หลังรุ่งสาง เมื่ออวิ๋นเยี่ยขี่ม้าออกไปจากประตูเมือง มีผู้คนมากมายล้อมรอบอยู่ที่ประตูเมือง ไม่ต้องพูดถึงรถม้า แม้แต่ม้าตัวเดียวก็เบียดเข้าไปไม่ได้ บอกว่าราษฎรของต้าถังน้อยลงแล้วไม่ใช่หรือ แล้วที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนี่คืออะไรกัน
เมื่อชื่อเสียงกองทัพทหารของต้าถังโด่งดังไปทั่ว แม้แต่ป้อมปราการชายแดนก็ปลอดภัยราวกับเมืองหลวง ที่ดินรกร้างสิบไร่แลกที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ได้หนึ่งร้อยไร่ นี่คือเรื่องดีที่ตกลงมาจากสวรรค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาตรการใหม่ที่ไม่เก็บค่าภาษีสามปี
ได้ยินพ่อบ้านพูดตั้งนานแล้วว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร แค่ยื่นคำร้องขอเดินทางไปอวิ๋นจง พวกเขาจะได้รับเงินช่วยเหลือจากตระกูลเหล่าขุนนาง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของกวนจงหรือไม่ แค่เจ้ามีคนรับประกัน เจ้าก็สามารถพาคนทั้งตระกูลไปทำไร่ทำนาที่ชายแดน หรือแม้แต่ผู้อพยพ ขุนนางก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ กรอกทะเบียนราษฎร์ให้เจ้าใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็พาคนทั้งตระกูลของเจ้าไปที่อวิ๋นจง
ถังอู่เต๋อครองราชย์ปีที่สอง (619) เดือนที่สอง กฎค่าเช่าเริ่มแรกของต้าถังสามารถใช้ผ้าไหมจ่ายแทนได้ ห้าปีต่อมาได้มีการประกาศใช้พร้อมกับระบบจัดสรรที่ดินให้เท่าเทียมกัน โดยมีกฎว่าผู้ชายหนึ่งคนได้รับที่ดินหนึ่งร้อยตารางเมตร บนพื้นฐานนี้กำเนิดขึ้นตาม ‘มีที่ดินต้องมีค่าเช่า มีตระกูลต้องมีกฎระเบียบ มีชีวิตต้องมีสามัญสำนึก’ นี่คือเรื่องที่สมเหตุสมผลในช่วงแรกของต้าถัง ทหารซ่อนตัวอยู่ในคราบชาวนา วันปกติทำไร่ไถนา เกิดสงครามค่อยกลายเป็นทหาร คำพูดที่ว่าคนที่ไร้ความรับผิดชอบก็คือคนที่ไร้ความซื่อสัตย์ เมื่อคนคนหนึ่งอยากจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นไก่ที่ขี้ขลาดที่สุด ก็อาจจะกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุด
แต่วิธีเช่นนี้มันถูกลิขิตไว้อยู่แล้วว่าไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป เมื่อจำนวนราษฎรเพิ่มขึ้น ที่ดินที่อยู่ในมือของเหล่าขุนนางก็จะค่อยๆ ลดลง ถึงตอนนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีที่ดินจำนวนมากมายมาแจกจ่ายให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
การครอบครองที่ดินคืองานอดิเรกหลักของเหล่าเศรษฐี ท่านย่าของตระกูลอวิ๋น จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของตระกูลอวิ๋นก็คือที่ดินสองพันไร่นั้น สำหรับเงินทองที่อยู่ในคลังสมบัติ นางไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่านางจะอายุมากแล้ว แต่นางก็ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะนั่งรถม้าออกไปลาดตระเวนในที่ดินของตระกูลอวิ๋นในทุกๆ เดือน
