที สอบถามความเห็นของพวกเขา ทุกคนล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ไป! มีแต่ผีน่ะสิถึงจะอยากไปดาวจิ้งจอกครามอะไรนั่น!”
ด้วยเหตุนี้ ปัญหาการอยู่หรือไปของชาวเผ่าจิ้งจอกครามจึงคลี่คลายลง
เพื่อกันไม่ให้เป็นการชักนำความเดือดร้อนอันใดขึ้นมาในภายหน้าอีก ตี้ฝูอีจึงร่ายอาคมลบความทรงจำเรื่องที่ชาวดาวจิ้งจอกครามเคยอยู่ที่นี่ให้พวกเขา
มีเพียงหลานเยวี่ยที่หลงเหลือความทรงจำนี้อยู่ เพื่อเป็นบทเรียนโลหิตอันโหดร้ายอย่างหนึ่ง เลี่ยงไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก
หลานเยวี่ยย่อมทราบความหนักเบาของเรื่องนี้ดี ไม่มีทางแพร่งพรายต่อภายนอกเด็ดขาด
หาไม่แล้วหากผู้คนด้านนอกทราบความจริงเข้า เกรงว่าชาวเผ่าจิ้งจอกครามคงจะถูกชาวทวีปซิงเยวี่ยที่โกรธแค้นขุ่นเคืองตามมาล้างแค้นในฐานะแพะรับบาป…
แน่นอน ถ้าชาวเผ่าจิ้งจอกครามจะอยู่ต่อก็มีเงื่อนไขด้วยเช่นกัน คือต้องทุบทำลายรูปสลักเหล่านั้นให้สิ้นซากไปทั้งหมด เขตแดนของเผ่าจิ้งจอกครามจะก่อขึ้นอีกไม่ได้แล้ว และชาวเผ่าจิ้งจอกครามสามารถแต่งงานกับคนนอกได้แล้ว
หลานเยวี่ยย่อมตอบรับเงื่อนไขเหล่านี้ อันที่จริงแล้วเขาชมชอบแม่นางชาวมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ติดอยู่ตรงกฎของเผ่าจิ้งจอกครามเท่านั้น จึงไม่กล้าฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ยามนี้ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำลายกฎข้อนี้ให้เขาแล้ว เขาย่อมไล่ตามนางในดวงใจได้สะดวกแล้ว
เพื่อตอบแทนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หลานเยวี่ยนำข้อมูลลับสุดยอดที่ตกทอดมาจากบรรพชนเผ่าจิ้งจอกครามมาให้ยืม
ว่ากันตามจริงแล้ว ข้อมูลลับพวกนั้นล้วนบันทึกด้วยตัวอักษรยึกยืออย่างหนึ่ง น่าจะเป็นอักขระของดาวจิ้งจอกคราม เพียงแต่ชาวเผ่าจิ้งจอกครามใช้ชีวิตอยู่มาเนิ่นนานจนเลิกใช้อักขระชนิดนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนอ่านภาษายึกยือเหล่านี้ออกแล้ว
เมื่อจัดการเรื่องที่เผ่าจิ้งจอกครามเสร็จ ตี้ฝูอีก็ให้ทุกคนนำอาวุธสมัยใหม่ที่ได้รับแจกจ่ายเหล่านั้นออกมาให้หมด จากนั้นก็นำมารวมกันแล้วทำลายทิ้งทั้งหมด
พวกมู่เฟิงไม่เข้าใจ พวกเขาคิดจะเก็บอาวุธเหล่านี้ไว้ ทุกคนสามารถใช้มันปกป้องทวีปซิงเยวี่ยได้ ไม่มีอะไรเสียหายเลย
มู่เฟิงถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจออกมา
ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยเมย “สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่วัตถุในทวีปซิงเยวี่ย ถ้ามีพวกมันอยู่ จะไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นฟูซ่อมแซมเกราะคุ้มกันเหนือทวีปซิงเยวี่ยขึ้นมาใหม่ และจะกลายเป็นเครื่องมือให้อาณาจักรต่างๆ นำมันมาตีชิงใต้หล้า ถ้าเก็บพวกมันไว้ จะก่อให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงขึ้น เกิดพายุนองโลหิต เมื่อถึงยามนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมากน้อยเพียงใด”
————————————————————————————-
บทที่ 2724 เป็นเดือดเป็นร้อน 4
ในที่สุดพวกมู่เฟิงก็เข้าใจแล้ว ยอมรับแต่โดยดี
ถึงแม้ผู้รุกรานทั้งหมดจะจากไปแล้ว แต่ทวีปซิงเยวี่ยยังมีสารพัดสิ่งคอยท่าอยู่ ทุกคนย่อมต้องกลับถิ่นใครถิ่นมัน ต่างกลับไปจัดการธุระในอาณาจักรของตน
ส่วนกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีก็กลับไปยังที่พำนักของเทพศักดิ์สิทธิ์…วังมรกต
ที่กลับมาพร้อมกันยังมีสี่ทูตมู่เฟิงรวมถึงเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋ด้วย
ส่วนพวกคุนเสวี่ยอี๋ ถูกตี้ฝูอีส่งออกไปทำภารกิจลับแล้ว
เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะพาตี้เฮ่ากลับมาพร้อมกันด้วย แต่เด็กคนนี้กลับนึกสนใจในตัวอวิ๋นเยียนหลีขึ้นมา เป็นตายอย่างไรก็จะไปด้วยกันกับเขา
ตี้ฝูอีทราบว่าบุตรชายทำเช่นนี้จะมีต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างแช่มชื่นยิ่ง อวิ๋นเยียนหลีไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่ให้เขาติดตามไป จะทิ้งก็ทิ้งไม่ได้
….
