ฮองเฮาที่ไหนกันบิดหูคนอื่นไม่ยอมปล่อยราวกับผู้หญิงดุร้ายอย่างนี้ มั่นใจแล้วว่ามีแค่จั่งซุนคนเดียวเท่านั้น เมื่อก่อนเคยเห็นนางทำร้ายหลี่เฉิงเฉียน ตัวเองยังรู้สึกสงสาร ตอนนี้หูของตัวเองถูกบิดราวกับหูลา อวิ๋นเยี่ยเริ่มด่าซือหม่ากวงในใจ ในหนังสือ ‘จือจื้อทงเจี้ยน’ ของเขา จั่งซุนแทบจะเป็นฮองเฮาที่สมบูรณ์แบบ ไอ้สารเลวนี่ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินเติมแต่งความงามและความอ่อนโยนของจั่งซุน นั่งเทียนเขียนหนังสือประวัติความเป็นมาของฮองเฮาผู้สง่างาม ทำให้ทันทีที่เขาเจอกับจั่งซุน เขาเคารพนางเป็นอย่างมาก ยอมจำนนอยู่ในเงื้อมมือของนาง ตอนนี้เป็นเช่นไร จั่งซุนกำเริบเสิบสานขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์บอกว่านางจะมีชีวิตอยู่อีกสองปีไม่ใช่หรือ เร็วหน่อยสิ! บอกว่านางนอนป่วยติดเตียงตั้งปีกว่าไม่ใช่หรือ เร็วหน่อยสิ! บอกว่านางให้กำเนิดองค์หญิงจินเฉิงตอนที่ตัวเองป่วยอยู่ไม่ใช่หรือ เร็วหน่อยสิ!
บางทีพระเจ้าอาจจะได้ยินคำร้องขอของอวิ๋นเยี่ย มือที่กำลังบิดหูของอวิ๋นเยี่ยอยู่ๆ ก็ค่อยๆ เบาลง นางถือผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่ปาก
อวิ๋นเยี่ยเกาหูของตัวเอง สะอาดมาก ไม่มีสิ่งสกปรกหรือขี้หู ทำไมจั่งซุนถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ ซินเย่วที่เต็มไปด้วยความเกรงกลัวเดินเข้ามา รินชาร้อนให้ฮองเฮา จั่งซุนรับมาดื่ม จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้จับชีพจรให้ตัวเอง แบบนี้ก็ได้? อวิ๋นเยี่ยเบิกตามองดูจั่งซุนที่กำลังนั่งหลับตา
ผ่านไปไม่นาน จั่งซุนก็ลืมตาขึ้นมา ท่าทางดูมีความสุข นางดึงซินเย่วออกไปพูดเรื่องของผู้หญิงครู่หนึ่ง ไล่อวิ๋นเยี่ยออกไปไกลๆ อวิ๋นเยี่ยที่แอบอยู่หลังเสากำลังเคี้ยวขนมปังมองเห็นจั่งซุนเดินออกไปแล้ว เขาก็เดินเข้าไปแล้วถามซินเย่วอย่างลับๆ ล่อๆ “เกิดอะไรขึ้น หลังจากบิดหูของข้าไปแล้วฮองเฮาพอใจเป็นอย่างมาก? ดูเหมือนว่าต่อไป หากเจ้าเจอเรื่องที่ไม่สบายใจ เจ้าก็มาบิดหูของข้า ข้าจะบอกอะไรให้ เพียงแค่บิดหูของข้าเท่านั้น ความรักก็เริ่มมาจากเรื่องเช่นนี้”
ซินเย่วตบอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห จับแขนอวิ๋นเยี่ยมาแล้วพูดว่า “ท่านหญิงมีเรื่องที่น่ายินดีแล้ว เมื่อครู่นางยังถามว่าข้ามีหรือไม่ ท่านพี่นะท่านพี่ ผ่านไปเป็นปีแล้วทำไมเราถึงไม่มีลูกอีกสักคน” ซินเย่วลูบที่ท้องตัวเองอย่างกระวนกระวาย
“มันจะไปยากอะไร แค่เราพยายามอีกสักหน่อยเดี๋ยวมันก็มีเอง ตอนนี้มีแค่สองคนข้าก็แทบจะตายอยู่แล้ว หากมีเพิ่มอีก? ข้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่”
