“เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนเข้าใจความหมายในคำถามของเฉิงเม่เยเฟิงดีเขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้เฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่คือข้าในวันที่ลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์!”
หลิงหยุนค่อยๆเปลี่ยนร่างกลับไปดังเดิมทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เฉิงเม่ยเฟิงค่อยๆเห็นความเปลี่ยนแปลงของตน
“นี่ก็น่าจะเป็นตอนที่ข้าพาเซียนเอ๋อไปกลายร่างที่เกาะเต่า”
“นี่เป็นช่วงเดือนมิถุนายนที่ข้าสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย”
“ภายในเวลาเพียงแค่สี่ห้าเดือนน้ำหนักของข้าลดลงไปเกือบสี่สิบกิโลกรัมเชียวนะ!”
รูปลักษณ์ของหลิงหยุนในช่วงที่สอบเอนทรานซ์เสร็จนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กหนุ่มไร้วรยุทธที่เฉิงเม่ยเฟิงพบก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
รูปร่างของหลิงหยุนแม้จะผอมลงกว่าเดิมมากแต่ก็สมส่วนอย่างไร้ที่ติ ใบหน้าคมสันไม่อ้วนกลมเหมือนเช่นเคย คิ้วรูปดาบทั้งสองข้างงดงามได้รูป เข้ากับดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้นอย่างลงตัว ราวกับภาพวาดงดงามที่ไม่อาจหาจุดตำหนิได้
เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองรูปลักษณ์ของหลิงหยุนที่เปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลายเป็นหลิงหยุนเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าตน
น้ำตาของเฉิงเม่ยเฟิงไหลอาบแก้มอีกครั้งพร้อมกับระล่ำระลักพูดออกไปว่า“สามี ข้าช่างโง่เขลานัก!”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับนาง“เจ้าไม่ชอบข้าในตอนนี้งั้นรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงโผเข้าหาอ้อมกอดของหลิงหยุนแทนคำตอบพร้อมกับพึมพำเสียงเบา“ในโลกนี้ คงมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ดีกับข้าถึงเพียงนี้!”
หลิงหยุนดันร่างของเฉิงเม่ยเฟิงออกเขาจ้องหน้านางพร้อมกับพูดขึ้นว่า “โอสถเยาว์วัยกับโอสถโฉมสะคราญนั้นเป็นเพียงของขวัญชิ้นแรกที่ข้ามอบให้เจ้า!”
“ของขวัญชิ้นที่สองที่สามีมอบให้เจ้าก็คือชีวิตของแม่ชีมี่ยู่!”
“และตอนนี้ข้าก็กำลังจะมอบของขวัญชิ้นที่สามให้กับเจ้า..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็เรียกแหวนแพลตตินั่มออกมาหนึ่งวง“นี่คือแหวนพื้นที่ ภายในมีพื้นที่ราวสามตารางเมตร เจ้าใช้มันไปก่อน ไว้มีโอกาสข้าจะทำอันใหม่ให้กับเจ้า!”
“ได้สิ..ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็สวมให้ข้าเลย!”
เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกหลิงหยุนด้วยความดีอกดีใจและรีบยื่นมือออกไปให้เขาทันที
หลิงหยุนจัดการสวมแหวนพื้นที่ให้กับเฉิงเม่ยเฟิง“แหวนพื้นที่นี่จะช่วยให้เจ้าพกพาสิ่งของติดตัวไปได้อย่างสะดวกสบาย” จากนั้นหลิงหยุนก็ได้บอกให้เฉิงเม่ยเฟิงหยดเลือดของตนเองลงไปและสอนวิธีสื่อสารกับแหวนพื้นที่ให้นางรู้ เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว การสื่อสารกับแหวนพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
หลังจากที่มอบแหวนพื้นที่ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงแล้วหลิงหยุนก็เรียกโอสถหลงหู่ โอสถชนิดอื่นๆ และยันต์ชนิดต่างๆออกมาให้นางเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
“นอกเหนือจากของขวัญพวกนี้แล้วข้ายังมีของขวัญสำคัญอีกหนึ่งชิ้นจะมอบให้กับเข้าด้วย!” หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“หืมม!เป็นสิ่งใดงั้นรึ?”
เฉิงเม่ยเฟิงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจเพราะหลิงหยุนให้สมบัติล้ำค่ากับตนมามากมายแล้ว ยังจะมีของขวัญชิ้นสำคัญอะไรกันอีก
“ก็ตัวข้ายังไงเล่า!ฮ่า.. ฮ่า..” พูดจบหลิงหยุนก็ได้แต่หัวเราะเสียงดัง “เจ้าช่างร้ายนักนะ!”
