ห้องนี้เป็นห้องสูทที่ตกแต่งด้วยโทนสีทองหลังจากที่เปิดไฟ ห้องทั้งห้องก็กลายเป็นสีทองระยิบระยับดูหรูหราราวกับปราสาทราชวังเลยทีเดียว
“โอ๊ะ!”
ทันทีที่ปิดประตูห้องหลิงหยุนก็คว้าร่างของเฉิงเม่ยเฟิงเข้าไปกอด เพียงแค่หมุนตัวไม่กี่รอบชุดคลุมสีเทาของเฉิงเม่ยเฟิงก็ร่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้น เผยให้เห็นเรือนร่างงดงาม และผิวขาวนวลเนียนราวหิมะ รูปร่างที่สมส่วนของนางทำให้หลิงหยุนถึงกับยืนมองด้วยความตกตะลึง!
เฉิงเม่ยเฟิงเพิ่งจะกลืนโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญเข้าไปเวลานี้ผิวพรรณของนางจึงไม่แตกต่างจากเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น แต่เรือนร่างยังคงสมส่วนในแบบผู้ใหญ่
“ข้ารังเกียจชุดนี้นัก!” เฉิงเม่ยเฟิงบ่นพร้อมกับยกเท้าของตนขึ้นเตะชุดแม่ชีสีเทาที่กองอยู่ปลายเท้าออกไปทันที
ต่อหน้าหลิงหยุนที่กำลังตกใจอยู่ในตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงไม่มีท่าทีเขินอายหรือเก้อเขินลังเลเลยแม้แต่น้อย การกระทำที่เปิดเผยเป็นธรรมชาตินั้น ทำให้หลิงหยุนยิ่งเห็นเรือนร่างของนางได้ชัดเจนทุกสัดส่วนมากขึ้น
หลิงหยุนยกมือขึ้นเชยคางของเฉยเม่ยเฟิงไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ดูเหมือนภรรยาคนเดิมของข้าจะกลับมาแล้วสินะ!”
“สามี..เจ้าช่วยข้าทำลายชุดแม่ชีนั่นทิ้งซะ ข้าไม่ต้องการเห็นมันอีกต่อไป!” เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนและไม่แม้แต่จะชายตามองชุดแม่ชีอีกเลย
“ง่ายมาก!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ใช้พลังจิตของตนเองส่งชุดแม่ชีและรองเท้าผ้าให้ลอยลงไปในถังขยะที่อยู่ภายในห้องทันที จากนั้นเขาก็เรียกยันต์เตโชระดับสามออกมาจากแหวนจักรวาล และซัดเข้าไปที่ถังขยะใบเดิมพร้อมกับร้องสั่งยันต์ให้ทำงาน
เปลวไฟสีฟ้าเผาผลาญชุดแม่ชีและรองเท้าผ้าจนกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตาเดียวแต่ไม่เพียงเท่านั้น หลิงหยุนยังใช้พลังจิตของตนควบคุมถังขยะใบนั้นให้ลอยละลิ่วออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะตกลงไปกลางทะเลสาบด้านนอก
และเวลานี้หลิงหยุนก็ได้กำจัดชุดแม่ชีของเฉิงเม่ยเฟิงจนไม่เหลือสิ่งใดให้รกหูรกตาของนางอีก
เฉิงเม่ยเฟิงที่เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับยืนอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง แต่ในที่สุดก็เอ่ยชมออกมา
“สามี..เดี๋ยวนี้เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขและอธิบายให้นางฟังว่า“นี่เป็นการใช้พลังจิต หรือจะเรียกว่าเป็นพลังส่วนหนึ่งของจิตหยั่งรู้ก็ได้!” เวลานี้หลิงหยุนเพิ่งจะเผาเสินหยวนไปเก้าหยดและต่อให้เขาไม่เผาเสินหยวนเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับหลิงหยุนเลย ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่สามารถใช้กระบี่เหินเหาะไปไหนต่อไหนได้
ระหว่างที่อธิบายให้เฉิงเม่ยเฟิงฟังอยู่นั้นสายตาของหลิงหยุนก็กวาดไปทั่วเรือนร่างของนาง
“สามีข้าจะไปอาบน้ำก่อน เจ้าจะเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับข้าหรือไม่”
“แน่นอน!ข้าย่อมไม่ขัดใจเจ้า” หลิงหยุนไม่ได้โง่จึงจะได้ปฏิเสธ
เฉิงเม่ยเฟิงเข้าไปอาบน้ำชำระกายครั้งนี้ก็เพื่อจะบอกลาอดีตที่ผ่านมา หลังจากที่ร่างกายสะอาดสะอ้านแล้ว นางจึงยอมให้หลิงหยุนสัมผัสและมีความสุขกับเรือนร่างใหม่ของนาง
ทั้งสองคนช่วยกันอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณอยู่ในห้องน้ำอยู่ร่วมชั่วโมงในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมานั่งที่ห้องรับแขก แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะไม่ได้ระมัดระวังตัวหรือทำท่าทีปัดป้องหลิงหยุนแต่เขาก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรนางมากนัก เพราะเขาต้องการใช้เวลาอยู่กับนางมากกว่าที่จะคิดล่วงเกินนาง
อีกอย่างฤทธิ์ของโอสถไร้ใจและวิชาไร้ใจที่นางฝึกก็ยังคงมีผลต่อร่างกายของนางอยู่หลิงหยุนจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก
“เอาล่ะ..มาเริ่มกันได้เลย!”
