เหล่าชาวยุทธที่อยู่โดยรอบนี้หาใช่โง่นักแม้พวกเขาจะไม่เชื่อคำพูดของตี้เสี่ยวอู๋ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดหรือปฏิเสธ เพราะหวังชงเซียวยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
  และที่สำคัญไม่มีผู้ใดรู้ว่าโอสถวัยเยาว์นั้นแท้จริงมีส่วนผสมอะไรบ้าง!
  ในเมื่อไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงวัตถุดิบและขั้นตอนการหลอมโอสถชนิดนี้ตี้เสี่ยวอู๋จะพูดสิ่งใดก็ย่อมได้
  –เสี่ยวอู๋ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ไปนำตัวนังโจรเฒ่านั่นไป แล้วเจ้ากับหวังชงเซียวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว!-
  เวลานี้ก็ห้าทุ่มตรงพอดีตี้เสี่ยวอู๋ขายโอสถทั้งสองเม็ดได้แล้ว และยังประมูลสมบัติล้ำค่ามาได้อีกถึงสามชิ้น
  ท่ามกลางสายตาของผู้คนตี้เสี่ยวอู๋เดินตรงเข้าไปหาเหล่าแม่ชีของอารามจิ้งซิน  “เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก”
  แม่ชีมี่หลินที่เพิ่งจะผ่านฝันร้ายมานางรู้สึกว่าหากโลกนี้มีนรกจริงๆ สิ่งที่นางเพิ่งประสบพบเจอมานั้นก็คงไม่ต่างจากนรกดีๆนี่เอง เวลานี้นางจึงหวาดระแวงไปหมด
  ตี้เสี่ยวอู๋ร้องบอกแม่ชีมี่หลินด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้นไม่ใช่รึ มีลูกหนี้ย่อมต้องมีเจ้าหนี้ พี่เม่ยเฟิงของข้าเพิ่งจะพูดว่าต้งการฆ่านังโจรเฒ่ามี่ยู่ แล้วเจ้าคิดว่าข้ากำลังจะทำสิ่งใดได้เล่า?”
  จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็เดินตรงเข้าไปหาแม่ชีมี่ยู่และเตะเข้าที่ซี่โครงของนางอย่างไร้ปราณี “นังโจรเฒ่า ไม่ต้องแสร้งทำเป็นตาย ต่อให้เทพองค์ใดลงมาโปรด ก็ไม่มีทางช่วยชีวิตของเจ้าได้แน่!”
  เมื่อครั้งแรกนั้นแม่ชีมี่ยู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจริงๆแต่หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่าที่ฟื้นคืนสติมานั้น นางก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ดี และรู้ว่าตนเองคงไม่อาจหนีรอดไปได้แน่ จึงรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
  ผู้ที่มีความโลภและความเห็นแก่ตัวอยู่ในใจมากเพียงใดพวกเขาก็จะยิ่งมีความหวาดกลัวในจิตใจมากเท่านั้น สองสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน
  “ศิษย์พี่สองศิษย์พี่สาม น้องเจ็ด.. เห็นแก่พวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
  เวลานี้แม่ชีมี่ยู่หลงลืมอาการบาดเจ็บไปเสียสนิทและรีบคลานไปกอดขาแม่ชีมี่หลินเขย่าพร้อมกับร้องขอให้ทุกคนช่วยเหลือตน
  แม่ชีมี่หลินปรายตามองไปที่ร่างของแม่ชีมี่ยู่ด้วยแววตาเฉยชาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มี่ยู่.. รู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้า”
  “นั่นเพราะอาจารย์เห็นว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีความโลภและเห็นแก่ตัวอย่างมากอยู่ในจิตใจตัณหาภายในจิตใจของมนุษย์นั้นยากนักที่จะควบคุมได้ เพราะเหตุนี้ท่านอาจารย์จึงตั้งชื่อมี่ยู่ให้กับเจ้า เพื่อให้เจ้าระลึกอยู่เสมอว่าควรหมั่นเพียรทำลายตัณหาภายในใจของตน จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์จะช่วยปกป้องคุ้มครองชีวิตของเจ้า”
  “แต่เจ้ากลับไม่ใส่ใจและต้องการที่จะลงเขาไป มิหนำซ้ำยังทำผิดกฏของสำนักด้วยการบีบบังคับให้ผู้อื่นกลืนโอสถไร้ใจ หลังจากกลับมา เจ้ายังปกปิดความจริงเรื่องนี้ไว้ จนในที่สุดก็นำมาซึ่ง.. หายนะของอารามจิ้งซิน!”
