[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 59 กรมรายงานข่าวที่เกียจคร้าน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังจากที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจากไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง มองดูพ่อบ้านส่งแม่ทัพทั้งสี่คนจากไป ซินเย่วเดินกลับเข้ามาในห้องโถง เห็นท่านพี่นั่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง นางจึงเดินเข้าไปเกาะหลังอวิ๋นเยี่ยและพูดข้างหูเขาว่า “ท่านพี่ แม่ทัพสี่คนนี้คือคนขององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายที่ท่านเชิญกลับมาใช่หรือไม่ ฮูหยินตระกูลตู้เล่าให้ข้าฟังแล้ว บอกว่าท่านเอาเปรียบเขา แม่ทัพตู้สองสามวันนี้เอาแต่โมโห บอกว่าแม่ทัพขององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายถูกท่านเอาไปหมดแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นแม่ทัพที่ไร้ซึ่งลูกน้อง” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเอนตัวไปข้างหลัง ให้ตัวเองนั่งสบายขึ้นอีกนิดแล้วพูดกับซินเย่วอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าพอฟังออกว่าตระกูลตู้คงอยากจะได้ผลประโยชน์ หน้าที่ของเขายังไม่ได้เรื่อง จึงอยากจะมีหน้ามีตาในเรื่องอื่น แต่ว่าครั้งนี้ให้เขาได้ประสบความสำเร็จสักครั้งย่อมได้ ตระกูลของเรากับตระกูลตู้มีกิจการที่ไปมาหาสู่กันหรือไม่” 

 

 

“กิจการเครื่องหนังมีความพัวพันกันอยู่บ้าง ตระกูลตู้เดิมทีก็ทำกิจการเครื่องหนังอยู่แล้ว แต่เมื่อตระกูลเรารับเครื่องหนังมาจากเหลียวตง กิจการของพวกเขาก็แย่ลงไม่น้อย” สองสามปีมานี้ซินเย่วฝึกฝนมาแล้ว ฮูหยินของตระกูลตู้พูดถึงเรื่องนี้ ก็เพราะว่าต้องการจะหาผลประโยชน์จากกิจการของตระกูลอวิ๋น ดังนั้นนางจึงจงใจเล่าให้ท่านพี่ฟัง 

 

 

ตระกูลอวิ๋นไม่เหมือนกับตระกูลอื่นๆ เครื่องหนังของตัวเองมีขายอยู่แค่ที่ตลาดของตัวเอง เถ้าแก่ร้านเผียนอี้ฟางขอร้องตั้งหลายครั้งแต่ก็ถูกซินเย่วปฏิเสธมาตลอด เหลียวตงเป็นดินแดนที่หนาวเย็น ดังนั้นเครื่องหนังที่มาจากที่นั่นต้องมีคุณภาพดีกว่าที่อื่นแน่นอน และแน่นอนว่าราคาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

 

“ให้ตระกูลตู้มีร้านที่หมู่บ้านสักร้าน เลือกทำเลที่ดี อนุญาตให้ตระกูลตู้เอาเครื่องหนังมาวางขายในตลาด ตระกูลของเราทำเฉพาะเครื่องหนังที่ดีที่สุดและหนังแกะจำนวนมากที่สุด ตลาดกลางก็ปล่อยให้พวกเขาไปเถอะ” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยครุ่นคิด บอกการตัดสินใจของตัวเองให้ซินเย่ว ซินเย่วพยักหน้า เมื่อเหล่าฮูหยินเจอกันอีกครั้ง นางก็จะบอกข่าวนี้ให้ตระกูลตู้อย่างอ้อมๆ ให้พวกเขารู้ว่าตระกูลอวิ๋นไม่ใช่ตระกูลที่รู้จักแต่เอาเปรียบไม่ยอมเสียเปรียบ 

 

 

ตอนกลางคืนไม่ได้นอน ตอนนี้หัวของอวิ๋นเยี่ยกลายเป็นโจ๊กไปแล้วแล้วยังเดือดจนมีฟองออกมา หากยังไม่นอนอีก การตัดสินใจของเขาคงจะเดือดปุดๆ อย่างโง่เขลาแน่นอน 

 

 

บอกกับซินเย่วอย่างเคร่งขรึม บอกว่าตัวเองป่วยหนักมาก ต้องการการพักผ่อน ยามนี้ไม่ว่าใครจะมาก็ไม่ต้อนรับแขก เขาต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ฉางอันที่แสนกว้างใหญ่ไพศาล เขาจะต้องมีสติสัมปชัญญะที่ชัดเจน 