วังมรกตยังเป็นเช่นเดิมทุกอย่าง แม้กระทั่งร่องรอยที่ตี้ฝูอีเคยพำนักอยู่ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ากลับคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉากกั้นลมที่เขาวาดในปีนั้น รูปสลักไม้ที่แกะเองกับมือ…ล้วนปรากฏขึ้นทีละอย่างๆ
ราวกับมีมือคู่หนึ่งคอยควบคุมทุกอย่างที่นี่อยู่ในที่ลับไม่ประจักษ์นามอยู่
กู้ซีจิ่วลูบไล้ฉากกั้นลมบานหนึ่ง บนฉากคือภาพขุนเขาธาราที่ตี้ฝูอีวาดเองกับมือ และเป็นภาพที่เธอชอบที่สุด
ยามนี้ได้เห็นภาพนี้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงอดใจไม่อยู่มองแล้วมองอีก ทอดถอนใจเบาๆ “ฝูอี ปีนั้นที่ท่านดับขันธ์ แม้แต่ภาพเหล่านี้ก็หายไปจนสิ้น และตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาจากแดนเพลิงแห่งนั้น ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่ แต่คนอื่นกลับลืมเลือนท่านไปหมดแล้ว ข้าพยายามหาหลักฐานยืนยันถึงการเคยมีอยู่ของท่านอย่างสุดชีวิต ผลคือไม่พบสิ่งใดเลย…” กล่าวมาถึงตรงนี้ ก็คล้ายจะนึกถึงความหมดสิ้นหนทางในปีนั้นขึ้นมา น้ำเสียงโศกหมองเล็กน้อย
ตี้ฝูอีย่อมทราบถึงความโศกเศร้าทรมานของนางในปีนั้น หัวใจพลันบีบตัว จับมือนางไว้ “ล้วนผ่านไปแล้ว ข้ากลับมาแล้ว จะไม่จากเจ้าไปอีก”
เขาพานางไปเดินเล่นที่สวน ไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงด้านหน้าภูเขาจำลองลูกหนึ่งแล้ว จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ชะงักฝีเท้า มองไปที่ภูเขาจำลองนั้น หน้าซีดเล็กน้อย
“อะไรหรือ?” ตี้ฝูอีไม่เข้าใจ
“ท่าน…ปีนั้นท่านดับขันธ์อยู่ตรงนั้น พวกมู่เฟิงร้องไห้อยู่ทางนั้นปานมนุษย์น้ำตา” กู้ซีจิ่วพึมพำ
ตี้ฝูอีเงียบงัน เขาย่อมจดจำสถานที่แห่งนี้ได้ กู้ซีจิ่วกล่าวไม่ผิดเลย เพียงแต่นางเห็นได้ยังไง? ตอนนั้นนางน่าจะอยู่ที่แดนเพลิงมิใช่หรือ?
“ตอนอยู่แดนเพลิงข้าฝัน ฝันว่าท่านดับขันธ์ไปแล้ว ข้ากลัวอย่างยิ่ง เดินทางติดขัดไปหมด พยายามบอกตัวเองอยู่ในใจสุดชีวิตว่านั่นไม่ใช่ความจริง เป็นความฝัน ท่านยังอยู่ดีที่ด้านนอกรอข้ากลับมา รอยาต่ออายุขัยจากข้าอยู่…” กู้ซีจิ่ว อยากยิ้ม ทว่าเสียงกลับสะอื้นเล็กน้อย
ตี้ฝูอียื่นมือรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด จูบนางทีหนึ่ง “ไม่ต้องนึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ช่างเถอะ ลืมมันไปซะ!”