การที่หลิงหยุนพาเฉิงเม่ยเฟิงมาที่โรงแรมแห่งนี้ก็เพื่อที่จะหาสถานที่ส่วนตัวสำหรับทำการรีดผิดที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้กับเฉิงเม่ยเฟิง และเวลานี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว
การรีดพิษของโอสถไร้ใจไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับหลิงหยุนเพราะเวลานี้เขาไม่เพียงเข้าใจการทำงานของโอสถไร้ใจ แต่ในร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงยังมีพลังอมตะสีม่วงไหลเวียนอยู่ด้วย
บูม! หลังจากที่ทั้งคู่นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นหลิงหยุนจึงได้เผาเสินหยวนกว่าร้อยหยดทันที และใช้พลังวิเศษนี้ถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงจากร่างของตนเข้าไปยังร่างของเฉิงเม่ยเฟิงอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ทำการเดินลมปราณขับเคลื่อนพลังอมตะสีม่วงนี้ไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างของเฉิงเม่ยเฟิง หลังจากเดินลมปราณไปทั่วร่างได้ราวสิบสองรอบ หลิงหยุนก็ได้ใช้พลังวิเศษนี้ทำการทะลวงจุดซือไห่ที่อยู่กึ่งกลางหน้าผากให้กับนางด้วย เพื่อให้จิตหยั่งรู้ของนางได้ถือกำเนิดขึ้น!
จิตหยั่งรู้นั้นจะแตกต่างจากประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ธรรมดาและทันทีที่จิตหยั่งรู้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เฉิงเม่ยเฟิงจึงสามารถรับรู้และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนได้ทันที
“สิ่งนี้เรียกว่าจิตหยั่งรู้เจ้าลองเปิดมันออกสำรวจดูว่าสามารถมองเห็นได้ไกลเพียงใด”
หลิงหยุนไม่รีบร้อนเขาค่อยๆทำการปรับเปลี่ยนกายาให้กับเฉิงเม่ยเฟิงทีละเล็กทีละน้อย..
“น่าจะราวสองพันเมตรได้!”เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจ้าเพิ่งจะได้สัมผัสกับจิตหยั่งรู้เป็นครั้งแรกจึงยังไม่สามารถกะระยะการมองเห็นได้แม่นยำนัก ความจริงแล้วน่าจะสามกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆเพราะเขาได้ใช้พลังอมตะสีม่วงทำการทะลวงจุดซือไห่ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงเลยทีเดียว อีกทั้งเวลานี้ตัวนางเองก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 จิตหยั่งรู้จะมีรัศมีขอบเขตเพียงแค่สองพันเมตรได้อย่างไรกัน
“น่าโมโหชะมัด!เพราะอารามจิ้งซินเลยทีเดียว ทำให้เจ้าก้าวหน้าได้ล่าช้าถึงเพียงนี้..”
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้หลิงหยุนมักจะรู้สึกโมโหไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะเฉิงเม่ยเฟิงถูกคนของอารามจิ้งซินนำตัวไปตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน ป่านนี้นางต้องอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว! และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลิงหยุนต้องการสังหารแม่ชีมี่ยู่ให้ได้!