เฉิงเม่ยเฟิงอดขันในความเจ้าเล่ห์ของหลิงหยุนไม่ได้
“ภรรยา..พวกเราไปนั่งคุยกันที่โซฟากันดีกว่า”
ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้วท้องฟ้าด้านนอกจึงเริ่มสว่างไสว ทำให้หลิงหยุนสามารถมองเห็นเรือนร่างสมส่วนงดงามของเฉิงเม่ยเฟิงได้ชัดเจนมากขึ้น ความคิดชั่วร้ายจึงผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที แต่แล้วเฉิงเม่ยเฟิงกลับตอบมาว่า
“แต่ข้าว่าที่เตียงใหญ่นั่นน่าจะนอนสบายกว่า..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับถามขึ้นว่า“แต่นี่ก็เช้าแล้ว เจ้ายังจะนอนอีกรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงตอบกลับทันที“หรือเจ้าจะให้ข้าฝึกอีกงั้นรึ เร็วเข้าไปที่เตียงนอนกันดีกว่า..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่เดินตามไปแต่ปากก็พูดออกไปว่า “ภรรยา.. เรื่องนั้นข้าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เจ้าเพิ่งจะผ่านการพัฒนาขั้นมา หากพวกเราเข้าหอกันตอนนี้…”
หลิงหยุนร้องบอกเฉิงเม่ยเฟิงด้วยความกังวลใจเพราะเวลานี้ทั้งเขาและนางต่างก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซานฉางชี่เช่นเดียวกันทั้งคู่ หากทำการบ่มเพาะเคียงคู่ในเวลานี้ เกรงว่าจะเกิดอันตรายและไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองคน
แต่เฉิงเม่ยเฟิงกลับหัวเราะคิกคักพร้อมกับผลักร่างของหลิงหยุนให้เดินตรงไปที่เตียงนอน“นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าอยากนอนคุยกับเจ้าก็เท่านั้นเอง..”
เฉิงเม่ยเฟิงรู้ดีว่าในคืนนี้หลิงหยุนจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่หนักหน่วงแม้หลิงหยุนจะไม่อธิบาย นางก็ไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นแน่
“เฮ้อ..ข้าค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย!”
พูดจบหลิงหยุนจึงหันไปอุ้มร่างของเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปที่เตียงนอนทันที …………
ในเวลาบ่ายสองโมงตรงหลังจากที่รับประทานอาหารเที่ยงกันแล้ว หลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมทันที
ในเมื่อหลิงหยุนตั้งใจที่จะมานำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปเขาจึงได้จัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่มาไว้ให้นางเปลี่ยนด้วย เวลานี้ในแหวนจักรวาลของหลิงหยุนจึงมีตู้เสื้อผ้าทั้งตู้ให้เฉิงเม่ยเฟิงได้เลือกจนพอใจ และเวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์รัดรูปสีฟ้า
นอกจากนั้นหลิงหยุนยังได้เตรียมชุดผ้าแพรไหมดำมาให้เฉิงเม่ยเฟิงด้วยแต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ นางจึงเก็บเอาไว้ในแหวนพื้นที่ของตนเองก่อน
ในช่วงกลางวันแสกๆเช่นนี้การจะใช้กระบี่เหินเหาะกลับไปจึงเป็นเรื่องที่ดูจะเอิกเกริกจนเกินไป ทั้งคู่จึงเดินทางกลับด้วยรถยนต์ แต่ครั้งนี้เป็นเฉิงเม่ยเฟิงที่ทำหน้าที่คนขับรถ “ข้าไม่ได้กินอาหารดีๆแล้วก็ไม่ได้ขับรถเล่นเช่นนี้มานานนัก ช่างมีความสุขมากจริงๆ!”