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้นมาอีกหน เขาถึงได้เห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน สาเหตุจากความรักที่ล้นเหลือ นอนหลับพักผ่อนไปนานเท่านี้แต่กลับยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว นอนอยู่บนเตียงแต่ในหัวนั้นวุ่นวายไม่หยุด เขาควรจะตื่นขึ้นมากินข้าวสักมื้อหรือนอนต่อกันแน่ 

 

 

ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเตาไฟที่มีเปลวไฟส่องแสงออกมา กาต้มน้ำบนเตาพ่นควันขาวๆ ออกมา น้ำร้อนต้มเดือดหากเอามาชงชาสักถ้วย รสชาติคงจะไม่เลวแน่นอน กลิ่นหอมของชามะลิจะต้องอบอวลไปทั่วห้องแน่นอน สิ่งของเหล่านี้อยู่แค่ปลายนิ้วมือ แค่ตะโกนเรียกก็จะมีสาวใช้นำทุกอย่างเข้ามาไว้ถึงปาก แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ตะโกน ความรู้สึกที่ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งกระหายเช่นนี้ เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว 

 

 

มนุษย์ไม่มีบาปที่แบกรับไม่ได้ แต่กลับมีบุญมีที่แบกรับไม่ได้ ดินแดนที่รกร้าง ป่าเขา ทะเลทราย เขาเคยไปมาหมดแล้ว และทุกครั้งที่ออกมาจากสถานที่เช่นนั้นเขาก็สาบานว่าจะไม่กลับไปอีกต่อไป แต่ว่าตอนนี้ความคิดของเขากลับล่องลอยไปในถ้ำที่หลิ่งหนาน ตอนนั้นเขาเองก็เผชิญหน้ากองไฟตามลำพัง เปลวไปที่ลุกโชน ภาพคนบนผนังถ้ำราวกับมีชีวิตขึ้นมา บางคนถือหอกไล่ฆ่ากวางป่า บางคนคุกเข่าทำอาหารบนพื้น 

 

 

แล้วยังมีบางคนเต้นรำรอบกองไฟ หากไม่ใช่เพราะว่าอวิ๋นเยี่ยจ้องมองดูอย่างละเอียด เขาคงจะเห็นภาพวาดดวงอาทิตย์กลายเป็นจานบิน บางคนกำลังกราบไหว้ดวงอาทิตย์ บนกองไฟมีศพอยู่หนึ่งศพ ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นไม่ได้โศกเศร้า แต่กลับกำลังเฉลิมฉลอง 

 

 

เกิดออกมาแล้วทำได้ต้องดีใจ ตายไปแล้วเหตุใดต้องโศกเศร้า นี่คือประโยคของศาสนาไป้หั่ว มันอาจจะฟังดูมีเหตุผล หากมีเวลาก็ไปดูที่วัดเล็กๆ ของศาสนาไป้หั่ว เฮ่อเทียนซังบอกว่าที่นั่นช่างแปลกประหลาด แต่ว่ามันแปลกเช่นไรต้องไปดูเองถึงจะรู้ 

 

 

การเกิดและตายคือมารตัวฉกาจของมนุษย์ มันดูไม่ออก มองไม่เห็น ไม่คุ้นเคยก็ไม่มีทางเข้าใจ ความคิดที่อยากจะเป็นอมตะ กลับทำให้คนที่อยากเป็นอมตพากันไปสละชีวิต ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาเสียใจหรือไม่ คำพูดที่ว่าทำการใหญ่ไม่ยอมเสียสละ แต่เห็นผลประโยชน์เพียงน้อยนิดกลับยอมสละชีวิต เฉาเชาใส่ร้ายหยวนเซ่า คนพวกนี้ต่างหากที่เป็นเช่นนั้น 

 

 

นอนอยู่บนเตียงหรี่ตามองไปที่เตาไฟ ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน เมื่ออวิ๋นเยี่ยกำลังพยายามเลือกระหว่างกระหายจนตายกับลุกขึ้นจากเตียง ซินเย่วก็กลับมาช่วยชีวิตอวิ๋นเยี่ยเอาไว้ 

 

 

เห็นท่านพี่จ้องมองกาน้ำชาบนโต๊ะ นางจะไม่เข้าใจได้เช่นไร รินชาให้เขาถ้วยหนึ่ง คิดว่ามันไม่เหมาะสมจึงเติมน้ำร้อนลงไป จากนั้นก็เอาไปให้ท่านพี่ เขาดื่มมันจนหมดเกลี้ยง จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็เบิกตามองไปที่กาน้ำชาอีกครั้ง ซินเย่วไม่มีทางเลือก นางจึงเติมน้ำร้อนลงในกาน้ำชาแล้วเอาไปให้อวิ๋นเยี่ยอีกรอบ เขาดื่มมันราวกับดื่มแม่น้ำไปหลายสาย กระทั่งดื่มจนหมด ถ่มใบชาออกมาสองใบถึงได้พอใจ 

 

 

น่าสนุก เมื่อเขาโน้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา ราวกับลาที่พึ่งจะดื่มน้ำเข้าไป อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะขบขัน เสียงท้องร้องดังขั้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาราวกับกระป๋องน้ำที่ห่อด้วยหนัง 

 

 

ซินเย่วเกาหัว นางไม่เข้าใจว่าท่านพี่เป็นอะไรกันแน่ มีพฤติกรรมแปลกๆ แล้วยังไม่พูดไม่จา เขาแค่เบิกตาจ้องมองไปที่กองไฟอย่างเหม่อลอย หรือว่าเขาถูกผีเข้าจริงๆ? 

 

 

สาวใช้รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก ขณะถือที่โกยถ่าน เปิดเตาไฟ เทถ่านเข้าไปในในเตา ทันใดนั้นเตาไฟก็มีควันดำพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่มีแสงไฟที่สวยงามอีกต่อไป 

 

 

ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ได้สติขึ้นมา เตะรองเท้าออก วิ่งไปพร้อมกับปลดเข็มขัด ซินเย่วรีบเดินตามไป เห็นเขาวิ่งเข้าไปในห้องส้วม นางจึงบึนปากและยืนรออยู่ในสวน 

 

 

มาราวกับกาแล็กซี ไปราวกับสายน้ำ ฉี่ครั้งนี้ราวกับนำเอาความเหน็ดเหนื่อยของอวิ๋นเยี่ยไปด้วย หลังจากทำสงครามเย็นเสร็จแล้ว เขาก็มีพลังมากขึ้นเป็นร้อยเท่า 

 

 

สวมกางเกงให้เรียบร้อย เห็นซินเย่วอยู่ในสวนเขาก็ตะโกนออกมา “เจ้าอยากจะฆ่าสามีของเจ้าให้ตายหรือเช่นไร ยังไม่ไปเตรียมอาหารให้ข้ากิน จะให้ข้าหิวตายหรือเช่นไร” 

 

 

“ท่านนอนไปตั้งห้าชั่วโมง ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ข้ามองดูท่านตั้งหลายครั้ง ท่านก็เอาแต่นอนหลับ อาหารอุ่นไปแล้วตั้งหลายรอบ ท่านไม่กินของเหลือ ตอนนี้กลับนึกขึ้นมาได้ว่าจะกิน” 

 

 

ซินเย่วปากพูดเช่นนี้ แต่นางสั่งให้สาวใช้ทำบะหมี่ชามใหญ่มาให้อวิ๋นเยี่ยตั้งนานแล้ว นั่งอยู่ในศาลา เติมพริกและน้ำส้มสายชูลงไปในบะหมี่ เคี้ยวกระเทียมไปอีกสองกลีบ กินบะหมี่ชามใหญ่เข้าไป ทั้งเนื้อทั้งตัวก็รู้สึกสบายขึ้นมา จะให้เขาไปล่าเสือตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา 

 

 

ไล่ซินเย่วออกไป อวิ๋นเยี่ยมายังห้องหนังสือคนเดียว หยิบหนังสือที่สะสมไว้เมื่อปีที่แล้วมาอ่าน หลิวเหรินย่วนและตงอวี่ดูแลกองทัพเรือได้เป็นอย่างดี ปีนี้พวกเขาไปกลับสามครั้ง อีกแค่หนึ่งเดือนก็จะกลับมา ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากราชสำนักเสร็จก่อนกำหนด มีวันหยุดพักผ่อนสามเดือนเต็มๆ 

 

 

คนจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นทหาร หากอยู่เฉยๆ มันจะเกิดเรื่อง สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจเป็นอย่างดี เขาเองก็เป็นคนเช่นนี้ สาหร่ายทะเลที่หลานหลิงสั่งไว้ก็กำลังขนส่งมา ฉยงจือหากไม่มีสาหร่ายทะเลก็ทำออกมาไม่ได้ หากหลานหลิงต้องการจะขยายการผลิตลูกอมนม ก็ต้องเตรียมสาหร่ายไว้จำนวนมาก เหล่าทหารเรือก็สามารถทำเงินได้จำนวนไม่น้อยเช่นกัน แต่แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้วังหลวงได้กลายเป็นฟาร์มโคนมไปแล้วหรือยัง 

 

 