“ข้าไม่สน ตระกูลของเรามีคนน้อยเกินไป ผู้ชายก็มีแค่ลูกชายของเราคนเดียว เช่นนี้ไม่ดี ตระกูลของเราจะให้ดีก็ต้องมีสักห้าหกคน เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูล ลูกของเราสืบทอดตำแหน่งโหวเจวี๋ย ส่วนที่เหลือสืบทอดความรู้ของเจ้า ปล่อยไปไม่ได้แม้แต่สิ่งเดียว” ซินเย่วพูดอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับว่านางเห็นตระกูลอวิ๋นเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่กำลังวิ่งอยู่ในสวน
ผู้หญิงคนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว อิจฉาสามีของคนอื่น ตระกูลของตัวเองเป็นถึงท่านโหว แต่กลับอิจฉาคนอื่นมีลูกแปดคน ตัวเองมีแค่สองคน ตอนนี้แม้แต่ในท้องของฮองเฮาก็ยังอิจฉา มองดูนิ้วที่กำลังชี้นกชี้ไม้ของนาง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ามีแมลงวันกว่าหมื่นตัวบินหึ่งๆ อยู่รอบตัวเอง
“เอาล่ะ อยากได้ลูกเราก็เข้าไปผลิตข้างในห้อง อย่าพูดมาก ไปเดี๋ยวนี้เลย อย่ารอช้า” ได้ยินท่านพี่โมโห ซินเย่วก็หยิกอวิ๋นเยี่ยอีกที ใช้นิ้วดีดที่หูแดงๆ ของท่านพี่ทีหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องท่ามกลางเสียงตะโกนของอวิ๋นเยี่ย เขาไปปิดประตูแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว
อวิ๋นเยี่ยนั่งเกาหูอยู่ในห้องโถงต้อนรับเหล่าไล่และคนอื่นๆ อีกสองสามคน ล้วนแต่เป็นทหารของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรมาก เกรงใจเกินไปมันทำให้เสียบรรยากาศ พวกเขาทั้งสี่คนยืนตัวตรงอยู่ในห้องโถง ทุกคนสวมชุดเครื่องแบบ ถึงแม้ว่าเกราะจะพังไปหน่อย แต่มันกลับแข็งแรงเป็นอย่างมาก ใต้เท้าของทุกคนมีชุดเกราะพิเศษที่ทำขึ้นโดยตระกูลอวิ๋น สีดำๆ ทาน้ำมัน ตั้งแต่ซุนซือเหมี่ยวบังเอิญทำกรดซัลฟิวริกออกมา ชุดเกราะของตระกูลอวิ๋นก็หนาขึ้นอีกหนึ่งชั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับชุดเกราะของเมื่อก่อนมันทนทานต่อการกัดกร่อนมากกว่า ไม่ต้องโดนกลัวฝนอีกต่อไป
“ไล่ชวนเฟิง หยางเย่วหมิง หยางเย่วหลี่ โก่วเฟิง กองทัพทหารของพวกเจ้าสี่คนเคยถูกส่งไปที่ค่ายใหญ่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนเบาะหนังเสือตรงกลางและถามพวกเขาทั้งสี่คน
“เรียนผู้บัญชาการ หนังสือของพวกข้าทั้งสี่ส่งออกไปแล้ว เลื่อนตำแหน่งขึ้นครึ่งหนึ่ง ตำแหน่งขุนนางของนายพันเอ้อหยางกับนายพันโก่วก็เลื่อนขึ้นครึ่งหนึ่งเช่นกัน พวกข้าขอบพระคุณในความเมตตาของผู้บัญชาการ”
