“ดูสิ!ในที่สุดพี่เม่ยเฟิงกับพี่หลิงหยุนก็มีความสุขด้วยกันทั้งคู่แล้ว!”
  ท่ามกลางผู้คนในที่นั้นทั้งหมดไป๋เซียนเอ๋อกับเสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นผู้ที่สนิทสนมกับเฉิงเม่ยเฟิงที่สุด ทั้งคู่จึงดีอกดีใจไปกับทั้งสองสองคนด้วย
  เสี่ยวเม่ยเม่ยได้แต่ยืนดูภาพตรงหน้านิ่งเงียบภายในใจมีหลายอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้ความทรงจำของเฉิงเม่ยเฟิงฟื้นคืนกลับมา หลิงหยุนถึงกับลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย ทำให้นางอดที่จะตกใจไม่ได้!
  อีกทั้งเวลานี้หลิงหยุนก็กลับไปเป็นเด็กหนุ่มเจ้าเนื้อดังเช่นเมื่อก่อนทำให้เสี่ยวเม่ยเม่ยอดที่จะคิดถึงคืนวันเก่าๆที่ทั้งคู่เคยใช้เวลาร่วมกันไม่ได้ นางไม่คิดไม่ฝันว่าเด็กหนุ่มที่ถูกองค์กรนักฆ่าส่งคนมาลอบสังหารในวันนั้น ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปีจะสามารถเติบโตแข็งแกร่งได้มากมายถึงเพียงนี้!   แต่หญิงสาวทุกคนในที่นี้ต่างก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีจึงไม่มีผู้ใดคิดอิจฉาหรือว่าหึงหวงเฉิงเม่ยเฟิงเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดีและมีความสุขไปกับคนทั้งคู่ด้วย ที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง
  “เอาล่ะมีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลัง เวลานี้ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีก!”
  หลิงหยุนตบบ่าเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับร้องบอกอย่างอ่อนโยนจากนั้นจึงปรายตามองไปทางร่างของแม่ชีมี่ยู่ที่นั่งอยู่กับพื้น พลันสายตาของหลิงหยุนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
  หลิงหยุนเดินจูงเฉิงเม่ยเฟิงเดินก้าวไปหาแม่ชีมี่ยู่ทีละก้าวอย่างช้าๆสายตาของเขาจ้องมองนางราวกับสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง
  “นังโจรเฒ่ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
  แม่ชีมี่ยู่ถูกตี้เสี่ยวอู๋นำตัวมาที่นี่ก่อนหน้าหลิงหยุนจะมาถึงแล้วและได้ยินคำพูดที่ทุกคนสนทนากันจนหมด ราวกับว่าไม่มีผู้ใดเห็นนางอยู่ในบริเวณนั้นด้วย  “ข้ารู้แล้วเจ้าก็คือหลิงหยุน”
  แม่ชีมียู่เปิดเปลือกตาขึ้นช้อนมองไปทางหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง
  หลิงหยุนจับมือเฉิงเม่ยเฟิงไว้พร้อมกับเหลือบมองนางเล็กน้อยก่อนจะก้มลงพูดกับแม่ชีมี่ยู่ต่อ “เจ้าเห็นหรือไม่ว่า โอสถไร้ใจของเจ้าไม่สามารถทำอะไรภรรยาของข้าได้!”
  แม่ชีมี่ยู่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา..
  หลิงหยุนปล่อยมือเฉิงเม่ยเฟิงแล้วค่อยๆย่อตัวลงข้างกายแม่ชีมี่ยู่พร้อมกับพูดจาเย้ยหยัน “เจ้ากล้าจับตัวภรรยาของข้า และนำนางกลับไปอารามจิ้งซินให้บวชเป็นชี มิหนำซ้ำยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางลืมข้าให้ได้ เจ้าช่างบังอาจนัก!”
  “….”แม่ชีมี่ยู่ได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าตอบโต้
  “หึ!เมื่อครั้งที่เจ้าบีบบังคับนางให้กลืนโอสถไร้ใจ คงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้สินะ!”