หลี่เฉิงเฉียนไม่ธรรมดาเลย กรมรายงานข่าวบอกว่าตอนนี้เขากลายเป็นแบบอย่างให้กับพี่ๆ น้องๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็จะดึงน้องชายสองคนของตัวเองไปทำด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนที่กินขี้สุนัขสามคนก็จะแบ่งเป็นสามส่วน กลืนลงไปด้วยกัน 

 

 

พวกเขาล้วนแต่รู้จักใช้คุณธรรมดั้งเดิมของประเทศชาติ เมื่อพี่ชายที่สามสวมชุดแสดงละครให้เสด็จพ่อดู เฉลิมฉลองการที่เสด็จพ่อได้กลายเป็นเทียนเค่อหัน ทั้งประเทศก็จะมีพี่ๆ น้องๆ เหล่าสหายมาร่วมมือกัน ตอนนี้ทั้งถนนล้วนแต่ได้ยินประโยคที่ว่า “ไอ้หนุ่ม ลูกแพร์ลูกนี้เอาให้เจ้ากิน” 

 

 

“พี่ใหญ่ มันเหลือแค่แกนลูกแพร์ ข้ากินแกนลูกแพร์ลูกเล็กๆ ดีกว่า!” 

 

 

ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ตัวเองจะได้สืบทอดกิจการของตระกูลคนเดียว แต่กลับต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไล่น้องชายออกไปไกลๆ แล้วยังบอกว่าทำไปเพื่อน้องชาย  

 

 

เขาส่ายหัว โยนความคิดแปลกๆ พวกนี้ทิ้งไป ช่วงสองสามวันนี้ในหัวมักจะมีเรื่องที่เข้าใจยากอยู่เสมอ ถามหลี่กังแล้ว อาจารย์เฒ่าบอกว่านี่คือสัญญาณของอุปสรรค แค่ผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ เจ้าก็จะกลายเป็นเป็นผีเสื้อ ถึงตอนนั้นความรู้ความสามารถของตัวเองจะดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง 

 

 

แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดเช่นนั้น ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน ตัวเองฆ่าคนตายไปทีละคน สุดท้ายกลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้จัก สนุกมากหรือ 

 

 

หนอนผีเสื้อก็ไม่เลว ค่อยๆ กินใบไม้ ดีจะตาย หากกลายเป็นผีเสื้อก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่อยากมีอายุยืนยาว สำหรับคุณภาพชีวิตเขาไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แทนที่จะเป็นภาพที่สวยงามราวกับดอกไม้ไฟ เขายอมที่จะมีชีวิตอยู่ในความสงบราวกับเต่าตัวหนึ่ง 

 

 

ต้าถังกลายเป็นเมืองที่ทุกคนไม่คุ้นเคยอย่างไม่รู้ตัว เว่ยเจิงที่ทำงานอยู่ในกรมรายงานข่าวมาหลายปี ตอนนี้เขาแทบจะกลายเป็นคนโปร่งใส ไม่ได้ยินว่าเขาส่งฎีกาฟ้องร้องคนอื่นอีกต่อไป เหล่าขุนนางที่เย่อหยิ่งพวกนั้นตอนนี้ก็กลายเป็นคนมีกิริยามารยาทมากขึ้น ไม่ค่อยได้ยินว่าใครโยนลูกของใครลงในบ่อน้ำ เหล่าลูกเศรษฐีต่างพากันไปใช้ชีวิตที่ยากลำบากอยู่ชายแดน บางคนก็ถูกสำนักศึกษากดดัน บางคนก็กลายเป็นขุนนางนักปราชญ์เพียรพยายามสร้างกิจการของตัวเอง ที่แย่ที่สุดแค่ต้องรับช่วงต่อกิจการของตระกูล วิ่งหาเงินหาทองทั่วเหนือใต้ออกตก 

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดต้าถังถึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้นับวันยิ่งราวกับเทพเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าชาวนาที่ไม่มีความกดดันพากันยกย่องหลี่ซื่อหมิน ฮ่องเต้ผู้ที่ไม่เคยเพิ่มค่าภาษีผู้นี้ ทุกคนต่างจุดธูปบูชาเขา ทำให้ผู้คนเกรงขามมากขึ้น ฐานะห่างไกลจากตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

การป่าวประกาศปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์ ทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเกือบจะพลิกพู่กันและหมึกบนโต๊ะ ถึงแม้ว่าจะมีแค่คำสั้นๆ แค่บรรทัดเดียว มันเขียนว่า ‘ออกมาจากกวนจง ผ่านอวิ๋นจง ที่นั่นมีที่ดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่ดินรกร้างสิบไร่ของกวงจงแลกที่ดินที่อุดมสมบูรณ์หนึ่งร้อยไร่ของอวิ๋นจง ต้าถังช่างชาญฉลาด’