“สหายตัวน้อย กล้าทำให้ธุระของบรรพชนอย่างข้าเสียหายรึ” จวินอ๋องดำเอ่ยปาก แต่กลับยังคงไม่อยากเปิดเผยตัวตนออกไป “ขั้นอลวนตัวเล็กๆ อย่างเจ้าคนหนึ่งคงจะไม่บังอาจถึงเพียงนี้ บอกข้ามาสิ ว่าใครใช้ให้เจ้ามากันแน่”
“ไม่มีใครให้ข้ามาทั้งนั้นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพลางมองดูต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ด้านข้างและหินผลึกสีดำสามก้อนที่ประดับอยู่บนลำต้นแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “บรรพชนท่านนี้ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าต้นไม้ประหลาดต้นนี้คือสิ่งใดกัน”
จวินอ๋องดำกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
สงบนิ่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทั้งยังบอกว่าไม่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลังอีก
“ขั้นอลวนอย่างเจ้าคนหนึ่งคงไม่โง่หรอกกระมัง หากไม่มีผู้บงการเจ้า เจ้าจะมารนหาที่ตายอย่างโง่งมเช่นนี้หรือ” น้ำเสียงของจวินอ๋องดำแฝงแววอาฆาตเอาไว้ “บอกเจตนาที่แท้จริงของเจ้ามา”
“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีผู้บงการข้า ข้าอยากถามท่านมากกว่าว่า ตัวเมืองสิบเก้าแห่งโดยรอบเผชิญกับหายนะมาจนทุกวันนี้เกือบสิบล้านปีแล้ว ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณกลับทำเหมือนมองไม่เห็น ตั้งสิบเก้าเมืองเชียวนะ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสิ้นชีวิตไปชุดแล้วชุดเล่าภายใต้ฝันร้ายนี้ ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่สามารถทำให้สมาพันธ์สวรรค์โบราณทำเป็นมองไม่เห็นได้ ข้าเดาว่าบุคคลที่ใหญ่โตเพียงนั้นคงจะไม่สังหารขั้นอลวนสองคนแล้วโผล่ออกมาลงมือกับข้าหรอกกระมัง”
จวินอ๋องดำยิ้มเย็น “มาจนถึงตอนนั้นยังไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เจ้ามาจากตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณสักแห่งอย่างนั้นหรือ ก็ดี ให้ข้าได้เห็นพลังของเจ้าสักหน่อย ดูสิว่าที่แท้แล้วเจ้าเป็นลูกหลานบ้านไหนกันแน่!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
จวินอ๋องดำก็ลงมือทันที ร่างกายของเขาพลันเปล่งรัศมีสีดำออกมาแผ่คลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนักและปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย
“รับกระบวนท่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง
อากาศทั้งมวลตรงหน้ากำปั้นของเขามีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น รอยแยกเหล่านี้ปกคลุม ‘จวินอ๋องดำ’ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหมอกดำนั้นในพริบตา เงาร่างของจวินอ๋องดำถูกกระแทกเสียจนระเบิดออกในทันใด
“อะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงเหลือแสน
ข้ายังไม่ทันได้ออกแรงเลย!
เขาเพิ่งจะเริ่มใช้กระบวนท่าล่อลวงซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของอีกฝ่าย เพื่อจะได้ลอบเตรียมท่าไม้ตายที่จะสังหารผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพได้อย่างง่ายดายเท่านั้น! ไหนเลยจะไปคิดว่ากระบวนท่าโจมตีด้วยการล่อลวงที่พลั้งมือออกไปคราหนึ่งจะโจมตีจนร่างกายของอีกฝ่ายแตกออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“จวินอ๋องดำอ่อนแอถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ร่างกายของเขาเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือจะเป็นร่างแปรเงา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะคาดเดาได้รางๆ ขณะที่บุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์นั้น เขาเคยเห็นจวินอ๋องดำสำแดงร่างแปรเงามาก่อน! ร่างแปรเงามีกลิ่นอายเช่นเดียวกับร่างจริงทุกประการจนมองไม่เห็นความแตกต่างอันใด มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถหลอกล่อศัตรูได้
พลังของร่างแปรเงาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน นับเป็นหลายส่วนของร่างจริง! ทว่าเนื่องจากไม่มีสมบัติลับระดับยอดสุด จึงนับได้ว่าเป็นเพียงเพลังรบระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น บวกกับที่ร่างแปรเงามิได้มีกายหยาบที่แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก การป้องกันของกายหยาบจึงค่อนข้างอ่อนแอ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจงใจล่อลวงศัตรู ใช้พลังเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้ใช้สมบัติลับ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเหนือกว่าจวินอ๋องดำอยู่มากโข! ต่อให้ใช้กระบวนท่าล่อลวงด้วยพลังเพียงส่วนเดียว ก็ยังคงทำให้ร่างแปรเงาสลายไปได้อยู่ดี
“เฮอะๆ นี่ยังเรียกได้ว่าบรรพชนอีกรึ ทั้งยังมีผู้บงการเบื้องหลังด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะเย็นเยียบ จากนั้นก็ตะปบฝ่ามือลงไปทางต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์เบื้องหน้าแล้วคว้าเอาต้นไม้ประหลาดเอาไว้ เมื่ออกแรงถอนทั้งต้นขึ้นมา หินผลึกสีดำสามก้อนบนต้นไม้ประหลาดซึ่งเดิมทีกำลังแผ่ระลอกคลื่นออกมาก็พลันหม่นแสงลงทันใด จากนั้นเขาก็เก็บลงไปในที่เก็บสมบัติล้ำค่า
“เฮ้อ ข้าถอนต้นไม้ประหลาดทิ้งไปต่อหน้าต่อตายังไม่ขัดขวางข้าอีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ก็ดี เช่นนั้นข้าก็จะทำลายใจกลางเมืองแต่ละแห่งต่อไปได้สะดวก ข้าจะดูสิว่าจวินอ๋องดำจะสามารถทนได้สักกี่น้ำกัน”
การสังหารจวินอ๋องดำก็เป็นหนึ่ฝในจุดมุ่งหมายของเขา
แน่นอนว่าบัดนี้เขาก็อยากรู้ว่า ผู้ใดบังอาจกล้าทำเรื่องเหล่านี้โดยไม่คร้ามเกรงเลยแม้แต่น้อย
……
“สลายแล้ว สลายแล้ว”
“หมอกดำสลายแล้ว หมอกดำสลายแล้ว”
เหล่ายอดฝีมือเฝ้าดูความเคลื่อนไหวภายในจวนอยู่ห่างๆ แสงของค่ายกลที่หมุนเวียนอยู่ในวังใต้ดินไกลออกไปสลายไป นอกจากนี้หมอกดำอ่อนจางที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งก็กำลังสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว มันจางลงเรื่อยๆ เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ทั้งตัวเมืองก็มองไม่เห็นหมอกดำเหล่านั้นแล้ว
ตัวเมืองคืนสู่สภาพปกติ
สิ่งมีชีวิตในเมืองที่ยังรอดชีวิตอยู่ต่างก็รู้สึกว่าพละกำลังที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอยู่ทุกขณะจิตนั้นได้อันตรธานไปแล้ว อารมณ์อันพลุ่งพล่านต่างๆ ทั้งความบ้าคลั่ง ความมืดหม่นและความโกรธเกรี้ยวต่างๆ ล้วนมลายไป ในฐานะสิ่งมีชีวิตในดินแดนจิตโลกา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดที่เกิดมาก็ยังเป็นเหนือธรรมดา นอกจากนี้ผู้ที่สามารถฝืนต้านทานอยู่ในตัวเมืองได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่การบำเพ็ญจิตใจเยี่ยมยอดมาก
เมื่อผ่านความยากลำบากมานับสิบล้านปี ทำให้จิตใจของผู้บำเพ็ญหลายคนในจำนวนนั้นยกระดับขึ้น
บัดนี้หมอกดำสลายไปแล้ว แต่ละคนคืนสู่สภาพปกติ
“สลายไปแล้ว”
บรรดาผู้บำเพ็ญที่เก็บตัวอดกลั้นเอาไว้ก็พากันออกมาแล้ว พวกเขาบินออกจากเรือนของตน พลางมองดูท้องฟ้าอันแจ่มใส ผู้บำเพ็ญจำนวนมากถึงกับน้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างมิอาจห้ามใจ
เดิมทีพวกเขาสิ้นหวังไปแล้ว บัดนี้กลับมองเห็นความหวังในที่สุด
“ออกไปได้แล้ว พวกเราออกไปได้แล้ว” ผู้บำเพ็ญจำนวนมากลองดู
บางคนถลาขึ้นสู่ฟ้า
ในที่สุดก็บินได้สูงลิ่วเสียที
บางคนสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาออกจากขอบเขตของตัวเมืองไปสู่โลกภายนอก บางคนหัวเราะดังลั่นด้วยความตื่นเต้น บ้างก็หลั่งน้ำตา บ้างก็คุกเข่าลงบนพื้นร้องห่มร้องไห้เสียงดัง…ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมาจากหุบเหวลึกอันสิ้นหวังได้ ต่อให้มีจิตใจแข็งแกร่งกว่านี้ก็ยังต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างยิ่งอยู่ดี
ท่ามกลางเงาร่างของผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่บินสะเปะสะปะอยู่กลางฟากฟ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย เขาหัวเราะพลางมองดูฉากนี้
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดีใจนัก “ผู้บำเพ็ญจำนวนมากเห็นผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นมดปลวก เพื่อเส้นทางการบำเพ็ญของตน จะทำลายโลกทั้งใบก็ไม่สนใจ! หรือว่าในชีวิตมีแต่การบำเพ็ญกัน หากทั้งโลกสูญพันธุ์ไปหมด เหลือตนเพียงคนเดียวท่ามกลางความว่างเปล่า การไร้ศัตรูเช่นนั้นจะมีความหมายอันใดกันเล่า”
“ผู้แกร่งกล้าก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาจากผู้ที่อ่อนแอเช่นกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเช่นเดียวกันกับพวกเรา ผู้ที่เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อตนเองพรรค์นั้น ก็คือผู้ที่คลั่งมารไปแล้ว! มาร สมควรถูกฆ่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูยิ้มๆ
อย่างบรรพชนฝาน
บรรพชนฝานบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมเช่นเดียวกัน แต่เขาชมชอบการควบคุมความหวังของผู้อื่นและฉุดรั้งผู้อื่นเข้าสู่โลกเทพลวงแล้วควบคุมวิญญาณผู้อื่น ให้ผู้อื่นบูชาเขาเป็นเจ้านาย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองดูด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้แต่สิ่งมีชีวิตในโลกลวง เขาก็เชื่อว่าตระหนักถึงความเป็นตัวตน มีความรู้สึก มีเส้นทางของชีวิต กล่าวคือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง! ดังนั้นเขาจึงมองโลกลวงเป็นโลกที่แท้จริง เนื่องจากใจเขาเชื่อเช่นนี้ เขาจึงได้ลองหลอมรวมเอาความปรารถนา ภาพลวง ล้างสังหารและวิญญาณเข้าไปในโลกทั้งหมด แล้วอาศัยโลกเป็นรากฐานหลอมรวมทุกสิ่งเข้าไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปท่ามกลางความยินดีปรีดา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ภายในตัวเมืองแห่งนี้ตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขาหลายคนยังไถ่ถามกันว่าผู้ใดกันที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้!
ข่าวหนึ่งค่อยๆ แพร่ออกไปทั่วทั้งตัวเมือง…ผู้ที่กอบกู้เมืองแห่งนี้เอาไว้ ก็คือชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศ!
ลักษณะของชายหนุ่มชุดดำก็ถูกบันทึกเอาไว้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในตัวเมืองแห่งนี้ล้วนอยากจะรู้ว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ เป็นใคร น่าเสียดายที่มิอาจตรวจสอบได้ จนกระทั่งศึกใหญ่ครั้งหนึ่งหลังจากนั้น จึงทำให้พวกเขาได้รู้จักตัวตนของผู้มีพระคุณ! แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงเมืองอีกแห่งหนึ่งแล้ว เพราะถึงอย่างไรฝันร้ายทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นกับตัวเมืองในรัฐวายุโหมถึงสิบเก้าแห่ง เขาเพิ่งจะช่วยได้เพียงเมืองเดียวเท่านั้น
……
“ตู้ม!”
