รัฐวายุโหม เป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา
“จวินอ๋องดำเคยมายังหอสุราแห่งนี้มาก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในห้องส่วนตัวแห่งหนึ่งของหอสุรา สายตาก็ทอดมองไป กาลเวลาย้อนกลับไป เพียงแต่เมื่อใกล้ถึงตอนที่จวินอ๋องดำอยู่นั้น กาลเวลาก็บิดเบือนไปและได้รับผลกระทบจนมิอาจตรวจดูได้อีกต่อไป “เคยมาที่นี่จริงๆ ด้วย เครือข่ายข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มิได้ผิดพลาดจริงด้วย!”
แม้เขาจะมิใช่ยอดฝีมือทางสายกาลเวลา แต่ผู้ที่สามารถทำให้เขามิอาจย้อนเวลากลับไปตรวจสอบได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาล
“อาจจะอยู่ภายในเมืองนี้ก็ได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
วิ้ง
น้ำวนอันไร้รูปร่างที่มีเขาเป็นศูนย์กลางแผ่รัศมีออกไปผ่านอณูทรงกลมหมอกดำทั้งหมด อีกไม่นานก็จะแพร่ไปทั่วทั้งตัวเมือง วิธีการค้นหาด้วยแก่นห้วงอากาศนี้เร้นลับยิ่งนัก
“ภายในเมืองไม่มีเทพจักรวาลเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “จวินอ๋องดำจากรัฐโบราณบรรพชนไปแล้วปรากฏกายขึ้นในรัฐเล็กๆ อันไกลโพ้นอีกแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ก็คงไม่ถึงกับเดินทางเป็นระยะทางอันไกลโพ้นเพื่อมากินอาหารที่นี่มื้อหนึ่งหรอกกระมัง สถานที่ที่เขาอยู่ก็คงจะอยู่ภายในเขตรัฐวายุโหม”
“ตรวจดูให้ละเอียด”
แรงกดดันของดินแดนจิตโลการ้ายกาจเกินไปแล้ว วิธีการค้นหาผ่านแก่นห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีขอบเขตจำกัด
เขาสำแดงทลายโลกาตามที่ต่างๆ เพื่อสอดส่องดู…
เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม
“นี่คืออะไรกัน” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เขาสอดส่องตัวเมืองอันไกลโพ้นแห่งหนึ่งของรัฐวายุโหมผ่านศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ภายในตัวเมืองมีไอหมอกสีดำจางๆ ปกคลุมไปทั่ว ไอหมอกนั้นอ่อนจางมาก ทั้งตัวเมืองหม่นมัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองก็ผิดปกติเป็นอย่างมาก
บ้างก็กำลังห้ำหั่น!
บ้างก็เคลื่อนที่ในพริบตาทะลุไปในตัวเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายคิดจะออกจากตัวเมือง แต่ทำอย่างไรก็มิอาจออกไปจากบริเวณที่มีไอหมอกจางๆ ปกคลุมนี้ได้
และมีบางคนที่รวมตัวกันเป็นกองกำลัง ค้นหาอะไรบางอย่างไปทั่วทุกมุมเมือง
ภายในเมือง…ทุกชั่วขณะล้วนมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่สิ้นใจไปท่ามกลางการห้ำหั่นกัน ราวกับเป็นสถานที่แห่งฝันร้าย
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดแต่ละคนจึงเหมือนกับได้รับผลกระทบจากการล่อลวงอย่างนั่นเล่า นอกจากนี้ทั้งเมืองยังเหมือนกับตกเข้าสู่ค่ายกลบางชนิดจนพวกเขาออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอันมาก เนื่องจากเพียงแค่ใช้ทลายโลกาสอดส่อง เขามิอาจเข้าใจปัญหาของเมืองแห่งหนึ่งได้อย่างแท้จริง เพียงแค่มองดูอย่างผิวเผินเท่านั้น เขามั่นใจว่า “จะต้องมีใครสักคนทำร้ายชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งเมืองอย่างแน่นอน!”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววดุร้าย
“ชาวบ้านภายในตัวเมืองเหล่านี้ประสบกับหายนะ ก็ควรจะต้องส่งสารออกไปสิ! เหตุใดรัฐวายุโหมจึงไม่มีปฏิกิริยาใดเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโมโห “เป็นเพราะศัตรูมีความเป็นมาใหญ่โตนักหรือ”
รัฐวายุโหมเป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ
มารร้ายที่แข็งแกร่งทั้งหลายก็เพียงพอให้ประมุขรัฐวายุโหมหวาดหลัวอย่างยิ่งได้แล้ว โดยทั่วไปก็ต้องเชิญให้พันธมิตรต่างๆ มาช่วยเหลือ ส่วนมารร้ายที่มีความเป็นมาใหญ่โต รัฐเล็กๆ ระดับนี้ก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้เท่านั้น!
“สมควรตาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิอาจทนได้
เขา ‘มองเห็น’ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายไป นี่จะต้องเป็นเพราะเป้าหมายบางอย่างของผู้คิดร้ายที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
“ไปดูตัวเมืองอื่นๆ อีกดีกว่า” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้า แต่กลับรีบสอดส่องตัวเมืองอื่นในทันที! ก่อนหน้านี้เขาตามหาจวินอ๋องดำด้วยการไล่ตรวจสอบจวนขนาดใหญ่ต่างๆ ภายในตัวเมืองแต่ละแห่งบัดนี้กลับเฝ้าดูความเคลื่อนไหวคร่าวๆ ทั่วทั้งตัวเมืองเสียเลย จึงย่อมเร็วกว่ามาก
ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ
เขาก็ ‘กวาดดู’ ตัวเมืองทั้งหมดของรัฐวายุโหมแล้วรอบหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงันไปก็คือตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งล้วนมีสถานการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้น ชาวบ้านทั้งหมดมิอาจออกจากเมืองได้! ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอก็กลายเป็นผู้ที่เข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง ส่วนผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้างก็เสาะหาโอกาสรอดชีวิตภายในตัวเมือง แต่ก็มิอาจออกไปได้ ราวกับกำหนดเอาไว้แล้วว่าผู้ที่รอดชีวิตจะน้อยลงเรื่อยๆ ขั้นตอนเช่นนี้ หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือเข้าไป…เกรงว่าจะดำเนินต่อเนื่องไปเป็นล้านปีหรือสิบล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก
“ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโมโห
สวบ
เขาหายวับไปกลางอากาศ แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาไปเป็นระยะทางอันไกลโพ้นมายังตัวเมืองแห่งหนึ่งซึ่งมีไอหมอกสีดำอ่อนจางแผ่คลุมไปทั่ว
“เอ๊ะ ข้าเองก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาเข้าไปได้หรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง เขามองดูหมอกดำตรงหน้า ก่อนจะสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อยแล้วทะยานตรงเข้าไป
เขาทะยานเข้าไปอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
เขาบินทะยานและเดินท่องไป แต่ก็มิได้รับผลกระทบใดจากไอหมอก ตนบินข้ามกำแพงเมืองเข้าไปในเมืองได้อย่างง่ายดาย
“เอ๊ะ ออกไปไม่ได้แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลองเดินออกไปข้างนอก ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ราวกับเป็นโลกที่สร้างขึ้นเองภายใน “คล้ายกับการผนึกมิติอยู่บ้าง ทว่ามิได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกายังสามารถแทรกตัวเข้ามาได้”
นับได้เพียงว่าก่อตัวเป็นโลกภายในแห่งหนึ่งเท่านั้น
เกรงว่าขั้นอลวนทั่วไปคงออกไปมิได้!
“ที่น่าประหลาดก็คือ ข้ามิอาจส่งสารได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดประหวั่นใจมิได้ วัตถุส่งสารที่ติดตัวมามิอาจส่งสารสู่ภายนอกได้ แน่นอนว่ามีร่างแยกและร่างแปรอยู่ก็สามารถสัมผัสรับรู้เชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้เหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปมิอาจมีร่างแปรระยะไกลในดินแดนจิตโลกาได้
ผู้ที่มีร่างแยกน่ะหรือ ยิ่งพบเห็นได้ยากแล้ว
“มิอาจส่งสารได้ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในตัวเมืองที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงอบพึมพำ “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรก็มีตัวเมืองสิบเก้าแห่ง ประมุขรัฐวายุโหมจะต้องรู้เรื่องนี้แน่”
“ทำเพื่อเคล็ดลับชั่วร้ายบางอย่างหรือ”
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ชอบมาพากล
สามารถส่งผลกระทบจนมิอาจส่งสารได้ ย่อมมิใช่วิธีการของเทพจักรวาลทั่วไปอย่างแน่นอน! นอกจากนี้ยังส่งผลต่อตัวเมืองถึงสิบเก้าแห่งในครั้งเดียวอีกต่างหาก
ต้องรู้ไว้ว่า แม้ประมุขรัฐวายุโหมจะอ่อนแอ แต่รัฐเล็กที่อ่อนแอเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็น ‘สมาพันธ์สวรรค์โบราณ’ อย่างการบูชาโลหิตในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็แล้วไป เนื่องจากรวดเร็วยิ่งนัก! แต่การลงมือกับตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งเป็นเวลายาวนานเช่นนี้…ตามหลักแล้วประมุขรัฐวายุโหมก็ควรแจ้งให้ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณทราบ และสมาพันธ์สวรรค์โบราณก็ไม่ควรทนรับไว้ง่ายๆ
สมาพันธ์แห่งหนึ่งมีพลังแข็งแกร่งไม่แพ้รัฐเมฆทักษิณาเลย
“ความเป็นมาใหญ่โตเกินไปหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ
แม้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันออยู่บ้าง
แต่ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู บัดนี้ก็มิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงล่าถอยได้!