ในเมื่อจิตหยั่งรู้ของเฉิงเม่ยเฟิงกำเนิดขึ้นแล้วการจะล้างพิษในกายของนางก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ความจริงยังมีวิธีอื่นเช่นกัน แต่หลิงหยุนเลือกที่จะใช้วิธีนี้เพราะพลังอมตะสีม่วงนั้นทรงพลังยิ่งนัก การใช้พลังอมตะสีม่วงขับพิษของโอสถไร้ใจ จึงไม่ต่างจากการตบยุงด้วยเขาลูกใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด
ขั้นแรกคือการทะลวงจุดซือไห่เปิดจิตหยั่งรู้ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงเสียก่อนแล้วจึงทำการขับพิษที่เหลือในร่างกาย และขั้นตอนสุดท้ายก็คือทำลายพลังปราณที่เกิดจากการฝึกวิชาไร้ใจที่หมุนเวียนอยู่ภายในร่าง
แต่ละขั้นตอนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากหลิงหยุนใช้พลังอมตะสีม่วงเข้าปกป้องจุดตันเถียนและเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปดของเฉิงเม่ยเฟิงไว้ จากนั้นจึงทำการถ่ายเทพลังหยินและหยางเข้าไปในร่างกายของนาง แล้วค่อยๆใช้พลังหยินและหยางของตนเปลี่ยนพลังปราณที่เกิดจากการฝึกวิชาไร้ใจให้เป็นพลังหยินและหยางแทน
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องง่ายแต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ทำจริงได้ยากยิ่งนัก!
พลังหยินและหยางในร่างของหลิงหยุนนั้นสามารถเปลี่ยนพลังชีวิตอื่นๆให้กลายเป็นพลังหยินและหยางได้หมด และพลังปราณไร้ใจนี้ก็หาใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน!
หลิงหยุนกระทำทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง หลิงหยุนจึงสามารถปรับเปลี่ยนพลังปราณไร้ใจทั้งหมดภายในร่างของเฉิงเม่ยเฟิง ให้กลายเป็นพลังหยินและหยางได้สำเร็จ
“อาวุโส..ได้โปรดให้ข้าขอยืมพลังอมตะสีทองของท่านด้วยเถิด!”
ครั้งนี้..หลิงหยุนกำลังสื่อสารกับดวงจิตที่อยู่ในพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์
ก่อนหน้านี้หลิงหยุนได้เคยถ่ายเทพลังอมตะสีทองจากพู่กันจักรพรรดิเข้าไปในร่างของเฉิงเม่ยเฟิงและในบรรดาธาตุทั้งห้านั้นธาตุที่เด่นที่สุดในร่างของเฉิงเม่ยเฟิงก็คือธาตุทอง เขาจึงต้องการขอยืมพลังอมตะสีทองจากพู่กันจักรพรรดิอีกครั้ง
“พ่อหนุ่ม..เจ้านี่ช่างฉวยโอกาสเอาเปรียบข้ายิ่งนัก! สำหรับแม่นางผู้นี้ พลังอมตะสีทองภายในร่างกายของเจ้าก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
“อาวุโส..ในคืนที่สวรรค์ประทานของกำนัล ท่านเองก็ได้ไปตั้งมากมายเช่นกัน..”
ในคืนที่หนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์นั้นพู่กันจักรพรรดิได้ดูดซับเอาพลังอมตะสีทองที่เสมือนของกำนัลจากสวรรค์เข้าไปเกือบหมด หลิงหยุนยังจำได้ดี..
ส่วนตัวเขาเองก็เอาแต่ดูดซับพลังอมตะสีม่วงที่ล้ำค่ากว่าเข้าไปไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้พู่กันจักรพรรดิดูดซับเอาพลังอมตะสีทองเข้าไปฝ่ายเดียวเช่นนั้นแน่
เมื่อเห็นหลิงหยุนพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนั้นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์จึงคร้านที่จะโต้เถียงด้วย และได้ปลดปล่อยพลังอมตะสีทองออกมาให้เขาอย่างมากมาย
“ขอบคุณอาวุโสยิ่งนัก!”
หลังจากที่ได้รับพลังอมตะสีทองมาจำนวนมากหลิงหยุนก็ได้ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเฉิงเม่ยเฟิงทันที
“เอาล่ะเรียกร้อยแล้ว!”
ท้ายที่สุดนอกเหนือจากพลังอมตะสีม่วงแล้ว ภายในร่างของเฉิงเม่ยเฟิงยังมีพลังอมตะสีทองบริสุทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน!
