ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 10 จวินอ๋องดำปรากฏกาย

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“ในที่สุดก็โผล่มาคนหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นี้แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าสำแดงเคล็ดลับปกคลุมนับล้านๆ ชีวิตทั่วทั้งตัวเมือง ทำตามอำเภอใจไร้ความคร้ามเกรง ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขาเช่นนี้”

คนอาภรณ์สีแดงโลหิตสะดุ้งเฮือก

เจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง

คนอาภรณ์สีแดงโลหิตมองดูชายหนุ่มชุดดำตรงหน้า มุมปากกระดกขึ้นมาเล็กน้อย “ดูท่าเจ้าก็คงจะไม่โง่นี่ สามารถเดาได้ว่าเบื้องหลังเกี่ยวโยงใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่เจ้าก็ยังกล้าบุกเข้ามา ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ” แม้ปากของเขาจะพูดเช่นนี้ ในใจคนอาภรณ์สีแดงโลหิตกลับระมัดระวังขึ้นมา ขณะเดียวกันเขาก็พลันอ้าปากขึ้น ฟิ้วๆๆ แมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากปากเขาอย่างแน่นขนัด แล้วบินตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน แล้วปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แทบจะในพริบตาเดียว

“น่าสงสาร”

“เฮ้อ โง่เง่าเกินไปแล้ว”

ไกลออกไปมียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งภายในตัวเมืองแห่งนี้จับตามองอยู่ห่างๆ ก่อนแล้ว เมื่อมองเห็นฉากนี้เข้าก็พากันลอบส่ายหน้า ผ่านมานานเกือบสิบล้านปี พวกเขาก็รู้แล้วว่าต้นเหตุของหายนะก็คือจวนแห่งนี้! แต่ทว่ากองทัพใหญ่ที่พวกเขาร่วมมือกันในตอนนั้นก็บาดเจ็บล้มตายกันไปกว่าครึ่ง จึงไม่มีความมั่นใจที่จะเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไปแล้ว

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งมีแมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมอันตรธานไปราวกับฟองสบู่ แล้วเงาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นด้านบน จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ตายเสียเถอะ”

แขนเสื้อเขาหอบม้วนเข้าไปแล้วห่อหุ้มทั้งมิติเอาไว้จนฟ้าดินมืดหม่น  ไม่ว่าจะเป็นคนอาภรณ์สีแดงโลหิตหรือว่าแมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนถูกห่อหุ้มจนหมด มิติภายในนั้นสั่นสะเทือนคราหนึ่ง คนอาภรณ์สีแดงโลหิตและแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนกลายเป็นผุยผงไป

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเล็กน้อย คนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นี้ก็แค่ ‘โหวโลหิตลอย’ ยอดฝีมือขั้นอลวนของรัฐชั้นสามรอบด้านแห่งหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าผู้ที่ทำตามอำเภอใจไร้ความคร้ามเกรงอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ จะต้องมีที่มาใหญ่โตเป็นแน่!

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็โบกมืออีกครา

แคว่ก…

รอยแยกอากาศฉีกทึ้งทุกสิ่ง ทั้งจวนเบื้องล่างราวกับกระจกแตกออกอย่างไรอย่างนั้น ทุกบริเวณถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นผุยผงในทันใด

“เขาสังหารคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นั้นไปแล้วหรือ”

“นี่คือยอดฝีมือที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งซึ่งมิใช่ขั้นอลวนทั่วไปอย่างแน่นอน อาจจะเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบก็เป็นได้” บรรดายอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดสุดของเมืองนี้ที่มองดูอยู่ไกลๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เกิดความหวังขึ้นสายหนึ่ง

ขั้นอลวนสิบชั้น!

หากเป็นเทพจักรวาลโดยทั่วไปที่ไม่มีสมบัติลับที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งก็แค่ระดับนี้เท่านั้น ต่อให้ประมุขรัฐวายุโหมของพวกเขามาเอง ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงกดดันยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนนี้ได้อย่างพอถูไถเท่านั้น

พลังระดับนี้ เพียงพอจะเหิมเกริมไปทั่วรัฐหนึ่งได้แล้ว

“เอ๊ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง ผิวดินของทั้งจวนแห่งนี้ถูกเขาทำลายไปจนสิ้น เผยให้เห็นค่ายกลขนาดมหึมาเบื้องล่าง ค่ายกลราวกับฝาครอบคุ้มกันวังใต้ดินแห่งหนึ่งเอาไว้ เหนือผิวของทั้งวังใต้ดินมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ค่ายกลหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอายชั่วร้ายอันเข้มข้นแผ่กำจายออกมา มันก็คือแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของหมอกดำทั่วตัวเมืองเหล่านั้น

“ค่ายกลแปลกประหลาดนัก ผู้ที่วางค่ายกลจะต้องเป็นเทพจักรวาลที่ร้ายกาจอย่างยิ่งแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นใจขึ้นมา จากนั้นอากาศรอบด้านก็บิดเบี้ยวไป เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เข้าไปในน้ำวนอากาศแล้ว

ภายในวังใต้ดิน

มียอดฝีมือขั้นอลวนชายชราผมเงินผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้าเขามีต้นไม้ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์อยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ประหลาดนั้นมีหินผลึกสีดำสามก้อนประดับอยู่ หินผลึกแต่ละก้อนมีแสงหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา หมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งตัวเมืองอันใหญ่โตของโลกภายนอกก่อตัวเป็นจังหวะประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่าตามระลอกคลื่นหินผลึกบนต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์

“ถึงขั้นกล้าบุกเข้ามา ช่างไม่ประมาณตนเลยจริงๆ แมลงพิษของโหวโลหิตลอยคงจะสังหารได้อย่างง่ายดาย…อะไรนะ! โหวโลหิตลอยสิ้นใจแล้วรึ” ชายชราผมเงินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในโถงตำหนักใต้ดินสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ในทันใด

โหวโลหิตลอยสิ้นใจรวดเร็วเกินไปแล้ว แค่พบหน้ากันคราวหนึ่งเท่านั้น!

พวกเขาทั้งสองรับผิดชอบประจำการอยู่ที่นี่ ตอนนี้จู่ๆ สหายก็มาตายจากไป ทำให้เขารู้สึกขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมา

“จวินอ๋องดำผู้ยิ่งใหญ่” ชายชราผมเงินถ่ายเสียงให้ผู้นำของตน “มียอดฝีมือขั้นอลวนคนหนึ่งบุกมาถึงถิ่นเรา ทันทีที่โหวโลหิตลอยพบหน้าก็ถูกสังหารเสียแล้ว”

“เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนคนไหนกัน”

แม้ดินแดนจิตโลกาจะกว้างใหญ่ไพศาล จำนวนยอดฝีมือขั้นอลวนก็มากมายนัก แต่ขุมอำนาจระดับยอดสุดก็ยังคงสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของขั้นอลวนได้อยู่ดี

“ไม่ทราบขอรับ ไม่รู้จักเลย! เป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งซึ่งสำแดงกลเม็ดวิถีอากาศออกมา” ชายชราผมเงินพูดอย่างร้อนรน

วิถีอากาศนั้น เนื่องจากมีศาสตร์ร่างแยก

ดังนั้นทั้งดินแดนจิตโลกาจึงมีผู้ตั้งใจศึกษาค้นคว้าวิถีอากาศเป็นจำนวนมาก เช่นสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ในฐานะสิบสำนักใหญ่ก็บำเพ็ญวิถีอากาศเป็นหลัก

“เจ้าปกป้อง ‘ต้นอนธการ’ เอาไว้ให้ดี อย่าออกไปจากโถงตำหนัก ข้าจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี่เดี๋ยวนี้แหละ”

“ขอรับ ข้าจะไม่ออกไป” ชายชราผมเงินรับคำ เขาจะไม่ออกไปอย่างแน่นอน! เพราะคาดว่าหากออกไปก็คงถูกสังหารทันทีที่พบหน้า อยู่ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ดีกว่า ค่ายกลของโถงตำหนักแห่งนี้พิสดารไม่เป็นสองรองใคร ต่อให้เป็นเทพจักรวาลจะโจมตีให้แตกแล้วเข้ามาก็มิใช่เรื่องง่าย

ฟิ้ว

สีหน้าของชายชราผมเงินพลันเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เนื่องจากด้านข้างไม่ไกลออกไปนัก มีน้ำวนอากาศปรากฏขึ้น แล้วชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในนั้น

“จวินอ๋องดำผู้ยิ่งใหญ่ เขามาแล้วขอรับ เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา!” สีหน้าของชายชราผมเงินซีดขาว

ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นวิธีเดินทางที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่ง สถานที่ที่สามารถสกัดกั้นมันได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ในตำนานยังมี ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ที่เหนือกว่ามันอีก ซึ่งนั่นก็สามารถเดินทางได้เกินจริงยิ่งกว่านี้เสียอีก ถึงขั้นสามารถเข้าไปในโลกกำเนิดอื่นได้ และสามารถเข้าไปภายในที่เก็บสมบัติล้ำค่าที่ผู้อื่นหลอมแปรและควบคุมอยู่ได้ด้วย!

“นี่มันต้นอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม สายตากลับจับจ้องไปยังต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ต้นนั้น ต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์นั้นเหมือนกับตายซาก ผิวเปลือกไม้ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย หินผลึกสีดำสามก้อนที่ประดับอยู่ด้านบนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกขยะแขยงอย่างไร้สาเหตุ ที่ทำให้เขาตกใจที่สุดก็คือ เขาจำไม่ได้เลย!

เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสถานะอันใด แต่กลับจำต้นไม้ประหลาดต้นนี้มิได้ จำหินผลึกสีดำนี้มิได้!