  “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าหลังจากเจ้าไปเกิดใหม่แล้ว จงจำให้ขึ้นใจว่าก่อนจะจับตัวใครสักคนเช่นนี้อีก จงใช้สมองโง่ๆของเจ้าไตร่ตรองดูว่าตนเองมีปัญญาและแข็งแกร่งพอหรือไม่”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามเฉิงเม่ยเฟิงว่า “ภรรยา เจ้าคิดที่จะแก้แค้นนังโจรเฒ่านี้เช่นใด สังหารนางด้วยตัวเองงั้นรึ?”
  ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ได้เรียกกระบี่ออกมาจากแหวนจักรวาล และส่งให้กับเฉิงเม่ยเฟิง
  กระบี่เล่มยาวเป็นประกายระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์นี่คือกระบี่ที่หลี่จวิ้นหัวแห่งตระกูลหลี่ประมูลมาจากโรงประมูลตระกูลเย่ และได้มอบเป็นของกำนัลให้กับตระกูลหลิงนั่นเอง
  “สามีก่อนหน้านี้ข้าโกรธแค้นนางมาก แต่ตอนนี้ข้าได้กลับมาอยู่ร่วมกับเจ้าแล้ว จึงอยากให้นางได้ตายอย่างสบายๆ”
  เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับชี้ปลายกระบี่ไปยังร่างของแม่ชีมี่ยู่ที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น
  หลิงหยุนพยักหน้าตามใจเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับตอบไปว่า“แล้วแต่เจ้า กระบี่อยู่ในมือเจ้าแล้ว!”
  แต่ในพริบตานั้นเองแม่ชีมี่ยู่ก็ยกฝ่ามือของตนฟาดลงกับพื้นดิน และอาศัยแรงส่งนั้นกระโดดพุ่งตัวไปทางหน้าผาแทน แล้วร่างของนางก็ลอยละลิ่วตกลงไปจากหน้าผาสูงทันที!
  แม้จะเป็นหน้าผาสูงชันแต่ด้วยความสูงเพียงแค่ห้าร้อยเมตรนี้ ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-5 อย่างแม่ชีมี่ยู่ หากสวรรค์เข้าข้างก็อาจมีโอกาสรอดชีวิตมาได้
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า“หึ! เจ้าช่างโง่เขลานัก คิดว่าทำเช่นนี้จะหนีรอดงั้นรึ”
  หลิงหยุนแทบไม่ต้องขยับเขยื้อนกายด้วยซ้ำทันทีที่แม่ชีมี่ยู่กระโดดพุ่งตัวออกไปทางหน้าผา หวังชงเซียวก็พุ่งตัวตามออกไปทันทีเช่นกัน และจัดการคว้าร่างของนางลากกลับมาที่เดิม
  ร่างของแม่ชีมี่ยู่ถูกนำมาโยนไว้แทบเท้าหลิงหยุนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหมดหนทางที่จะหนีรอดได้อีก นางจึงโขกศรีษะลงกับพื้นพร้อมอ้อนวอนหลิงหยุน
  “หลิงหยุนข้ารู้ตัวว่าทำผิดไป! ข้าไม่ควรบีบบังคับให้เฉิงเม่ยเฟิงต้องกลืนโอสถไร้ใจ ในเมื่อพวกเจ้าสองคนก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันแล้ว ได้โปรดรามือไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
  หลิงหยุนจ้องมองท่าทีของแม่ชีมี่ยู่ด้วยความรู้สึกรังเกียจจนต้องก้าวถอยหลังออกมา“เจ้าศึกษาพระธรรมอยู่ในอารามจิ้งซินมาตั้งนาน ยังหวาดกลัวความตายอีกรึ”
  เวลานี้แม่ชีมี่ยู่กลัวตายจนเนื้อตัวสั่นนางไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น และหวังเพียงแค่ว่าคนเหล่านี้จะปล่อยนางไปตามทาง
  “มี่ยู่เจ้ารู้หรือไม่ว่าซันเทียนเปียวและยอดฝีมือนับร้อยที่มันนำไปถล่มข้าที่จิงฉูนั้น เวลานี้คนพวกนั้นถูกข้าสังหารตายไปตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อนแล้ว!”   “และข้าก็คิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้เรื่องที่ตระกูลซันแห่งปักกิ่งได้ถูกข้าทำลายถอนรากถอนโคนจนสิ้นชื่อไปแล้ว!”