เงินที่อยู่ในคลังหายไปหนึ่งพันเหรียญ นางไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย นิสัยชอบช่วยเหลือผู้อพยพ ไม่เคยนึกเสียดายเงินทอง แต่หากใครกล้ามาตัดต้นอ่อนบนที่ดินของตระกูลอวิ๋นแม้เพียงต้นเดียว นางจะสังเกตเห็นทันทีแล้วยังเคียดแค้นเป็นที่สุด
ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นทำไร่ทำนาจนกลายเป็นเหมือนภาระหน้าที่ไปแล้ว แต่เรื่องสำคัญของทุกปีก็คือการเกษตร บูชาเทพเจ้า สวดมนต์ สวมเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยออกไปเก็บข้าวสาลี เก็บเข้าคลังพร้อมประทับตราสีแดง เขียนประโยคที่เป็นสิริมงคล แม้แต่หนูในคลังก็ยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี นิสัยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แม้ต้องการจะเปลี่ยนนิสัยมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เพียงแค่ในชั่วข้ามคืนแน่นอน
ตั้งแต่หม่าโจวเปิดเผยความจริงเรื่องของที่ดินที่เหล่าขุนนางครอบครอง การจัดการที่ดินของประเทศก็ถึงขีดจำกัด สามปีที่ผ่านมา อวิ๋นเยี่ยไม่เคยได้ยินว่าตระกูลไหนมีที่ดินเพิ่มขึ้น ราชวงศ์ก็เป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน แต่ว่าตระกูลอวิ๋นกลับมีที่ดินเพิ่มขึ้น อยู่ตรงเชิงเขาหยินซันเชื่อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของน่ารื่อมู่ ได้ยินว่าเชี่ยปี้อิจฉาจนน้ำลายไหล อยากจะเอาที่ดินผืนใหญ่ของตัวเองมาแลกตระกูลอวิ๋น น่ารื่อมู่ยอมที่จะกระโดดลงไปในบ่อน้ำดีกว่าให้มีการแลกเปลี่ยนเช่นนั้น
ที่ราบชื่อเลยชวน ณ เชิงเขาหยินซัน ราวกับท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ทั้งสี่ด้านเชื่อมต่อกับทุกแห่ง ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า ลมพัดดอกหญ้าปลิวไสว มีวัวและแกะ นี่คือเพลงที่น่ารื่อมู่ชอบร้องมากที่สุด ถึงแม้ว่านางจะชอบร้องเพลงทุกเพลง โดยเฉพาะเพลงเชวียนเชวียนที่นางเคยร้อง มันคือเพลงโปรดของนาง เมื่อนางมีความสุขนางก็มักจะร้องออกมาสักท่อนหนึ่ง
ว่ากันว่าคนที่จากบ้านเกิดเมืองนอนมา ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีที่พึ่งพา ทำให้คนอื่นดูถูก แต่เมื่ออยู่ภายใต้ความเย้ายวนของทุ่งนาอันอุดมสมบูรณ์ เพื่อการเกษตรของตัวเองแล้วนั้น เกษตรกรจำนวนมากยินดีเก็บข้าวเก็บของเตรียมที่จะออกไปจากบ้านเกิดของตัวเองเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