เขาอาศัยอณูแก่นห้วงอากาศสัมผัสรับรู้และตรวจสอบ จนแน่ใจในแหล่งกำเนิดหายนะของตัวเมืองออีกแห่งหนึ่ง
เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปปรากฏกลางฟากฟ้า ก่อนจะส่งหมัดหนึ่งพุ่งตรงไปยังจวนเบื้องล่าง! เมื่อหมัดชกออกไป ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แทรกซึมลงไป ระลอกคลื่นก็พลันกวาดผ่านไป ทุกบริเวณที่ถูกกวาดผ่านพลันมีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น โครมมม…ในเมื่อขณะประมือกับจวินอ๋องดำก็ได้จงใจเผยพลังน้อยนิดอย่างยิ่งออกไป ยามนี้พลังน้อยนิดเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว เขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง ทั้งจวนเบื้องล่างรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างใต้ดินที่ซ่อนเร้นอยู่ก็ถูกชกจนถล่มลงไป
หมัดหนึ่งซึ่งมีอานุภาพของเทพจักรวาลชั้นที่สอง ทั้งยังเชี่ยวชาญในการทะลุผ่านทำลายสิ่งก่อสร้างใต้ดินที่อยู่ภายในทันที ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งหลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันควัน
หลังจากสลายไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร่อนลงไปแล้วคว้าต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ซึ่งประดับหินผลึกสีดำสามก้อนเหมือนกันเอาไว้! ส่วนผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสองคนซึ่งทำหน้าที่รักษาการณ์นั้น…ได้สิ้นชีวิตด้วยหมัดเมื่อครู่ไปเรียบร้อยแล้ว!
ช่วยไม่ได้ หากเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ยังอาจจะสามารถต้านรับได้ แต่เทพจักรวาลชั้นที่สองจะสังหารขั้นอลวนคนหนึ่งก็สบายเกินไปแล้ว ระดับชั้นห่างกันมากยิ่งนัก
……
ภายในคูหาอันไกลโพ้นกลางป่าร้างแห่งหนึ่ง
จวินอ๋องดำนั่งขัดสมาธิอยู่บนห้องเงียบภายในคูหาแห่งนี้ เขามองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้าด้วยสีหน้าหมองหม่น ภาพทั้งสิบเก้าภาพ ก็คือใจกลางตัวเมืองทั้งสิบเก้าที่เขาทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกลายเป็นรูปลักษณ์ของ ‘ชายหนุ่มชุดดำ’ ได้ทำลายใจกลางของตัวเมืองไปสองแห่งแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองแห่งที่สาม
จวินอ๋องดำไม่สนใจความเป็นความตายของขั้นอลวนเหล่านั้นเลย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนของสมาพันธ์สวรรค์โบราณ
“ท่านปฐมบรรพชน” จวินอ๋องดำถ่ายเสียงพูด “ยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศผู้เร้นลับคนนี้ปลอมตัวเป็นขั้นอลวน แต่บัดนี้พลังที่เขาสำแดงออกมากลับเป็นถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว! นอกจากนี้เขายังกำลังทำลายแหล่งภัยพิบัติของตัวเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งอีกด้วย ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไรดีเล่า”
จวินอ๋องดำเกิดความกลัวขึ้นมา
เขาก็กลัว
กลัวว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้จะเป็นผู้แกร่งกล้าที่เยี่ยมยอดของขุมอำนาจที่น่าหวาดหวั่นอย่างรัฐโบราณสหโลกาหรือรัฐโบราณคิมหันตวายุซ่อนเร้นตัวตนมา
“เจ้าลงมือสืบตื้นลึกหนาบางของเขามาให้ได้ หากมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูใช้ความแข็งแกร่งรังแกผู้ที่อ่อนแอ ข้าจะไปช่วยเจ้าทันที” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ส่งสารบอก
“ขอรับ” เมื่อจวินอ๋องดำได้ยินคำรับรองจากท่านปฐมบรรพชนก็มั่นใจเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาเกรงว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้จะมีความเป็นมาใหญ่โตเกินไปแล้วปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์จะปล่อยเขาไปเสีย! ทว่าในเมื่อปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ออกปากพูดเองว่าจะปกป้องเขา ด้วยสถานะของท่านปฐมบรรพชนแล้ว คำพูดหนึ่งมั่นคงดั่งหินผา ไม่มีทางทำสิ่งที่ขัดกับวาจาที่ได้ลั่นออกมาอย่างแน่นอน
“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครปลอมตัวมากันแน่!” นัยน์ตาของจวินอ๋องดำมีแววหนาวเหน็บวาบผ่าน จากนั้นเขาก็หายตัวไปเสียงดังสวบ
……………………………………………………….