“สามีข้ารู้สึกว่าเวลานี้จิตหยั่งรู้ของตนเองดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้ามากทีเดียว!” เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนด้วยความตกใจ
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อนับจากนี้ไปเฉิงเม่ยเฟิงจะมีทั้งพลังอมตะสีม่วง และพลังอมตะสีทองในการฝึกฝนวิชา
“เม่ยเฟิง..เจ้าตั้งใจฟังข้าให้ดี ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชามังกรทองคะนองให้ วิชานี้นอกจากจะใช้บ่มเพาะพลังได้แล้ว ยังสามารถใช้จู่โจมคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย!”
หลิงหยุนค่อยๆทำไปทีละขั้นไม่รีบร้อน หลังจากที่เปิดจิตหยั่งรู้ให้กับนางแล้ว เขาก็จัดการขับพิษและพลังปราณไร้ใจออกจากร่างให้ และเวลานี้ก็กำลังจะถ่ายทอดวิชามังกรทองคะนองให้กับนางด้วย!
ด้วยอานุภาพของจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งเวลานี้ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงสามารถจดจำเคล็ดวิชามังกรทองคะนองได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกายเพื่อกระตุ้นพลังอมตะสีทองในจุดตันเถียน แล้วจึงเริ่มฝึกวิชามังกรทองคะนองต่อไป
ตูม!
ในเวลาเพียงไม่นานเฉิงเม่ยเฟิงก็สามารถกลับเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6ได้ดังเดิม หลังจากที่ฝึกวิชามังกรทองคะนองผ่านไปราวสามชั่วโมง นางก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงไม่ต่างจากไผ่ที่กำลังแตกหน่ออกใบอย่างรวดเร็ว และด้วยความช่วยเหลือของหลิงหยุน ในที่สุดนางก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 ได้!
หลิงหยุนถอนฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเฉิงเม่ยเฟิงและค่อยๆถอนลมปราณกลับ แล้วหยดเสินหยวนกว่าร้อยหยดก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น!
ทั้งเสินหยวนกว่าร้อยหยดพลังอมตะสีม่วง และพลังอมตะสีทองจำนวนมาก ประกอบกับการฝึกวิชามังกรทองคะนอง ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 หรือเทียบเท่ากับระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ได้ในคราวเดียว!
หลิงหยุนลุกขึ้นจากพื้นและเดินตรงไปที่หน้าต่าง ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงยังคงเดินลมปราณต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง และหลังจากที่ขั้นของนางมั่นคงแล้ว เฉิงเม่ยเฟิงสัมผัสได้ถึงความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก พลังปราณที่เกิดจากการฝึกวิชาไร้ใจได้สลายหายไปจนหมดสิ้น และเวลานี้จิตหยั่งรู้ของนางก็ได้ขยายรัศมีการรับรู้ออกไปไกลมากกว่าสามเมตร
แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งสำคัญสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือภายในร่างกายของนางนั้นนอกเหนือจากพลังอมตะสีม่วงแล้ว ยังมีพลังอมตะสีทองอยู่เต็มไปหมด!
เฉิงเม่ยเฟิงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าอารมณ์ความรู้สึกของตนได้เปลี่ยนไปจากเดิม นางทดลองเดินลมปราณด้วยวิชามังกรทองคะนอง จากนั้นจึงโบกมือไปมาเบาๆ แล้วแสงสีทองก็พุ่งออกจากฝ่ามือของนางกลายเป็นมังกรทองที่มีลำตัวยาวกว่าสองเมตร มังกรทองที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับมังกรที่มีชีวิตจริงๆ เพราะมีทั้งเท้าและกรงเล็บงอกออกมาให้เห็น อีกทั้งตอนนี้ก็กำลังขดรอบเสาเหล็กขนาดข้อมือที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่น
สิ้นเสียงดังปังเสาเหล็กขนาดเท่าข้อมือก็ขาดออกจากกันก่อนจะร่วงลงบนพรม..
“ขอบคุณสามี!” เฉิงเม่ยเฟิงร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจพร้อมกับกระโดดตรงเข้าไปหาหลิงหยุน หลิงหยุนหันไปยิ้มให้พร้อมกับโอบกอดร่างบอบบางสมส่วนนั้นไว้ และตอบไปว่า
“ไม่เป็นไร!”
เฉิงเม่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า“เวลานี้พิษของโอสถไร้ใจก็ถูกขับออกจนหมดแล้ว และข้าเองก็ลืมวิชาไร้ใจไปจนหมดสิ้นแล้ว ว่าแต่เจ้าล่ะยังเหมือนเดิมหรือไม่”