“จะไม่นึกถึงได้อย่างไร?” กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “ความจริงแล้วหลังจากข้ากลับมาถึงทวีปซิงเยวี่ย ก็ไม่กล้ามาที่นี่เลย ด้วยเกรงว่าร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับท่านจะไม่มีอยู่เช่นเดิม เกรงว่าทุกอย่างในแดนอสุราจะเป็นความฝันทั้งสิ้น เกรงว่าการคืนชีพของท่านจะเป็นเรื่องเท็จ…”
เธอกอดเอวเขา ซุกศีรษะอยู่ในอ้อมอกเขา “ความจริงแล้วข้าหวาดกลัวมากจริงๆ…”
อาการนี้ของนางคือถูกงูกัดครั้งหนึ่งผวาเชือกไปสิบปี หญิงสาวที่เปิดเผยกระฉับกระเฉงเสมอมาก็มีช่วงเวลาที่เป็นเดือดเป็นร้อนเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
ตี้ฝูอีทั้งหน่วงใจทั้งซาบซึ้ง บีบจมูกได้รูปของนาง “ตอนนี้สัมผัสถึงตัวข้าอย่างแท้จริงได้แล้วมิใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วสูดดมกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างละโมบ เธอก็รู้ตัวเองค่อนข้างเดือดเนื้อร้อนใจเกินไปหน่อยจริงๆ
แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แค่ควบคุมไม่ได้เท่านั้น
หลายวันมานี้ ที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เธอแทบจะติดหนึบอยู่ข้างกายเขา ไม่เห็นเพียงชั่วครู่ก็กระสับกระส่ายแล้ว ตอนกลางคืนก็ต้องยึดแขนเสื้อของเขาเอาไว้ถึงจะนอนหลับ หลับไปแล้วก็สะดุ้งตื่นอยู่หลายครั้ง ต้องได้เห็นเขายังอยู่ดีข้างกายก่อนถึงจะสงบใจนอนต่อได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเขา ก็กระวนกระวายจนวิ่งออกไปตามหา โชคดีที่ตี้ฝูอีกลับมาได้ทันเวลายิ่ง มิเช่นนั้นเธออาจตามหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกดินแล้วก็ได้…
อ่อนไหวเจ้าอารมณ์ เป็นเดือดเป็นร้อน แปดคำนี้บรรยายได้ตรงกับสภาพของเธอยิ่ง
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า นี่ค่อยเหมือนนิสัยของตัวเธอ แต่เธอก็แก้ไม่ได้ชั่วขณะ
เธอเคยได้ยินว่าปกติแล้วอารมณ์ของสตรีมีครรภ์จะแปรปรวน รู้สึกไม่มั่นคงอยู่บ่อยครั้ง เธอคิดว่าที่ตนเป็นเช่นนี้น่าจะมีเหตุมาจากการตั้งครรภ์ พอคลอดลูกแล้วก็คงจะดีขึ้นเอง
ถึงตี้ฝูอีจะปราดเปรื่องมากความสามารถ แต่เขาก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของหญิงมีครรภ์เช่นกัน เมื่อกู้ซีจิ่วอธิบายกับเขาแบบนี้ เขาจึงเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเขาจะยุ่งแค่ไหนก็จะพานางไปด้วย มอบความรู้สึกมั่นคงให้นางมากพอ พยายามไม่กระตุ้นความทรงจำแย่ๆ ของนาง เลี่ยงไม่ให้นางเป็นทุกข์
เขาคิดว่าด้วยไอวิญญาณอันพรั่งพร้อมของวังมรกต จะทำให้อารมณ์ของนางสงบมั่นคงได้บ้าง กลับคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะสะกิดปมอ่อนไหวของนางยิ่งกว่าเดิม…
สวนบุปผาแห่งนี้ไม่อาจเดินเล่นต่อได้แล้ว ตี้ฝูอีจึงพานางกลับไปที่ห้องนอนเสีย บังคับให้นางนอน “เด็กดี หลับสักงีบเถอะ เจ้าเหนื่อยเกินไปแล้ว”
“ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้านะ” กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อเขา
“ได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” เขานอนลงข้างๆ นาง โอบนางไว้ “นอนเถอะ”
“ท่านจะไม่จากไปใช่ไหม?”
“แน่นอน พอเจ้าตื่นขึ้นมา ข้ารับรองได้ว่าข้าจะยังอยู่”
กู้ซีจิ่วถึงได้หลับตาลงแล้วนอนหลับไป
ตี้ฝูอีมองใบหน้ายามหลับใหลของนาง นางหลับไม่ใคร่สงบนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงขั้นที่มีเหงื่อซึมออกมาบนปลายจมูกของนาง มือของนางยังปัดป่ายไปทั่วอีกด้วย ตี้ฝูอีจับมือของนางเอาไว้อย่างรู้งาน นางถึงได้หลับสนิทลงอีกครั้ง
นางมีอาการเช่นนี้มาเกือบเดือนแล้ว เป็นอาการปกติจริงๆ น่ะหรือ?
ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกต่อต้านที่นางพึ่งพาเขาเช่นนี้ ถึงขั้นที่ชมชอบยิ่งนักด้วย แต่เขาก็รู้สึกอยู่เสมอว่าบุคลิกของนางเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก
ตี้ฝูอีจับชีพจรให้นางอีกครั้ง ชีพจรของนางปกติยิ่ง ไม่มีความผิดปกติตรงไหนเลย
เขาหลุบตาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ห่มผ้าให้นางดีๆ แล้วก้าวออกไป สั่งการมู่เฟิงที่เฝ้าอยู่ด้านนอก “หาหมอตำแยที่มีประสบการณ์มาให้ข้าสักสองสามคน”