เมื่อเหล่าไล่พูดจบ เขาก็พาทั้งสามคนที่สวมชุดเกราะคุกเข่าข้างหนึ่งลง อวิ๋นเยี่ยโบกมือบอกให้พวกเขาลุกขึ้น ตอนนี้ในห้องโถงมีแค่หลิวจิ้นเป่าที่สวมเครื่องแบบอยู่คนเดียว ข้างนอกมีองครักษ์ประจำตระกูลที่มีครบครันอีกแปดนาย เหล่าสาวใช้และคนรับใช้ต่างไม่กล้าเดินผ่านห้องโถง แม้แต่ซินเย่วก็ยังไม่กล้า เรื่องเช่นนี้ เฉิงฮูหยินเคยสอนซินเย่วไว้นานแล้ว ผู้หญิงไม่ควรสนใจเรื่องของกองทัพทหาร แม้แต่ดูก็ดูไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ ซินเย่วเข้มงวดเป็นอย่างมาก และนางก็รู้ว่ากองทัพมีกฎระเบียบมากมาย
“นี่คือความสามารถของพวกเจ้าทั้งสี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีข้ออ้าง โชคดีที่ข้ายังพอมีหน้ามีตาในกองทัพ พวกเขาช่างจัดการได้รวดเร็วจริงๆ อยู่กับข้าไม่มีทางเสียเปรียบ คนที่รู้จักกันอยู่แล้วอย่างพวกเจ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง กองทัพเรือของเราไม่เคยขาดแคลนเงินทอง แต่แค่ขาดแคลนความดีความชอบ พระเจ้า ตำแหน่งขุนนางของข้า มีความดีความชอบก็ไม่มีประโยชน์ ขุนนางที่พร้อมจะเกิดดับไปกับประเทศชาติ ฝ่าบาทคงจะไม่อยากให้รางวัลข้าอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นจึงต้องลำบากพวกเจ้า หากมีความดีความชอบ จะได้ไม่มีใครกล้าว่ากองทัพเรือหลิ่งหนานของเราปิดบังพฤติกรรมที่ผิดกฎระเบียบ ข้ามีทหารกว่าหนึ่งหมื่นสามพันนาย เรือรบมากกว่าแปดร้อยลำ ตอนนี้รับผิดชอบการขนส่งเสบียงอาหารจากทางตอนใต้ไปตอนเหนือ พูดได้ว่าคือหน้าที่สำคัญ เสบียงอาหารของฉางอันไม่เคยเพียงพอ เพราะคนในฉางอันมีจำนวนเยอะเกินไป
ในเมื่อเรารับผิดชอบหน้าที่นี้ เราก็ต้องทำมันให้ดี ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้กฎระเบียบของค่ายแล้ว นั่นหมายความว่าไม่อนุญาตให้ยื่นมือออกมาทำตามอำเภอใจ ใครยื่นมือออกมาจะถูดตัดขาดทันที แม้แต่หัวก็จะถูกตัดออกไปด้วย พฤติกรรมผิดกฎระเบียบที่ขายขี้หน้าไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นในกองทัพเรือของเรา หากทำผิดก็ต้องถูกเฆี่ยน ถูกกักขัง ถูกตัดหัว ถึงแม้ว่าจะไม่มีการหักเงิน แต่พวกเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ล้วนแต่เป็นจวนของชายชาติทหาร ออกมาเป็นทหาร แต่กลับไม่มีเงิน แต่ผู้บัญชาการของเรามี เมื่อเรือว่างข้าอนุญาตให้บรรทุกสินค้าบางส่วนได้ แต่ว่าต้องเป็นสินค้าของกองทัพเรือของเราเท่านั้น สินค้าของคนนอกไม่อนุญาตให้บรรทุกแม้แต่เม็ดเดียว พวกเจ้าจำเอาไว้”