เฉิงเม่ยเฟิงขับรถไปตามถนนด้วยความเร็วสูงสุดทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในโรงแรมร่วมกันนานสิบกว่าชั่วโมง หลิงหยุนได้เล่าเรื่องราวของเขาตลอดหกเดือนให้กับเฉิงเม่ยเฟิงฟัง และเวลานี้ทั้งสองคนต่างก็กำลังรอคอยให้ถึงงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้อย่างใจจดใจจ่อ
จนกระทั่งเวลาบ่ายสี่โมงทั้งคู่จึงเข้าสู่ตัวเมืองอิงถาน และหลิงหยุนก็ได้พาเฉิงเม่ยเฟิงไปพบกับเหล่าแวมไพร์ทั้งห้าซึ่งเป็นบริวารของตน หลังจากที่แนะนำเฉิงเม่ยเฟิงให้แวมไพร์ทั้งห้ารู้จักแล้ว หลิงหยุนก็สอบถามเรื่องการฝึกฝนของพวกมัน
“เจ้านายที่เคารพพวกเราเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นมาร์ควิสแล้ว แต่ความสามารถของพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแกรนด์ดยุคเอ็ดเวิร์ดเลย”
พอลเป็นฝ่ายเอ่ยตอบหลิงหยุนด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้ตั้งแต่ที่เขาได้ประคำโลหิตมานั้น หลังจากที่เอ็ดเวิร์ดเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์อีก จึงได้มอบประคำโลหิตให้เหล่าแวมพร์ที่เหลือทั้งสี่ผลัดกันใช้ฝึกฝน และภายใต้คำแนะนำของเอ็ดเวิร์ด ทำให้แวมไพร์ทั้งสี่ตนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
“รอให้แสงจันทร์ในคืนนี้ปรากฏเสียก่อนหากมีเวลาพวกเจ้าทั้งสี่ก็หาสถานที่เงียบๆ ฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคให้จงได้”
ด้วยประคำโลหิตและปราณเสวียนหวงหลิงหยุนเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากที่แวมไพร์ทั้งสี่ตนจะสามารถเข้าสู่แกนด์ดยุค
ขั้นแกรนด์ดยุคเสมือนขุมพลังของเหล่าแวมไพร์เพราะในขั้นนี้จะสามารถใช้เวทย์มนต์แวมไพร์ได้หลากหลาย อีกทั้งพลังในการต่อสู้กับศัตรูก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย! หากทั้งห้าเป็นแวมไพร์ขั้นแกรด์ดยุคหมดย่อมเท่ากับว่าหลิงหยุนจะมียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสี่เพิ่มขึ้นถึงห้าคนเลยทีเดียว!
และหากแวมไพร์ทั้งสี่ตนสามารถเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคได้ก่อนที่งานชุมนุมชาวยุทธจะเริ่มขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อหลิงหยุนในคืนนี้มากทีเดียว!
“เจ้านายได้โปรดวางใจได้!”เจสเตอร์ร้องบอกหลิงหยุนด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“เยี่ยมมาก..ข้าจะรอดู แล้วนี่พวกเจ้าหาสถานที่จะฝึกฝนได้แล้วรึ” หลิงหยุนจ้องมองเจสเตอร์ด้วยสีหน้าพออกพอใจ
“ตอบเจ้านายที่เคารพห่างจากหุบเขาหลงเฟิงไปราวสิบสองกิโลเมตร มีเขาลูกหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยเขาสูงอีกหลายลูก ที่นั่นปลอดภัยเหมาะแก่การฝึกฝนยิ่งนัก!’
“สิบสองกิโลเมตร..หากพวกเจ้าบินไปก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไปสินะ!” จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อหาเย่ซิงเฉินหวังชงเซียวและคนอื่นๆ จากนั้นจึงได้สั่งการและเตรียมพร้อมสำหรับงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้
แม้หลิงหยุนจะแข็งแกร่งมากแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท เพราะที่นี่มีศัตรูของเขาอยู่มากมาย อย่างน้อยๆก็ราวสี่สิบคนได้ และไม่รู้ว่าแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
แม้กระทั่งงานประมูลเมื่อคืนนี้หลิงหยุนก็ยังไม่พบยอดฝีมือสูงส่งของสำนักต่างๆมากนัก แม้กระทั่งอารามจิ้งซินเอง เจ้าสำนักก็ยังไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ หลิงหยุนเชื่อว่าเหล่ายอดฝีมือสูงส่งระดับเจ้าสำนักเหล่านี้ คงจะต้องรวมหัวกันปรึกษาหาวิธีจัดการกับเย่ซิงเฉินและเขาอยู่เป็นแน่
ส่วนตระกูลเย่กับสำนักบู๊ตึ๊งนั้นแม้แต่เย่ซิงเฉินเองยังไม่กล้าวางใจ!
เพราะเหตุนี้หลิงหยุนจึงต้องเตรียมการให้พร้อมและไม่กล้าประมาท คืนนี้จะเป็นการล้างแค้นให้กับคนตระกูลหลิงที่ต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว การต่อสู้ในคืนนี้จึงอาจนับเป็นสงครามครั้งใหญ่ก็ว่าได้!
เวลาหกโมงครึ่ง..ท้องฟ้าเริ่มเข้าสู่ความมืดอีกครา แสงจันทร์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เริ่มปรากกฏขึ้นอีกครั้ง หลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิง และเหล่าแวมไพร์ทั้งห้า ต่างก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาที่ห่างจากหุบเขาหลงเฟิงไปราวสิบสองกิโลเมตร!
ไม่เพียงเหล่าแวมไพร์ทั้งสี่ที่จะต้องเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคให้ได้แม้แต่ตัวเขาเอง เย่ซิงเฉิน รวมทั้งตี้เสี่ยวอู๋ ฉินตงเฉี่วยและคนอื่นๆ ต่างก็ต้องพัฒนาขั้นให้ได้เช่นกัน!