  “เวลานี้ผู้คนที่เจ้าทำร้ายกลับมาชำระแค้นถึงที่อย่าว่าแต่เวลานี้เจ้าไม่ใช่ศิษย์อารามจิ้งซินแล้ว ต่อให้เวลานี้เจ้ายังเป็นศิษย์ของอารามจิ้งซิน เจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดที่จะช่วยเจ้าให้พ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้ได้เล่า”
  การที่แม่ชีมี่หลินกล่าวกับมี่ยู่ไปเช่นนั้นหาใช่นางขุ่นเคืองใจที่มี่ยู่นำพาหายนะมาสู่อารามจิ้งซินเพียงอย่างเดียว แต่อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือความพ่ายแพ้ที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำให้นางรู้สึกท้อแท้ใจมากในเวลานี้!
  หากเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งมากไม่ว่าจะพูดหรือทำสิ่งใดไปก็ไม่มีประโยชน์ หากไม่สามารถต้านทานและรับมือได้
  “ศิษย์พี่สอง..ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรด.. ได้โปรดช่วยข้าด้วย..”
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของแม่ชีมี่หลินแม่ชีมี่ยู่ก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป และเริ่มโขกศรีษะลงกับพื้นร่ำไห้วิงวอนขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือตน
  “มี่ยู่นังโจรเฒ่าคราวนี้ถึงกับร่ำไห้โขกศรีษะอ้อนวอนขอให้ผู้อื่นช่วยเลยรึ เมื่อครั้งที่เจ้าบีบบังคับพี่เม่ยเฟิงให้กลืนโอสถไร้ใจนั่น เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้สินะ?”
  ตี้เสี่ยวอู๋เห็นท่าทีของแม่ชีมี่ยู่แล้วก็ได้แต่นึกโมโหเขาเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับร้องตะโกนก้อง ก่อนจะโน้มตัวลงลากตัวแม่ชีมี่ยู่กลับออกไป
  แม่ชีมี่ยู่ดิ้นรนกรีดร้องของความช่วยเหลือแต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาช่วยนางเลยแม้แต่คนเดียว และไม่มีผู้ใดกล้าพูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียวด้วย ตี้เสี่ยวอู๋ลากร่างของแม่ชีมี่ยู่ราวกับลากร่างของสุนัขตายตัวหนึ่งออกไป เมื่อเดินไปถึงหน้าหวังชงเซียว ทั้งคู่ก็เดินฝ่าฝูงชนออกไปทันที!
  ในที่สุดแม่ชีมี่ยู่ก็ได้ลิ้นรสความเจ็บปวดที่เคยทำไว้กับเฉยเม่ยเฟิง!
  ‘ไม่เสียแรงที่เจ้าติดตามข้ามานานเสี่ยวอู๋คืนนี้เจ้าทำได้เยี่ยมมาก!’
  หลังจากที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาอย่างยาวนานหลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในใจ
  เย่ซิงเฉินหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า“เจ้าคิดจะจัดการกับนังโจรเฒ่ามี่ยู่นั่นเช่นใด”
  “เรื่องนี้ข้าจะปล่อยให้เม่ยเฟิงเป็นผู้จัดการเอง!”
  หลิงหยุนตอบกลับไปทันทีแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเฉิงเมิ่ยเฟิงจะจัดการกับอีกฝ่ายเช่นใด
  หลังจากที่ตี้เสี่ยอู๋และหวังชงเซียวจากไปแล้วฝ่ายของหลิงหยุนก็จะเหลืออยู่เพียงแค่สี่คนเท่านั้นในเวลานี้ คือตัวหลิงหยุนเอง แล้วก็เย่ซิงเฉิน จินเหยียว และโม่วู๋เตา  อีกยี่สิบนาทีต่อมาการประมูลก็มาถึงช่วงสุดท้ายพอดี หลิงหยุนคิดว่าคงไม่มีสินค้าที่เขาต้องการอีกแล้ว จึงได้สั่งให้ทั้งหมดแยกย้ายกันออกจากลานประมูลไปอย่างเงียบๆ
  สำหรับหญ้าใจสลายนั้นมันเป็นเพียงแค่สมุนไพรพิษชนิดหนึ่งเท่านั้น หลิงหยุนไม่ได้สนใจอยากได้อะไรนัก จึงคร้านที่จะแก่งแย่งกับอารามจิ้งซินอีก
  “หลิงหยุนข้ารู้สึกว่าในคืนพรุ่งนี้ข้าอาจจะสามารถเข้าสู่ด่านที่สามของดาราคุ้มกายได้ทุกเมื่อ..”
  ระหว่างทางที่เดินออกห่างจากลานประมูลไปได้ราวสองกิโลเมตรนั้นจู่ๆเย่ซิงเฉินก็หยุดเดินและพูดขึ้นมา
  “หากสามารถพัฒนาขั้นได้ในคืนวันพรุ่งนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมาก!”
  เย่ซิงเฉินนั้นมีกายดาราอีกทั้งยังฝึกวิชาดาราคุ้มกายและวิชาสุญตาดูดดาวซึ่งส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วย การที่เย่ซิงเฉินก้าวหน้าเร็วเช่นนี้จึงไม่ได้ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่ไปกับเจ้าล่ะ..”
  เย่ซิงเฉินร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้าที่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง“แสงจันทร์ส่องสว่างเช่นนี้ ข้าอยากจะหาสถานที่ฝึกมากกว่า พรุ่งนี้จะได้สามารถเข้าพัฒนาขั้นได้..”
  “อืมมแต่เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากด้วยล่ะ!”
  แม้หลิงหยุนจะรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินนั้นมีพรสวรรค์มากเพียงใดในยามค่ำคืนที่แสงจันทร์เป็นใจเช่นนี้นางย่อมต้องการหาสถานที่สงบฝึกฝนวิชา แต่ความจริงแล้วเขาก็พอดูออกว่าที่เย่ซิงเฉินหาเหตุผลเลี่ยงออกไปเช่นนี้ เพราะรู้ว่าเขากำลังจะไปพบเฉิงเม่ยเฟิงต่างหาก..
  “ข้ารู้สึกชื่นชอบพี่เม่ยเฟิงมากนักเจ้าต้องดีกับนางให้มากล่ะ!”
  หลังจากพูดประโยคนี้ออกมาเย่ซิงเฉินก็กระโดดหายเข้าไปในหุบเขาด้านข้างทันที
  ในเวลานั้นคนของหลิงหยุนทั้งหมดเว้นเพียงตัวเขาเอง ต่างก็ได้ลงจากหุบเขาหลงเฟิงไปหมดแล้ว และได้ไปรอยังจุดนัดพบ
  หลังจากที่เย่ซิงเฉินจากไปหลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้สำรวจไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดหลบซ่อนอยู่ เขาจึงได้เรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมา และให้มันพาเหาะออกไปทันที!