“ขอรับ!” ทั้งสี่คนตอบออกมาเสียงดังพร้อมกัน อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าและพูดต่อว่า “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ ดังนั้น การหาวิธีให้สหายได้เลื่อนตำแหน่ง มีเงินมีทอง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของข้า หากถูกใครรังแกก็มาหาข้า ข้าจะออกหน้ารับแทนพวกเจ้า เหล่าสหายไม่มีอาหารกิน ไม่มีเงิน ทำความดีความชอบแต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งก็มาหาข้าได้ แม้แต่เรื่องที่ไม่ได้รับความยุติธรรมก็มาหาข้า ข้ามีคำอธิบายให้พวกเจ้าแน่นอน แต่การสู่รบตบมือ ฆ่าศัตรู โจมตีเมือง เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า เข้าใจหรือไม่ หากคิดว่ามันไม่ยุติธรรมก็พูดออกมาได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่เดิมที่เคยจากมา”
“ผู้บัญชาการ! ใครจะคิดว่ามันไม่ยุติธรรม สู้รบตบมือเดิมทีก็เป็นหน้าที่ของเหล่าทหารอยู่แล้ว พวกข้าไม่เคยกลัวเลือดตกยางออก แค่กลัวว่าอนาคตจะไม่มีจุดจบที่ดี พวกข้าพึ่งจะเข้ามาอยู่ในค่าย เงินทองก็มีเพิ่มขึ้นตั้งมากมาย ภรรยาและลูกๆ ก็มีที่อยู่อาศัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีอาจารย์ดีๆ มาสั่งสอนลูกๆ ของพวกข้า ความเมตตาเช่นนี้ พวกข้าตายไปก็ยังชดใช้ไม่หมด หากใครกล้าสงสัยในการตัดสินใจของผู้บัญชาการ ต้องมาถามดาบของข้าเสียก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนแบบใด กองทัพสองกองทัพหากหนึ่งกองทัพเกิดอะไรขึ้นมันจะส่งผลกระทบกับทั้งหมด แทนที่จะสั่งการไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่สู้มอบให้เหล่าแม่ทัพที่มีประสบการณ์ แต่คนที่เขาต้องการไม่ปรากฏตัวขึ้นมาสักที มันทำให้เขาเป็นกังวล ต้าถังไม่เคยให้ความสำคัญกับกองทัพเรือ ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยถึงได้มีโอกาสเป็นผู้บัญชาการกองทัพเพียงคนเดียว จะบอกว่าหลี่ซื่อหมินให้ความสำคัญกับกองทัพทหารของตัวเอง ไม่สู้บอกว่าเขาให้ความสำคัญกับเงินที่อวิ๋นเยี่ยหามาได้มากกว่า กองทัพเรือหนึ่งกองทัพ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องการความร่วมมือจากราชสำนัก แล้วทุกปียังได้รับผลประโยชน์มากมาย ไม่ต้องพูดว่ากองเรือทำการขนส่งเมล็ดข้าวมาจากหลิ่งหนานทุกปีปีละหลายแสน แค่ประโยชน์เท่านี้ก็ทำให้หลี่ซื่อหมินพอใจเป็นอย่างมากแล้ว
ตอนนี้ทหารเรือของที่อื่นล้วนแต่อยากจะเข้ามาอยู่ในกองทัพเรือหลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยใช้โอกาสนี้รับแม่ทัพสองสามคนเข้ามา ทำให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือคนอื่นๆ ยื่นฎีกาฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ย สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยไม่เคยสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกรมยุทธการหรือว่ากรมมนตรี พวกเขาไม่มีทางนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้รายงานให้แก่ฝ่าบาท