ระหว่างทางมักจะเห็นชายเข็นรถล้อเดียวหรือแบกสัมภาระอยู่ตลอด ภรรยานั่งอยู่บนรถเข็น หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาช่วยกันแบกสัมภาระ คนหนึ่งแบกของใช้ คนหนึ่งอุ้มลูก ความยากลำบากและไร้ที่พึ่งพาของผู้อพยพล้วนแตกต่างกันไป แต่พวกเขากลับกำลังหัวเราะเสียงดังทักทายคนบ้านเดียวกัน บนใบหน้าที่มืดมนเต็มไปด้วยความคาดหวัง
มีเพียงเรื่องของธรรมชาติเท่านั้นที่มีลำดับขั้นตอน ครั้งนี้ขุนนางได้แสดงความจริงใจและความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฮ่องเต้ส่งทหารเเม่ทัพองครักษ์เวยเว่ยฝ่ายขวาจำนวนสามพันนายออกไป ฆ่าฟันกันตลอดทั้งทาง ถนนลู่หลินพังทลาย กระท่อมถูกทำลายไปนับไม่ถ้วน สุดท้ายคนที่แข็งแกร่งพวกนี้ก็กลายเป็นชาวนาที่อยากจะไปอวิ๋นจง แต่พวกเขาต้องทำงานอยู่ภายใต้ดาบและปืน จวนขุนนางจากแต่ละดินแดนส่งสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่มามากมาย ทุกตระกูลที่มีสามคนจะได้รับหนึ่งตัว เช่นนี้ สามารถหลีกเลี่ยงความลำบากในการเดินทางหลายพันไมล์ของผู้อพยพได้ ล้วนแต่กัดฟันบุกฝ่ากันทั้งนั้น เมื่อมาถึงพื้นที่ ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึงแล้ว ยังมีเวลาพอปลูกพืชผลรอบแรก
พวกชาวบ้านไม่รู้ แต่อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่ายามนี้โหวจวินจี๋ที่โหดเ**้ยมกำลังทำการกวาดล้างครั้งใหม่ที่ฉ่าวหยวน หากชนเผ่าใดทำเสียงเอะอะแค่เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็มักจะต้องหายไปจากโลกใบนี้ในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน เมื่อมีคนถามถึง จวนขุนนางก็จะตอบเพียงว่าคนพวกนั้นย้ายไปเลี้ยงสัตว์ที่อื่นแล้ว
หม่าโจวก็อยู่ที่นั่น อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของน่ารื่อมู่ เขาสนิทกับอวิ๋นชี เขาจงใจตั้งหน่วยงานของตัวเองอยู่ในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของน่ารื่อมู่ นี่คือที่ที่เดียวที่เขาจะไม่ถูกดูถูก
หลังจากโหวจวินจี๋กวาดล้างฉ่าวหยวนไปแล้วหนึ่งรอบ คาดว่าแม้แต่ก้นหมาป่าก็ถูกประทับด้วยตราสีแดงของต้าถัง ผู้อพยพในกวนจงกำลังจะมาถึงในไม่ช้า เริ่มทำการเลี้ยงแกะ ทำไร่ทำนา นี่คือสถานที่ที่หลี่ซื่อหมินเตรียมไว้เพื่อผลิตขนแกะให้กับต้าถัง ห้ามเกิดข้อผิดพลาดใด มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่รู้ว่าพวกชาวนาจะสร้างความเสียหายเช่นไรให้กับฉ่าวหยวน ชนเผ่าชาวฮั่นเดิมทีก็เป็นชนเผ่าที่ชอบทำการเกษตรอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ไปที่ใด พวกเขาจะต้องปลูกอะไรสักอย่างบนดินถึงจะสบายใจ
ดังนั้นในเกอปี้ ดินแดนรกร้าง ทะเลทราย บนเกาะ บนภูเขาสูง ขอแค่เป็นสถานที่ที่คนไปถึง บนพื้นก็มักจะมีพืชผลอยู่เสมอ และที่ดินก็ช่างเชื่อฟังชาวฮั่นตลอด ปลูกอะไรก็ไม่ตาย เมื่อเจ้าเห็นนาขั้นบันไดชั้นๆ บนภูเขา เห็นพืชผลที่เขียวขจีในทะเลทราย เห็นผักสด ก็ไม่ต้องแปลกใจ ชนเผ่าที่สามารถปลูกแตงโมบนเกาะที่เต็มไปด้วยหิน ปาฏิหาริย์เหล่านั้นไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา
ทุกวันนี้ผ้าขนสัตว์มีปริมาณน้อยและราคาก็แพงมาก อวิ๋นเยี่ยนอกจากเอากลับมาทำเสื้อคลุม ก็ไม่ได้เอามาทำอย่างอื่น ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมสีแดงแบบเก่าจะสวย ขี่ม้าปลิวไสวอยู่ข้างหลังมองดูช่างสง่างาม แต่น้ำตาและน้ำมูกที่ไม่ยอมฟังความก็มักจะทำลายจิตวิญญาณของความกล้าหาญ
ผ้าขนสัตว์เหมาะสำหรับทำเป็นผ้าห่มมากที่สุด เนื้อผ้าที่ทนทานเหมาะสำหรับทำเป็นชุดเครื่องแบบทหาร มีแค่เนื้อผ้าเช่นนี้เท่านั้นถึงจะดึงเอาท่าทีของชายชาติทหารออกมาได้ หลี่ซื่อหมินเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปในกวนจงก็คือหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ที่ตลาดยังมีผู้คนเดินไปๆ มาๆ คึกคักอยู่ตลอด หน้าประตูร้านใหม่ของตระกูลตู้ เถ้าแก่กำลังชักชวนลูกค้าอย่างกระตือรือร้น อวิ๋นเยี่ยถามซินเย่วผ่านหน้าต่างเล็กๆ ด้วยความแปลกใจ “เวลาแค่สองวัน กิจการของตระกูลตู้ก็เปิดแล้วหรือ”
ซินเย่วปิดปากหัวเราะพูดว่า “ท่านพี่ของข้า เดิมทีตระกูลตู้ก็มาซื้อขายที่ตลาดอยู่แล้ว แต่ว่าแค่เช่าที่ของตระกูลเรา ตอนนี้ขายที่ดินให้พวกเขา กิจการนี้ก็กลายเป็นคนของพวกเขาไปแล้วจริงๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หากเราต้องการจะไล่เขาเขาก็ต้องออกไปทันที อยู่อย่างไม่สบายใจนัก กิจการก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ยามนี้ที่ร้านกลายเป็นของพวกเขาแน่แท้แล้ว แน่นอนว่าจิตวิญญาณก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อวานข้าเอาจดหมายให้ตู้ฮูหยินหนึ่งฉบับ บอกว่าจะขายที่ที่ตระกูลนางเช่าอยู่ ถามนางว่านางสนใจซื้อไว้หรือไม่ สุดท้าย พ่อบ้านก็กลับมาพร้อมกับใบเสร็จเงินแปดร้อยเหรียญ บอกว่าหากไม่พอก็จะให้เพิ่มอีก พวกเขารู้ตั้งนานแล้ว ราคาก็รู้ตั้งนานแล้ว รอแค่ตระกูลเราพยักหน้า”
คนที่มีสมองเช่นนี้ก็คงมีแค่ตู้หรูฮุ่ยคนเดียวเท่านั้น อวิ๋ยเยี่ยหัวเราะ เมื่อผ่านร้านของตระกูลตู้เขาก็มองเข้าไปข้างในร้าน ลูกค้าไม่น้อยเลยทีเดียว
ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีคนหนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่มี มีเพียงชายเฒ่าและหญิงเฒ่า ที่ต่างมานั่งอาบแดดบนม้านั่ง แล้วยังผลักเปลข้างๆ เป็นครั้งคราว ยังมีเด็กสองสามคนที่พึ่งจะเดินได้ สวมกางเกงเปิดเป้าคลานไปทุกที่
เมื่อเข้าประตูไป วั่งไฉก็วิ่งเร็วรี่เข้ามา ไม่เจอกันสองสามวัน มันคิดถึงอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก วั่งไฉไม่ชอบฉางอันเหมือนอวิ๋นเยี่ย ขณะที่อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเจอหน้าหลี่ซื่อหมินและจั่งซุน แต่สำหรับวั่งไฉกลับเป็นเพราะว่ามักจะมีคนจิตใจดีอยากจะจูงมันกลับไปเลี้ยงที่บ้าน มันเตะไปแล้วตั้งหลายคน ดังนั้นมันจึงรู้สึกว่าฉางอันคือคอกม้าขนาดใหญ่ ที่ไหนก็มีแต่คนเลี้ยงม้าเต็มไปหมด