  “ที่ข้าต้องการสังหารเจ้านั้นไม่ใช่เพียงเพราะเจ้านำตัวภรรยาของข้าไป แต่เป็นเพราะเรื่องเมื่อหกเดือนก่อนนั้น เจ้าเองก็เกี่ยวข้องด้วย!”
  “ข้าถือคติว่ามีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ! คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็หนีไม่พ้นความตายแน่!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็เหลือบมองไปทางเฉิงเม่ยเฟิง..
  ชัวะ!
  กระบี่ในมือของเฉิงเม่ยเฟิงฟันเข้าที่ลำคอของแม่ชีมี่ยู่ทันทีศรีษะของนางขาดออกจากร่าง และลอยละลิ่วตกลงไปที่หน้าผาทันที เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดกระโดดเข้าไปขัดขวางไว้อีก
  หลิงหยุนซัดฝ่ามือใส่ร่างไร้ศรีษะของแม่ชีมี่ยู่แล้วร่างที่มีโลหิตไหลพร่างพรูออกมานั้น ก็พุ่งตรงไปยังหน้าผาก่อนจะร่วงหล่นตามศรีษะไป
  “ในที่สุดเจ้าก็ล้างแค้นนางได้สำเร็จ!”
  หลิงหยุนหันไปมองเฉิงเม่ยเฟิงด้วยแววตาชื่นชมและรู้ว่านี่เป็นการฆ่าคนครั้งแรกของนาง
  เฉิงเม่ยเฟิงส่งยิ้มใหักับหลิงหยุน..
  หลังจากล้างแค้นได้สำเร็จแล้วหลิงหยุนจึงเดินจูงมือเฉิงเม่ยเฟิงตรงเข้าไปหาฉินตงเฉี่วย จากนั้นจึงพูดขึ้นวา
  “เม่ยเฟิงเพิ่งจะฟื้นคืนความทรงจำได้แต่พิษของโอสถไร้ใจยังคงกระจายอยู่ทั่วร่าง อีกทั้งข้ายังคงต้องช่วยนางกำจัดพลังปราณที่ฝึกฝนด้วยวิชาไร้ใจออกไป เพราะฉะนั้น..”
  “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลใจไปพวกเราทุกคนเข้าใจ อีกอย่างพวกเราก็ยังมีเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการ พวกเจ้าสองคนเพิ่งจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเถิด คืนนี้รับรองไม่มีผู้ใดรบกวนพวกเจ้าแน่!”
  ฉินตงเฉี่วยคร้านที่จะฟังคำอธิบายของหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงก็เอาแต่ยืนหน้าแดงด้วยความเขินอาย
  “เอาล่ะทุกคนตามข้าไปออกไปจากที่นี่กันดีกว่า อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอพวกเขาสองคนอีกเลย!”
  พูดจบ..ฉินตงเฉี่วยก็กระโดดนำทุกคนลงเขาไปทันที
  “พี่หลิงหยุนพี่เม่ยเฟิง คืนนี้ขอให้พี่ทั้งสองมีความสุขมากๆนะ!”
  ไป๋เซียนเอ๋อยิ้มให้พร้อมกับทิ้งคำพูดไว้และรีบกระโดดลงเขาตามฉินตงเฉี่วยไปทันที จากนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็กระโดดตามออกไป แต่ก็ไม่วายอวยพรคนทั้งคู่เช่นกัน
  ตี้เสียวอู๋เดินตรงไปหาหลิงหยุนพร้อมกับเรียกศิลาแม่เหล็กขั้วโลกวิญญาณเหมันต์หมื่นปี และธาราขั้วโลกที่ประมูลได้ในคืนนี้ออกมาจากแหวนพื้นที่ส่งให้หลิงหยุน
  หลิงหยุนจัดการเก็บของทั้งหมดเข้าไปไว้ในแหวนของตนแล้วจึงร้องสั่งหวังชงเซียว “เฒ่าหวัง คืนนี้เจ้าดูแลความปลอดภัยของทุกคนด้วย!”