การต้อนรับสิ้นสุดลงแล้ว หน้าที่ก็มอบหมายเสร็จแล้ว บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย อวิ๋นเยี่ยให้ทั้งสี่คนนั่งลง เสิร์ฟชาและขนม หัวเราะพูดคุยกันเรื่องของกองทัพเมื่อก่อน สร้างความสัมพันธ์กันสักหน่อย
“ท่านโหว เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของฮองเฮาแล่นสวนออกไป หรือว่าวันนี้ท่านหญิงจะมาที่จวนแห่งนี้?” ไล่ชวนเฟิงอาศัยความคุ้นเคยกับอวิ๋นเยี่ย ถามอวิ๋นเยี่ยเบาๆ
อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างขมขื่น ชี้ไปที่หูที่แดงก่ำและพูดว่า “เมื่อคืนข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่ตำหนักว่านหมิน ไม่ระวังทำให้ท่านหญิงไม่พอใจเข้าน่ะ นางจึงมาคิดบัญชีกับข้า หูของข้าแทบจะขาดอยู่แล้ว”
“วันนี้ท่านหญิงเสด็จมาเพื่อบิดหูของท่าน?” ทั้งสี่คนเบิกตากว้างมองมาที่อวิ๋นเยี่ย
“ยังจะเพื่ออะไรอีก? ท่านเป็นอาจารย์ของข้า หากข้าทำผิดนางก็ไม่วางใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีต ตอนนั้นเพื่อสั่งสอนกิริยามารยาทข้าและเหล่าองค์ชายรัชทายาท นางถึงกับออกคำสั่งผูกพวกข้าไว้กับเก้าอี้ ความรู้สึกเช่นนั้นช่างทรมาน” อวิ๋นเยี่ยจงใจพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับฮองเฮา เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเหล่าแม่ทัพ ผู้บัญชาการของตัวเองมีอำนาจเช่นนี้ อยู่กับเขาถูกต้องแล้ว มนุษย์ล้วนแต่เข้าหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย โดยเฉพาะในกองทัพ กอดขาคนใหญ่คนโตคือเรื่องสำคัญ หากไปติดตามคนไม่ดี อย่างน้อยคงลำบากไปทั้งชีวิต อย่างมากก็ถึงขั้นต้องตาย
ทั้งสี่คนหันหน้ามามองหน้ากัน พวกเขาเคารพอวิ๋นเยี่ยมากขึ้น ดื่มชาและกินขนมไปคำสองคำ พวกเขาก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวออกไปก่อน รีบกลับไปที่ค่ายกองทัพเรือ กลับไปฝึกทหารเรือกว่าหนึ่งพันนายต่อ
“ทิ้งชุดเกราะพวกนั้นของพวกเจ้าไปซะ ที่นี่มีชุดเกราะสี่ชุด ในกองทัพเรือมีแค่พวกเจ้าสี่คนที่ดูโทรม นี่คือชุดเกราะที่ช่างของตระกูลอวิ๋นเป็นคนทำขึ้นมา ครั้งก่อนที่วัดตัวของพวกเจ้า ก็เพื่อเอามาทำสิ่งนี้ เอาไปเถอะ ของสิ่งนี้ถึงแม้ว่าจะดูเบาๆ แต่ความสามารถในการป้องกันของมันไม่ด้อยกว่าเกราะกวงหมิงไข่ แต่ยังดีกว่าด้วยซ้ำ พระเจ้า เป็นทหารแล้วข้ายังต้องออกเงินให้ลูกน้องเองอีก”
ทั้งสี่คนชอบอกชอบใจ ชุดเกราะที่ดีที่สุดของต้าถังมักจะมาจากตระกูลอวิ๋น เพียงแต่ตระกูลอวิ๋นควบคุมเข้มงวดจึงไม่มีทางมีชุดเกราะปล่อยออกขาย มันคงเป็นชุดเกราะที่มีราคาทีเดียว เมื่อได้ยินว่าตัวเองจะได้รับมาครอบครอง พวกเขาจะมิดีใจได้เช่นไร