เรื่องนี้ทำให้ในใจเขายิ่งระมัดระวังมากขึ้น! นี่ก็คือสาเหตุที่เขาปลอมแปลงเป็นขั้นอลวนก่อนชั่วคราว

“พูดมา!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางเขา

“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ข้าก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน” ชายชราผมเงินรีบวอนขอ

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ

วิ้ง

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันแทรกซึมเข้าไปในห้วงสมองของชายชราผมเงิน นี่คือขั้นอลวนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเพียงกลเม็ดเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งออกมาก็สามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วพลิกดูความทรงจำของเขา

“เอ๊ะ” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป “ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ…จวินอ๋องดำหรือ”

ในความทรงจำของชายชราผมเงิน เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตสองท่าน

ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ!

ยอดฝีมือระดับจอมเคารพที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา! ทว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล่วงรู้ว่า ‘ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ’ เป็นประมุขของสมาพันธ์สวรรค์โบราณเพียงผิวเผินเท่านั้น ในที่ลับยังมี ‘เทพสวรรค์โบราณ’ อยู่อีกคนหนึ่ง! เทพสวรรค์โบราณ…เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งก็เท่านั้นเอง

ยอดฝีมือสองคนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นในความทรงจำของชายชราผมเงิน คนหนึ่งคือประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจวินอ๋องดำ!

ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณลอบรวบรวมยอดฝีมือขั้นอลวนจำนวนหนึ่งอย่างลับๆ จากนั้นก็มอบให้จวินอ๋องดำ! ยอดฝีมือขั้นอลวนกลุ่มนี้มีทั้งหมดสามสิบแปดคนด้วยกัน พวกเขาล้วนฟังบัญชาของ ‘จวินอ๋องดำ’ เท่านั้น พวกเขาก็มิได้โง่งม ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณผู้สูงส่งเหนือใครเรียกตัวพวกเขามารวมกันด้วยตนเอง ส่วนบัดนี้ที่นำพวกเขามาจัดการธุระให้…กลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับจอมเคารพผู้หนึ่งแห่งรัฐโบราณบรรพชนนาม ‘จวินอ๋องดำ’

แม้แต่คนโง่ก็ยังเดาออกว่า ผู้ที่สามารถใช้งานจอมเคารพสองคนได้อย่างง่ายดายจะต้องมีเบื้องหลังที่เกี่ยวโยงยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวโยงถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสองแห่งรัฐโบราณบรรพชนก็เป็นได้! แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ว่าจวินอ๋องดำจะทำการเพียงคนเดียวลำพัง

“ความเป็นมาใหญ่โตนัก”

“สามารถใช้งานประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณและจวินอ๋องดำได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหวาดหวั่นใจขึ้นมา “รัฐโบราณบรรพชนกับสมาพันธ์สวรรค์โบราณมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันหันไปมองทางทิศหนึ่งและมองไปยังอากาศด้านข้าง

ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือคราหนึ่ง

ปัง!

ฝ่ามือหนึ่งตะปบตรงลงไปที่ร่างของชายชราผมเงิน ชายชราผมเงินแหลกสลายหายไปทันที

สมาพันธ์สวรรค์โบราณซึ่งเป็นสมาพันธ์ที่รวมหลายรัฐเข้าไว้ด้วยกันนี้ เดิมทีหละหลวมมาก รัฐต่างๆ ก็วุ่นวาย มารร้ายจำนวนมากก็เหิมเกริมและตั้งตนอยู่ในตำแหน่งสูง ขั้นอลวนที่ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณเรียกมาในครั้งนี้ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก เนื่องจากประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาใหญ่โตอะไรนัก ผู้ที่มีจิตใจอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ต่อให้ถูกบีบบังคับ ก็ไม่ยอมทำให้สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตถูกกวาดล้างเป็นแน่

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นี่คือจิตแห่งวิถีของพวกเขา!

จิตแห่งวิถีมิอาจฝ่าฝืนได้!

จะสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานสักคนหนึ่ง พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่เคี่ยวกรำจิตแห่งวิถีของตนจนทะลุปรุโปร่งบ้างเล่า

พวกวายร้ายที่เรียกตัวมาเหล่านี้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบความทรงจำดู เพลิงโทสะก็ยิ่งลุกโชนขึ้นมา เขาย่อมไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย

“ฟิ้ว” ขณะเดียวกับที่ทำลายชายชราผมเงินนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงมองดูอากาศด้านข้าง กลางอากาศมีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมา ซึ่งเป็นเงาร่างที่มีหมอกดำแผ่กำจายออกมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้ามา

ส่วนเงาร่างกลางหมอกดำนั้นกลับควบคุมค่ายกลของโถงตำหนักแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย

“จวินอ๋องดำรึ” แม้อีกฝ่ายจะจงใจปกปิดเรือนร่างเอาไว้ แต่เส้นทางที่อีกฝ่ายบำเพ็ญมานั้นไม่ถนัดทางด้านการเก็บงำกลิ่นอาย ในดินแดนจิตโลกา ผู้ที่เคยเห็นจวินอ๋องดำกับตาตนเองมีไม่มากนัก แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นหนึ่งในนั้นพอดี เพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าผู้มาเยือนคือจวินอ๋องดำนั่นเอง

 ……………………………………