เฉียนทงถือไม้ปัดฝุ่นมาปัดฝุ่นให้ท่านโหว อวิ๋นเยี่ยเหยียดแขนออก ปล่อยให้เฉียนทงทำความสะอาด รอให้เขาทำเสร็จแล้วก็ถามว่า “พ่อบ้าน ข้าเห็นคนจำนวนมากพาคนในครอบครัวออกไปชายแดน บ้านเราเหลืออยู่กี่คน เจ้าลองนับดูสักหน่อย ให้พวกเขาไปกับกองทัพพ่อค้าตระกูลเรา ไม่ต้องเบียดเสียดไปกับคนพวกนั้น”
เฉียนทงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจไปพักหนึ่ง หลังจากที่เขาเข้าใจความหมายของท่านโหวแล้ว เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหว ท่านกังวลมากเกินไป คนของเราไม่มีใครจะออกไปชายแดน กำลังคนของเรายังไม่เพียงพอ ใครยังอยากจะออกไปชายแดน มีแต่คนที่ไม่ได้เรื่องที่อยากจะออกไป พ่อบ้านของกองทัพพ่อค้ามักจะมาถามเอาคนที่ข้าน้อยตลอด บอกว่าจะเอาคนในหมู่บ้านเรา แต่ขอคนที่มีไหวพริบดีหน่อย ข้าน้อยส่งพวกเราไปฝึกในกองทัพพ่อค้า สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีไหวพริบ ข้าน้อยก็ให้พวกเขาไปทำไร่ทำนา ทำงานอยู่ที่โรงงานของตระกูล ไม่มีใครอยู่เฉยๆ ข้าน้อยอยากจะให้พวกเด็กๆ พวกนั้นโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ต้องดึงหูทั้งวัน แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่โตสักที”
ชายเฒ่ากำลังเล่าเรื่องตลก แต่ในเรื่องตลกเต็มไปด้วยความมั่นใจ นายทะเบียนของเขตหลานเถียนก็เคยมาถามที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น สรุปแล้วมีคนอยากออกไปชายแดนหรือไม่ สุดท้ายผลลัพธ์ไม่ดีเอาเสียเลย นั่งรออยู่ใต้ป้ายสมัครหนึ่งวันเต็ม แต่ก็ไม่มีคนมาสักคนเดียว กว่าจะมีคนมาหนึ่งคนแต่กลับเป็นเด็กน้อย ชี้ไปที่ป้ายและบอกว่ามีตัวอักษรที่เขียนผิดตัวหนึ่ง ดูถูกนายทะเบียนว่าไม่ตั้งใจเรียน ตัวอักษรตัวเดียวก็เขียนผิดไปตั้งหลายขีด กำลังจะสอนเขาเขียนบนโต๊ะทราย แต่นายทะเบียนที่หน้าดำหน้าแดงกลับเตะเขาออกไปตั้งไกล แม้แต่ตัวอักษรฉ่าวซูยังไม่รู้จัก ก็กล้ามาสอนข้าหรือ
ฟังเรื่องตลกของพ่อบ้านจบ อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วเดินจากลานหน้าบ้านไปที่ห้องโถงด้านหลัง ไปกล่าวอรุณสวัสดิ์ท่านย่า อยู่คุยเป็นเพื่อนนางสักหน่อย ขณะกำลังจะกลับไปยังห้องหนังสือ ไปดูหนังสือพิมพ์ใหม่ๆ ตอนนี้บนหนังสือพิมพ์มักจะมีเรื่องน่าสนใจมากมาย
ยังไม่ทันได้เดินออกไปจากประตู เขาก็ได้ยินเสียงของเฉิงเหย่าจินและหนิวจิ้นต๋าอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สรุปก็คือน้ำเสียงของอาจารย์สองคนนั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายทีเดียว