ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 12 ตงป๋อเสวี่ยอิงปะทะจวินอ๋องดำ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เหนือจวนอันหรูหราซึ่งกินพื้นที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีดำทั้งร่างปรากฏกายขึ้น กำปั้นหนึ่งทุบลงไปเบื้องล่างเสียงดังตู้ม

ตามทิศทางที่หมัดชกลงไปนั้น ระลอกคลื่นพลันกวาดผ่านไป ทุกบริเวณที่ผ่านล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง แม้แต่โถงตำหนักอันแข็งแกร่งก็ยังแตกร้าวจากภายใน ค่ายกลแตกออกเป็นเสี่ยงๆ โถงตำหนักถึงกับถล่มลงมา ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนซึ่งทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ภายในนั้นตื่นตระหนกเหลือแสน ฟิ้ว ฟิ้ว ร่างของพวกเขาสองคนกลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างไร้สุ้มเสียง! ข้อแรกเป็นเพราะจวินอ๋องดำเย็นชาเกินไป เขาจึงคร้านที่จะส่งสารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาขั้นอลวนทราบ ข้อสอง เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงลงมืออย่างอำมหิต! ตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างโอบอ้อมอารีและเท่าเทียม แต่สำหรับวายร้ายเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย

“สวบ”

เงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่ง เขาก็ร่อนจากฟากฟ้าลงมาสู่โถงตำหนักที่ถล่มลงไปแล้วคว้าต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ที่เหมือนกันขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าตัวเมืองแต่ละแห่งที่เผชิญกับหายนะนั้น ล้วนมีต้นกำเนิดคือต้นไม้ประหลาดอันเร้นลับต้นนี้และหินผลึกสีดำที่ประดับอยู่ด้านบน

เมื่อเขาถอนต้นไม้ประหลาดและดึงติดมือขึ้นมานั้น หมอกดำอันอ่อนขางที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งในตัวเมืองแห่งนี้ก็เริ่มสลายตัวไป ทำให้บรรดายอดฝีมือที่เร่งเคลื่อนที่ในพริบตามายังบริเวณใกล้ๆ ตัวเมืองเนื่องจากความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้พากันตื่นตระหนกเหลือแสน

“หมอกดำกำลังสลายไปแล้ว”

“นี่ นี่มัน…”

“เพราะจวนที่เป็นแหล่งกำเนิดหายนะนั่นถูกทำลายลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นเป็นใครกัน” ยอดฝีมือจำนวนมากมองดูอย่างระแวดระวังอยู่ห่างๆ เหมือนกับตัวเมืองอีกสองแห่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้ พวกเขาประสบความทุกข์มาเกือบสิบล้านปี จึงรู้ว่าต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ยากก็คือจวนแห่งนี้ แต่ก็มิอาจสั่นคลอนได้เช่นกัน! แต่วันนี้ ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ทันใดนั้น…

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองไปเบื้องบน เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นบุรุษท่าทางเย็นชาสวมอาภรณ์สีดำอันหรูหรางดงาม ตรงห่างเอวยังเหน็บดาบโค้งเล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย ผู้มาเยือนก็คือจวินอ๋องดำนั่นเอง

ครั้งนี้จวินอ๋องดำมิได้ซ่อนเร้นรูปลักษณ์อีกต่อไป เขาเองก็รู้ดีว่า หลังจากปะทุพลังออกมาอย่างเต็มแรงและใช้อาวุธสมบัติลับระดับยอดสุดรวมทั้งวิธีการต่อสู้ที่ถนัดแล้ว ก็จะเปิดเผยตัวตนออกมาอยู่ดี ดังนั้นจึงถือโอกาสเปิดเผยเสียเลย

“นั่นมัน…”

“จวินอ๋องดำแห่งรัฐโบราณบรรพชนหรือ”

“อื้ม ดูจากลักษณะแล้วเหมือนจวินอ๋องดำในตำนานเลย” ยอดฝีมือหลายคนภายในตัวเมืองแห่งนี้ที่หูตากว้างไกลอยู่บ้างก็สามารถเก็บรวบรวมรูปโฉมของผู้แกร่งกล้าในตำนานของดินแดนจิตโลกาเอาไว้ได้เช่นกัน! ภายใต้สถานการณ์ที่จวินอ๋องดำเป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนออกมาเองโดยมิได้แปลงโฉม ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้ก็จำจวินอ๋องดำได้

จวินอ๋องดำเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วแค่นเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเป็นใครกัน ตัวเมืองรอบด้านนี้ประสบกับหายนะเป็นเจ้าที่สร้างเรื่องอยู่เบื้องหลังหรือ” เสียงดังกังวานไปทั่วฟ้าดิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก

โจรตะโกนให้จับโจรอย่างนั้นหรือ

“ผู้อาวุโสจวินอ๋องดำขอรับ ผู้อาวุโสชุดดำผู้นี้เป็นผู้ทำลายจวนที่เป็นแหล่งกำเนิดภัยพิบัติต่างหากขอรับ เขาช่วยกอบกู้ตัวเมืองของพวกเราเอาไว้” มียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัดทันที

“กอบกู้รึ” จวินอ๋องดำเหลือบมองลงไปยังจวนที่แหลกสลายเป็นผุยผงกระจายตัวออกไปนับหมื่นลี้ เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “เพียงกระบวนท่าเดียวสามารถมีอานุภาพเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาล เทพจักรวาลในดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ที่ข้าไม่รู้จัก! เจ้าจงใจซ่อนเร้นตัวตน ที่แท้แล้วมีสิ่งใดที่ทำให้พบหน้าผู้อื่นมิได้กันแน่ หรือว่ามีแผนร้าย”

“มีแผนร้ายรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางหัวเราะ

“หรือจะเป็นเจ้าที่ลอบสำแดงเคล็ดลับออกมาสร้างหายนะให้ทั้งตัวเมือง บัดนี้เคล็ดลับสมบูรณ์แล้ว ก็จงใจแสร้งทำเป็นกอบกู้ตัวเมืองสินะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รอให้ข้าจับตัวเจ้าแล้วรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเสียก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจะอธิบายอย่างไร!” จวินอ๋องดำพูดเพื่อหาความชอบธรรม พูดยังไม่ทันขาดคำก็พลันดึงดาบโค้งออกจากหว่างเอว

ฟิ้ว…

ประกายดาบอันดำมืดพลันร่อนลงมาจากฟากฟ้า ราวกับผ้าม่านสีดำขนาดมหึมาผืนหนึ่งที่คลี่ลงมาอย่างไม่ขาดสายและแผ่กำจายไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบพลางมองดูประกายดาบที่ลอบโจมตีเข้ามา สองมือยื่นออกไป แล้วตะปบไปทางประกายดาบดำมืดอันน่าหวาดหวั่นที่โจมตีเข้ามา

วิ้ง

ด้านหน้าของมือทั้งสองข้างพลันมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นซ้อนทับกัน ประกายดาบอันมืดมิดฉีกทึ้งทำลายมิติ หลังจากทำลายมิติทั้งหมดแล้ว อานุภาพก็ลดลงอย่างฮวบฮาบจนเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้นแล้วปะทะลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระเด็นถอยหลังไป ครูดกับพื้นดินจนเกิดเป็นธารน้ำลึกขนาดมหึมายาวหลายพันลี้จึงหยุดลง

“เจ้ามีพลังขั้นสุดยอด ไม่รู้ว่าเป็นจอมเคารพคนไหน ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพของดินแดนจิตโลกาก็มีแค่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น ไยจึงต้องปิดบังตัวตนด้วยเล่า” จวินอ๋องดำพูดพลางยิ้มเย็น ปากเขาพูดไปพลาง ขณะเดียวกันประกายดาบก็ปกคลุมเข้ามาต่อเนื่องกัน

ฟิ้วๆๆ!!!

ประกายดาบต่อเนื่องกัน บ้างก็เหิมเกริมหาใดเปรียบ บ้างก็ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วลอบโจมตีเข้ามา เพียงชั่วครู่เดียวรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มืดดำไปหมดจนมองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ

“ประทับ” มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงประสานอยู่กลางหน้าอก แสงสว่างจุดหนึ่งแผ่ออกจากกลางฝ่ามือทั้งสองแล้วแพร่ไปรอบด้าน ก่อให้เกิดเป็นที่ครอบแสงปกป้องตนเองเอาไว้

เขาปล่อยให้ประกายดาบอันดำมืดโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นประกายดาบที่เหิมเกริม อันตราย แปลกประหลาด หรือทะลุทะลวง…ที่ครอบแสงกลับต้านทานได้ถึงครึ่งชั่วลมหายใจ

“เป็นยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศที่ร้ายกาจนัก เหมือนจะสามารถต้านทานได้เก่งทีเดียว ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทางสายวิถีอากาศทั้งหมดก็มีอยู่เพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น รูปแบบการต่อสู้ของเขาคล้ายกับ ‘ผู้เคารพแห่งความว่างเปล่า’ แห่งรัฐโบราณเสียดฟ้าเป็นอย่างมาก แต่รัฐโบราณเสียดฟ้าน่าจะไม่บังอาจถึงเพียงนี้จนมาเข้าร่วมกับเรื่องนี้ได้” จวินอ๋องดำออกกระบวนท่าไปพลาง คาดเดาไปพลาง

ชั่วครึ่งลมหายใจ

ที่ครอบแสงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วขณะที่แตกออกนั้น จวินอ๋องดำก็เคลื่อนที่ท่ามกลางความมืดมิดมาอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วตรงเข้ามาต่อสู้ประชิดตัว

ฟึ่บๆๆ!!!

ประกายดาบอันดำมืดและเยียบเย็นลอบโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

ฝ่ามือทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงฟาดฟันรอบด้านตามอำเภอใจ แต่ละฝ่ามือล้วนมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เห็นอยู่จะๆ ว่าเป็นการต่อสู้ประชิดตัว ทว่าแต่ละดาบของจวินอ๋องดำกลับเหมือนห่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาก! ต้องทำลายมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเสียก่อนจึงสามารถเข้าใกล้ได้ แต่การทำเช่นนั้นอานุภาพกลับอ่อนกำลังลงเป็นอย่างมาก

“จึ้ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีตั้งใจป้องกับเต็มที่นั้น จู่ๆ ก็จิ้มนิ้วลงไปกลางอากาศ

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันทะลุผ่านอุปสรรคแล้วส่งถ่ายเข้าไปในกายของจวินอ๋องดำ

ร่างกายของจวินอ๋องดำสั่นสะท้านน้อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนแปรไปเขาคำรามว่า “อันตรายใช้ได้ทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ตอบคำ แล้วประมือต่อไป ในใจลอบคิดว่า “จวินอ๋องดำผู้นี้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แทรกซึมเข้าไปในกายหยาบก็เหมือนจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แผนการแรกก็คือละทิ้งไป!”

ท่าไม้ตายของเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

เมื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตถึงชีวิต จวินอ๋องดำก็ต้องหนีไปอย่างแน่นอน หากเบื้องหลังเขายังมีผู้แกร่งกล้าอยู่อีก เกรงว่าคงจะต้องขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

ดังนั้นก่อนที่จะออกท่าไม้ตายไป ก็ต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของจวินอ๋องดำให้ชัดเจนก่อน ส่วนข้อมูลต่างๆ ของโลกภายนอกน่ะหรือ ก็ทำได้เพียงดูเป็นแนวทางเท่านั่น เพราะถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตระดับจอมเคารพที่แกร่งกล้าผู้หนึ่ง ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่า เขามีวิธีรักษาชีวิตอันใดในมือบ้าง

“ช่างรับมือได้ยากเสียจริง ต้านทานได้เก่งนัก หากไม่ใช้ท่าไม้ตายก็มิอาจเค้นเอาตัวตนของเขาออกมาได้” จวินอ๋องดำหรี่ตาลง

ฟึ่บ!

ความดำมืดอันเข้มข้นหาใดเปรียบพลันทำลาย มิติหลายชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเกิดจากฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งออกไป ก่อนจะกวาดลงไปยังช่วงท้องและเอวของตงป๋อเสวี่ยอิง สวบ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นลำแสงกระเด็นลอยไปกลางฟากฟ้า นอกจากนี้ส่วนท้องก็ยังปริออกเป็นบาดแผลขนาดมหึมา การโจมตีอย่างรุนแรงยังทำให้โลหิตพุ่งทะลักออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย

“จวินอ๋องดำ เจ้าซ่อนตัวได้มิดชิดทีเดียว” เสียงแหบแห้งลอยออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กระเด็นลอยไป

“ฮ่าฮ่า เผยตัวออกมาเสีย ให้ข้าได้เห็นหน่อยสิว่าที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!” จวินอ๋องดำกลับ เขาบ้าคลั่งไปแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจมาก

ตอนที่อยู่ในด่านสิบสองกัลป์นั้น เขาได้พบเห็นพลังของจวินอ๋องดำด้วยตนเอง แต่ยามนี้จวินอ๋องดำสำแดงดาบที่น่าหวาดหวั่นออกมาดาบหนึ่งซึ่งเหนือความคาดหมายของเขา

แน่นอนว่าบาดแผลมหึมาที่หน้าท้องและโลหิตที่กระอักออกมา…ล้วนแต่เป็นการเสแสร้งของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น! เขาควบคุมร่างกาย จงใจฉีกทึ้งให้เกิดบาดแผลขึ้นมาก็เพื่อทำให้ศัตรูงงงัน มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยร่างกายอันน่าหวาดหวั่นของเขาในตอนนี้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ตนนั้นโจมตีครั้งหนึ่งก็เพียงแค่ทำให้เขาบาดเจ็บเท่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ แล้ว จวินอ๋องดำยังห่างชั้นอยู่ไกลโข

หากตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เสแสร้งแล้วยืนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้จวินอ๋องดำโจมตีโดยผิวหนังไม่ปริแตกเลยแม้แต่น้อย!

แต่หากทำเช่นนั้นแล้วทำให้จวินอ๋องดำตกใจ แผนการของตนก็คงจะมิอาจดำเนินไปได้แล้ว

“สวบๆๆ…”

ทันใดนั้นรอบกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่บาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดก็มีชายหนุ่มชุดดำอีกหลายคนปรากฏกายขึ้นมา

“ฮ่าฮ่า ยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศล้วนมีร่างแยกกันทั้งนั้น ในที่สุดเจ้าก็สำแดงร่างแยกทั้งเก้าของเจ้าออกมาเสียที” จวินอ๋องดำไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาบุกเข้ามา แต่กลับแบ่งเงาร่างออกมาถึงสิบแปดสายในพริบตา

“ร่างแปรเงาสามารถคงไว้ได้ถึงสิบแปดร่างอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปอีกครั้ง

พลังของจวินอ๋องดำ…

แข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในวังเทพจิตโลกาอยู่ขุมใหญ่

ด้วยอานุภาพการโจมตีของร่างแปรเงา

“ฟึ่บๆๆ…”

จวินอ๋องดำทั้งสิบแปดร่างล้อมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าร่างอื่นๆ ล้วนแต่เป็นร่างแปรเงาซึ่งมีพลังธรรมดามากทั้งสิ้น มีร่างจริงเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอ! ร่างจริงสามารถเปลี่ยนแปรไปอยู่ในร่างแปรเงาที่แตกต่างกันได้ การลอบโจมตีก็ฉับพลันและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีร่างแยกเก้าร่าง แต่ก็ยังคงถูกกระบวนท่าเข้าตลอดเวลา แต่เขาก็พยายามตอบโต้อย่างสุดแรงด้วยท่าทางอันบ้าคลั่ง

ถึงอย่างไรก็มีร่างแยกเก้าร่าง…หากโชคดี บางทีอาจจะยังสามารถโจมตีถูกร่างจริงของจวินอ๋องดำก็เป็นได้

“แคว่ก”

ผิวกายของจวินอ๋องดำถูกฉีกออกจนเกิดบาดแผล เผยให้เห็นโครงกระดูกสีดำทะมึนภายใน โครงกระดูกมีแสงสีดำอันเข้มข้นปกคลุม

“ศาสตร์เชือดเฉือนใหญ่ก็ไม่เหมาะสม เป็นอันตกไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เห็นทีคงจะมีแต่ต้องลองแผนการที่สองแล้ว”

หลังการต่อสู้ประชิดตัว ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ทดลองใช้กระบวนท่าที่ระดับชั้นค่อนข้างอ่อนแอ จึงพบว่าร่างกายของจวินอ๋องดำผสานกันทั้งภายในและภายนอก กายหยาบแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังไม่มีข้อบกพร่องที่ชัดเจน จะสังหารก็ทำได้เพียงต้องวางเดิมพันกันสักตั้งเท่านั้น เห็นทีแผนการที่สองคงจะมีหวังมากที่สุดในตอนนี้ มีโอกาสประมาณสามสี่ส่วน ซึ่งนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกมากทีเดียว

ช่วยไม่ได้ พลังและกายหยาบของจวินอ๋องดำแข็งแกร่งกว่าที่ตนเคยล่วงรู้มาก่อนหน้านี้เสียอีก!

“ร่างแยกทั้งเก้าของเจ้ามีพลังขั้นสุดยอดหมดเลยรึ เจ้าได้สมบัติลับระดับยอดสุดอันใดมากัน จึงสามารถคงร่างแยกเอาไว้ได้ถึงเก้าร่าง” จวินอ๋องดำยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น บัดนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบจึงผ่อนคลายเป็นอันมาก

 …………………………………