“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วเป็นมารร้ายตนใดกันแน่” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายหนาวเหน็บ ก่อนหน้านี้เขามายังรัฐวายุโหมแห่งนี้เพื่อไล่ล่าจวินอ๋องดำ บัดนี้เรื่องของจวินอ๋องดำกลับถูกเขาพักไว้ก่อนชั่วคราวแล้ว
เขาต้องการสังหารจวินอ๋องดำ แต่นั่นเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว
สำหรับมารร้ายตัวฉกาจที่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เขามิอาจเห็นอีกฝ่ายทำบาปต่อหน้าต่อตาได้!
……
ภายในตัวเมือง ตงป๋อเสวี่ยอิงแผ่น้ำวนอันไร้รูปร่างออกมา แล้วแพร่ไปทั่วทั้งตัวเมืองผ่านอณูทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศทันที ในพริบตาเดียวก็ทราบจำนวนยอดฝีมือทั่วทั้งตัวเมืองอย่างแน่ชัดแล้ว
ขั้นอลวน…สองคน!
พวกเขาล้วนอยู่ในจวนแห่งหนึ่งภายในตัวเมือง
“อยู่ที่นี่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไป แล้วปรากฏกายขึ้นบนถนนอันเงียบเหงาแห่งหนึ่งพลางมองดูจวนตรงหน้า
รอบด้านมีหมอกดำแผ่กำจายอยู่รางๆ แม้ไกลออกไปจะมีการห้ำหั่นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่ใกล้ๆ จวนแห่งนี้กลับเงียบสงบนัก
“รีบไปเสีย”
เงาร่างสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นมาปรากฏข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่าซึ่งมีเขาเดี่ยวผู้หนึ่ง เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดเสียงต่ำว่า “นี่คือต้นกำเนิดของหมอกดำทั่วทั้งตัวเมือง ยอดฝีมือภายในเมืองของพวกเราร่วมมือกันโจมตีหลายรอบแล้ว บาดเจ็บล้มตายกันไปกว่าครึ่ง แต่ก็ทำอะไรมันมิได้เลย เจ้าอย่าเข้าใกล้จะดีกว่า”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูผู้บำเพ็ญต่างเผ่าซึ่งมีเขาเดี่ยวตรงหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย “ข้าเห็นว่าหมอกดำในตัวเมืองแห่งนี้แปลกประหลาด ดังนั้นจึงได้เข้ามาดู หมอกดำนี้ปกคลุมมานานเท่าใดแล้วหรือ”
“เจ้าจงใจเข้ามาหรอกหรือนี่” ผู้แกร่งกล้าเขาเดี่ยวต่างเผ่าสะดุ้งเฮือกแล้วเผยสีหน้าขมขื่นออกมา “ข้าและคนอื่นๆ อยากออกไปก็ออกไม่ได้ แต่เจ้ากลับเอาชีวิตมาทิ้งรึ เฮ้อ หมอกดำนี่ปกคลุมมานานเกือบสิบล้านปีแล้ว ชาวบ้านภายในเมืองคงตายไปครึ่งค่อนหนึ่งแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้าและคนอื่นๆ ยังคิดว่าท่านประมุขรัฐจะมาช่วยพวกเรา หรือเหล่าเทพจักรวาลของสมาพันธ์สวรรค์โบราณเราจะมา แต่ทว่านานถึงเพียงนี้แล้วก็ไม่เคยมียอดฝีมือเข้ามาเลย ผู้ที่กล้าลงมือกับทั้งตัวเมืองเช่นนี้ ทั้งยังไม่รีบร้อนกวาดล้างทันที หากแต่ทรมานเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่อง มารร้ายที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บัดนี้แม้แต่ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งในเมืองหลายคนก็ยังเสียสติไปแล้ว เฮ้อ เจ้าเข้ามานี่ช่างบ้าบิ่นเกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่มีคนมาช่วยหรือ
“ข้าจะดูเสียหน่อยว่า ที่แท้แล้วผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ ทำให้ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณไม่กล้ายุ่งเกี่ยว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตรงไปทางจวนแห่งนั้น เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ เขาก็ถบออกไปเต็มแรง ปัง…ประตูใหญ่ ถูกถีบจนกระเด็นลอยไป ประตูใหญ่กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งลอยหวือออกไปแล้วกระแทกเข้ากับระเบียงกำแพงและเรือนหลังแล้วหลังเล่าจนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป…
ประตูใหญ่กลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อยอย่างน่าประหลาด ราวกับทะลุทั้งคูหาไปในพริบตาเดียว
“ปัง” ในที่สุดก็มีแสงสีโลหิตสายหนึ่งร่อนลงมาแล้วปะทะเข้ากับประตูใหญ่ที่บินร่อนไปด้วยความเร็วสูง ประตูใหญ่จึงแหลกสลายเป็นผุยผงไป
ภายในจวนก็มีคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเยียบเย็น “ยอดฝีมือขั้นอลวนรึ น่าเสียดาย เป็นคนที่รนหาที่ตายอีกคนแล้ว!”
…………………………………