  “ขอรับคุณชายหลิงรับรองว่าทุกคนจะปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆแล้วจึงเรียกขวดหยกสีเขียวออกมาสองขวด มันคือขวดบรรจุโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญนั่นเอง เขาส่งให้กับหวังชงเซียวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “รับไป!คืนนี้เจ้าทำงานได้ดีมาก”
  “ขอบคุณคุณชายหลิงสำหรับโอสถล้ำค่านี้!”
  หวังชงเซียวจ้องมองโอสถในมือด้วยความรู้สึกดีใจจนไม่อาจอธิบายออกมาได้
  “เอาล่ะ..พวกเจ้ารีบๆไปได้แล้ว!”
  หลิงหยุนคร้านที่จะสนใจหวังชงเซียวกับตี้เสี่ยวอู๋อีกจึงรีบไล่ทั้งคู่ลงจากเขาไปทันที
  …..
  “ในที่สุดบนเขานี้ก็เหลือเราเพียงแค่สองคนช่างมีความสุขยิ่งนัก!”
  หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับอ้าแขนรอรับร่างของเฉิงเม่ยเฟิงที่พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดและไม่ยอมปล่อยนางอีกเลย
  “สามี..ที่นี่ข้าเพิ่งจะสังหารมี่ยู่ไป พวกเราไปที่อื่นกันดีกว่า ข้าไม่ชอบที่นี่นัก!” เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนทันที
  “ก็ดีเหมือนกัน!”
  “งั้นบอกมาว่าเจ้าอยากจะไปที่ไหนที่ใดมีเจ้าข้าก็ไปได้หมด!”
  เฉิงเม่ยเฟิงก้มหน้าเอียงอายพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าอยู่บนเขามานานหกเดือนแล้ว.. พวกเราเข้าเมืองอิงถานกันดีหรือไม่”
  หลิงหยุนโอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่เหินเงาธนูพร้อมกับตอบไปว่า “ได้สิ! สามีจะพาเจ้าเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองเอง!”
  หลิงหยุนจัดการกลั่นเสินหยวนพร้อมกันเก้าหยดและพาเฉิงเม่ยเฟิงเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
  ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่นั้นหลิงหยุนเผาเสินหยวนพร้อมกันถึงเก้าหยด ทำให้กระบี่เหินของขาสามารถเหาะไปได้ด้วยความเร็วสามร้อยเมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว
  เมืองหนานชางอยู่ห่างจากเขาลูกนี้ไปเพียงแค่ร้อยกิโลเมตรเท่านั้นหลิงหยุนจึงใช้เวลาเพียงแค่ห้าถึงหกนาทีในการเหาะไปถึงที่นั่น
  หลิงหยุนมองหาสถานที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่แล้วจึงร่อนลงจอดหลังจากเก็บกระบี่เหินเงาธนูเข้าไปแล้ว เขาก็เรียกรถ Mercedes-Benz คันเดิมออกมาจากแหวน
  เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่ยืนมองด้วยความงุนงงและตกตะลึง..
  “เมียจ๋า..หกเดือนที่ไม่ได้พบหน้ากัน ข้ายังมีเรื่องให้เจ้าประหลาดใจอีกมาก ขึ้นรถได้แล้ว!”
  หลิงหยุนขับรถพาเฉิงเม่ยเฟิงเข้าเมืองและไปพักที่ห้องสูทของโรงแรมห้าดาวแห่งเดิม
  หลังจากที่พนักงานต้อนรับเห็นทั้งคู่ขึ้นลิฟท์ไปแล้วหนึ่งในนั้นจึงพูดขึ้นว่า “นี่เธอ ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั๊ย นี่มันแฟนชั่นใหม่เหรอ เธอเห็นชุดที่ผู้หญิงสวยๆคนนั้นใส่มั๊ย?”
  “นั่นสิ..หรือจะเป็นแฟชั่นใหม่ของปีนี้”