  หลิงหยุนเหาะไปทางทิศเหนือของหุบเขาหลงเฟิงและเพียงไม่นานก็เหาะมาได้ไกลถึงเจ็ดกิโลเมตร
  หลังจากนั้นไม่นานหลิงหยุนก็เห็นเขาลูกหนึ่งและได้เหาะเข้าไปยังบริเวณเขาลูกนั้นทันทีพร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจขั้นสุด เขาพบว่าทั้งฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ เฉิงเม่ยเฟิง และคนอื่นๆต่างก็รอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว เว้นเพียงจินเหยียวกับโม่วู๋เตาเท่านั้น
  เฉิงม่ยเฟิงกำลังนั่งคุยกับทุกคนอยู่อย่างมีความสุขไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเม่ยเม่ย ไป๋เซียนเอ๋อ และเหมี่ยวเสี่ยวเหมา พวกนางต่างก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงหกเดือน แต่ทุกเรื่องที่พูดคุยล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนทั้งสิ้น
  เฉิงเม่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าจ้องมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มีแสงจันทร์สว่างไสวนั้น นางสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับจุดสีดำค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็เห็นเป็นร่างของคนผู้หนึ่งที่นางเฝ้าคิดถึงกำลังยืนอยู่บนกระบี่เหินเล่มนั้น หัวใจของเฉิงเม่ยเฟิงเต้นระรัวอย่างแรง..
  เขายังคงเจ้าเนื้อเช่นเคยสีหน้าท่าทางบ่งบอกว่ายังคงเป็นคนที่เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาคือหลิงหยุนในความทรงจำของนาง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย!
  สำหรับเฉิงเม่ยเฟิงแล้วหลิงหยุนเสมือนโลกทั้งใบของนาง!
  เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับยืนนิ่งไปด้วยความตกใจน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง เมื่อได้สติจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปยังทิศทางที่หลิงหยุนเหาะอยู่ทันที!
  “สามี!”
  “ฮ่าฮ่า เม่ยเฟิง!”
  หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังระหว่างที่เหาะลงมานั้นหลิงหยุนก็ได้อ้าแขนกว้างเพื่อโอบกอดร่างของเฉิงเม่ยเฟิงที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา
  แม้ว่าจะเหาะอยู่สูงราวหนึ่งเมตรแต่หลิงหยุนก็สามารถโน้มตัวกระโดดลงมาโอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้ในอ้อมแขนได้ทันที
  “เมียจ๋าไม่ได้พบหน้าเจ้าตั้งนาน เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่”
  ต่อหน้าฉินตงเฉี่วยเสี่ยวเม่ยเม่ย ตี้เสี่ยวอู๋ หวังชงเซียว และคนอื่นๆ หลิงหยุนไม่มีท่าทีเขินอายเลยแม้แต่น้อย เขาร้องตะโกนถามออกไปพร้อมกับโอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้แน่น
  แต่กลับไม่มีเสียงตอบมีเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเท่านั้น หลิงหยุนจึงกอดร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้แน่นขึ้น
  หลิงหยุนไม่รีบร้อนนักเขาปล่อยให้เฉิงเม่ยเฟิงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดเช่นนั้น ปล่อยให้นางได้ระบายความทุกข์และความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่ต้องแบกรับเพียงผู้เดียวมานานถึงหกเดือน
  และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่เฉิงเม่ยเฟิงจะหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นนางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหลิงหยุนนิ่ง ราวกับว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกพอ
  บนหุบเขาทั้งหุบเขามีเพียงความเงียบสงัดไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาแม้แต่คนเดียว..
  “เม่ยเฟิงข้ามาช้าไป!”
  ในที่สุดหลิงหยุนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อนเขามองเฉิงเม่ยเฟิงด้วยแววตาที่รู้สึกผิด และเจ็บปวด
  “ทำให้เจ้าต้องทนเจ็บปวดเช่นนี้!”
  ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็เดินโอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงให้เดินตรงไปข้างหน้า
  “หลังจากที่กลืนโอสถพิษนั่นเข้าไปข้าก็ลืมเจ้าจนหมดสิ้น จะรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไรกันเล่า เจ้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดมากกว่าข้า!” เฉิงเม่ยเฟิงตอบหลิงหยุนกลับไปพร้อมกับหันไปจ้องมอง
  ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เฉิงเม่ยเฟิงหายไปพร้อมกับฉินจิวยื่อนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาและเธอได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง!