เวลาผ่านไป ใบหน้าเจ้าหน้าที่กรมอาญาทั้งสองภายในรถม้าก็ซีดขาวอยู่ตลอด พวกเขาเลิกรอและไปจากตรอกไป๋ฮวา
แสงดาวสาดส่องคุกโจว ส่องต้องต้นไห่ถัง อาบไล้ชุดขุนนางสีแดงสดบนร่างของโจวทง ดูเหมือนกับแดนนรก ดูราวกับแดนอัศจรรย์ ดุจดั่งทะเลเลือด
ครั้นได้ยินรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ใบหน้าเขาไม่เปลี่ยนสักนิดประดุจใบหน้าคนตาย
ภายในสำนักฝึกหลวงมีค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี ภายนอกมีทหารม้านิกายหลวง พระราชวังหลีดูเหมือนไม่ได้ทำอะไร ทว่าอันที่จริงได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว เหมาชิวอวี่อยู่ในโรงเตี๊ยมภายในตรอกไป๋ฮวามาตลอด แขนเสื้อทั้งสองสั่นไหวในสายลม แต่ก็พกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ติดตัว สำนักฝึกหลวงเองก็มีมุขนายกสิบแปดท่าน และยังมียอดฝีมือที่เหมยลี่ซาทิ้งไว้อย่างลับๆ อีกด้วย
โจวทงยืนยันเรื่องนี้ได้ด้วยชีวิตของยอดมือสังหารทั้งสิบสี่คน
ภายใต้การป้องกันเช่นนี้ ต่อให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สั่งเคลื่อนกองทัพอวี่หลินก็ยังไม่แน่ว่าจะสังหารเฉินฉางเซิงได้ เว้นแต่นางจะก้าวออกมาด้วยตัวเอง และยังต้องทำให้จบโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นสังฆราชย่อมต้องปรากฏตัว เขาไม่มีหวังในการสังหารเฉินฉางเซิงคืนนี้ เขาเพียงอยากจะลองและได้ข้อสรุปว่าไม่ได้ผล เขาต้องหาวิธีอื่น
ในคฤหาสน์บริเวณชานเมืองจิงตู หลายคนกำลังถกในเรื่องเดียวกันนี้
“ไม่ดีเลย การโจมตีสำนักฝึกหลวงโดยไม่กระตุ้นความสนใจนั้นยากเกินไป”
“ตระกูลได้ใช้เงินไปมากช่วงไม่กี่ปีมานี้ คงไม่ได้เอาไปเลี้ยงสุนัขหมดกระมัง”
“หากเป็นเรื่องอื่น เราก็คงจะทำได้แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ”
“สิ่งแรกที่เจ้าควรบอกข้าก็คือ เรามีคนกี่มากน้อยในสำนักฝึกหลวง”
“เรามีสายลับในสำนักฝึกหลวงก็จริง ในทหารม้านิกายหลวงก็มี ถึงขนาดมีสหายในพระราชวังหลีที่ยินดีจะช่วยเหลือพวกเรา แต่ท่าทีของสวีโหย่วหรงนั้นแม้จะเรียบง่ายแต่ก็ส่งผลอย่างมาก ตราบใดที่ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซียังอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าไปในบ้านหลังนั้น”
“ข้าไม่อยากเชื่อ ไม่มีทางที่ค่ายกลกระบี่ที่เด็กสาวสร้างขึ้นจะหยุดพวกเราได้”
ได้เห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลานชาย เทียนไห่เฉิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยกมือขึ้นหยุดการถกเถียงในห้อง เขาถาม “เจ้าแซ่โจว หวังหรือซู”
โจวคือโจวตู๋ฟู หวังคือหวังจื่อเช่อ ซูคือซูหลี
ในช่วงพันปีมานี้ มีเพียงแค่สามคนที่สามารถบุกยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และทำลายค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีได้ และก็ต้องใช้เวลาและความแข็งแกร่งไปอย่างมาก
ในตระกูลเทียนไห่ จะมีใครเทียบกับตำนานทั้งสามได้ และใครจะมีความมั่นใจในการทำลายค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี เข้าไปในบ้านและสังหารเฉินฉางเซิงก่อนที่สังฆราชจะปรากฏกายขึ้นได้
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลานคนนั้นก็พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำและก้มศีรษะลง
เทียนไห่เฉิงอู่มองไปยังบุตรชายที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ก่อนกล่าวอย่างเรียบเฉยให้คนในตระกูลฟัง “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ฉลาด ความสามารถก็หาใดเปรียบมิได้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะปล่อยให้มีช่องว่างเกิดขึ้น”
……
……
“นิกายหลวงนั้นย่อมต้องปกป้องเฉินฉางเซิง และดูแล้วเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องการจะปกป้องเฉินฉางเซิง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจมีศีลธรรมอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มิได้ลงมือด้วยตัวเอง ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงปลอดภัย แต่นางลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเฉินฉางเซิงไม่ใช่ซากศพ”
โจวทงใช้สายตาไม่แยแสมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาและกล่าวสรุป “เมื่อเขาไม่ใช่ซากศพ ก็ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง หากเขาต้องการจะไปจากสำนักฝึกหลวงด้วยความต้องการของตนเอง ใครจะขวางเขาได้”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงและถาม “ทำไมเขาถึงอยากจะออกไปด้วย”
โจวทงยืนตรงหน้าลานบ้าน มองต้นไห่ถัง ไม่ตอบคำถามนั้น
เขาได้เห็นข้อความระหว่างหอความลับสวรรค์และวังหลวง ในข้อความนั้นผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะตาย
เขารู้ว่าคนอย่างเฉินฉางเซิงไม่มีทางยอมตายเงียบๆ เช่นนี้
……
……
ถ้วยสุราวางลงบนโต๊ะไม้เนื้อแข็ง ส่งเสียงทุ้มแต่ก็เหมือนจะแหลมออกมา เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่กลับมาจากด่านยงเสวี่ยเมื่อไม่นานมานี้ เย้ยพวกลูกพี่ลูกน้องในห้อง สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่บิดาแล้วกล่าว “เราได้แต่รอให้เขาเดินออกจากสำนักฝึกหลวงด้วยตัวเอง”
สีหน้าเทียนไห่เฉิงอู่อ่อนโยนลงและดูพอใจอยู่บ้าง แต่ชั่วขณะต่อมา ความพอใจนั้นก็หายไปกับสายลม สีหน้ากลับมาตึงเครียดและน้ำเสียงเย็นชา
“เขาจะออกมา และตราบใดที่เขาก้าวออกมาจากสำนักฝึกหลวงแม้แต่เพียงก้าวเดียว ก็สังหารเขาเสีย”
……
……
ความมืดยังเป็นเช่นก่อน สงบนิ่งและเยือกเย็น ร่างที่ล้มลงพวกนั้นเป็นเหมือนกับภาพลวงตา ราวกับว่ามือสังหารเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาและถูกสังหารไปทีละคน
เจ๋อซิ่วมองดูริมทะเลสาบเงียบๆ เมื่อยืนยันแล้วว่าพวกมือสังหารได้ถูกฆ่าไปหมดแล้ว เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายลง ยังคงเป็นกังวลและเคลื่อนตัวลงจากต้นไทรย้อยมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังนั้น
เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปกปิดเอาไว้ สอดพ้องกับหลักการของโลกและถักทออยู่รอบบ้าน หากมีใครบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต มันก็จะแผ่รังสีกระบี่ที่น่าหวาดกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
เจ๋อซิ่วไม่สนใจขณะเดินเข้าไป
เจตจำนงกระบี่ยังคงอยู่ในความมืด ไม่ได้ตื่นขึ้นมาและสับร่างเขา ศิษย์สถานศึกษาหนานซีรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของเขากับเฉินฉางเซิง เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้รับเชิญไปวังหลวงและไม่มีทางที่พวกนางจะสามารถตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้น
ไม่มีแผนการใดในโลกที่ไร้ช่องโหว่ ไม่ว่าสวีโหย่วหรงจะมีความสามารถในการคำนวณอันน่าทึ่งเพียงใด และไม่ว่าท้องฟ้าพร่างดาวจะถูกสลักเอาไว้บนถาดดาวโชคชะตาหรือไม่ กระนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่นางไม่อาจที่จะคำนวณได้ อย่างเช่นจิตใจผู้อื่น
เจ๋อซิ่วเดินผ่านค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเข้าไปในบ้าน
จากนั้นเขาก็เห็นถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วเป็นห่วงเรื่องเฉินฉางเซิงมาก จึงไม่แปลกที่เขาจะปรากฏตัวที่นี่ เห็นได้ชัดว่าการจัดการที่สวีโหย่วหรงวางไว้ไม่อาจใช้กับเขาได้
“เขาทำอะไรอยู่” เจ๋อซิ่วถามถังซานสือลิ่ว
ผ่านไปเพียงครึ่งวันแต่ถังซานสือลิ่วนั้นอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องที่เฉินฉางเซิงนั้นกำลังจะตายทำให้เกิดความกดดันทางจิตใจอย่างมากต่อทุกคน ในฐานะเพื่อนสนิทของเฉินฉางเซิง เขาย่อมได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตอบคำถามของเจ๋อซิ่ว เพียงแต่มองไปยังประตูที่ปิดแน่น ด้วยสีหน้าหม่นหมอง
เจ๋อซิ่วไม่พูดอะไรอีก เดินตรงไปและเปิดประตู
ไม่มีใครอยู่ในห้อง
ครั้นเห็นเตียงที่ว่างเปล่า โต๊ะที่ไร้คน เขากับถังซานสือลิ่วก็หน้าเปลี่ยนไปในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูม่ออวี๋ที่เพิ่งได้ข่าวก็รีบรุดมา
“เราจะทำอย่างไรดี”
สีหน้าซูม่ออวี๋เป็นห่วงอย่างมาก “เราต้องรีบแจ้งพระราชวังหลี”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เจ๋อซิ่วก็กล่าว “อย่า”
“มีสัตว์อสูรบางชนิดที่เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะตายก็จะเดินทางไปยังที่ห่างไกลเพื่อรอวาระสุดท้ายอย่างเงียบสงบ ไม่อยากให้ใครพบเห็น บางทีนี่อาจเป็นทางเดียวที่จะรักษาความทระนงเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย”
ถังซานสือลิ่วสรุป “เฉินฉางเซิงก็อาจคิดแบบเดียวกัน”
เจ๋อซิ่วกล่าว “เมื่อแมวกำลังจะตาย ก็ทำแบบเดียวกันนี้”
ผ้าห่มบนเตียงถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย ดูราวกับก้อนเต้าหู้ โต๊ะและชั้นหนังสือล้วนไร้ฝุ่น ราวกับเพิ่งซื้อมาวันนี้ เมื่อเขาจากไป เฉินฉางเซิงก็ดูเหมือนจะไม่นำอะไรไปด้วย รวมถึงหนังสือเก่าและแมลงปอไม้ไผ่ที่เสียหายเพราะเปียกน้ำบนชั้นหนังสือ อย่างไรก็ตาม เซวียนหยวนผ้อไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพบว่ามีดที่ใช้แล่กระดูกได้หายไปจากครัวของสำนักฝึกหลวง
นอกจากนี้ เมื่อเยี่ยเสี่ยวเหลียนเข้ามาในหอตำราเพื่อพักผ่อน นางก็ตระหนักว่ามีกล่องเล็กๆ วางอยู่บนที่นอนของนาง เมื่อเปิดกล่องก็เห็นจดหมาย ชื่อบนนั้นคือเฉินฉางเซิง บอกว่ามันคือจดหมายถึงสวีโหย่วหรง
ครึ่งชั่วยามก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ตอนเที่ยงคืน เฉินฉางเซิงได้กระโดดออกจากหน้าต่างหอตำรา ผ่านป่าทึบและมาถึงครัวที่อีกด้านของทะเลสาบ คว้ามีดทำครัวและกางร่มกระดาษทองกระโดดข้ามกำแพงที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ออกไปจากสำนักฝึกหลวง
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีรู้ว่าเป้าหมายที่ต้องปกป้องหายตัวไป ใช้เวลาไม่นานข่าวนี้ก็ไปถึงคฤหาสน์ที่ชานเมืองและลานบ้านในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
ต้นไห่ถังช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงไม่มีดอกเป็นธรรมดา และก็ยังไม่ถึงเวลาที่ใบจะร่วง ทำให้ใบที่หนาแน่นของมันพลิ้วไหวในสายลม แสงดาวร่วงลงมาบนชุดขุนนางสีแดงสดและสะท้อนไปบนต้นไห่ถัง ใบไม้ที่ลอยขึ้นลงนั้นทอประกายสีเลือดจนกลายเป็นทะเลเลือด
“ข้าไม่ชอบความผันผวนที่เกินกว่าการควบคุม และหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถจัดการความผันผวนนี้โดยเร็วที่สุด พูดอีกอย่างก็คือพวกเจ้ามีเวลาคืนเดียวที่จะหาเขาให้พบ”
โจวทงยืนอยู่บนบันได สายตาเฉยชามองไปที่เหล่าเจ้าหน้าที่จำนวนมากซึ่งกำลังคุกเขาอยู่ในลานบ้าน “หลังจากนั้น ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด แต่พวกเจ้าต้องสังหารเขาให้ได้”
เจ้าหน้าที่ในลานบ้านกระจายตัวออกไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงต้นไห่ถังและเจ้าหน้าที่สองคนที่สวมชุดคลุมสีแดงสด
มีน้อยคนนักที่ยืนในระดับเดียวกับโจวทงได้ เฉิงจวิ้นเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ขุนนางทรงอำนาจที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกชาวบ้านเรียกรวมกันว่าแปดพยัคฆ์ เขาเป้นรองแค่โจวทงคนเดียวเท่านั้น
“การลอบเข้าสำนักฝึกหลวงยามราตรีเพื่อสังหารคนก็เป็นเรื่องหนึ่ง เขาออกจากสำนักฝึกหลวงและหากเราต้องการจะสังหารเขาในจิงตู นั่นก็จะเป็นการสังหารอย่างเปิดเผย…สังฆราชไม่มีทางยอมปล่อยพวกเราไป”
เฉิงจวิ้นเป็นขุนนางระดับสูงของศาลยุติธรรม แต่กระนั้นเขากลับไม่มีความเที่ยงธรรมของคนที่มีหน้าที่รักษากฏหมายของต้าโจว ใบหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยม ดั้งหักปากบาง แค่ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นคนชั่วร้าย
ขุนนางที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ใช้งานในช่วงแรกนั้นล้วนแต่เป็นพวกที่ถูกขับออกจากราชการ พวกที่เคยถูกมองข้าม นั่นเป็นเพราะในช่วงแรก เหล่าขุนนางที่มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้นไม่มีใครยินดีจะสาบานตนภักดีต่อนาง
“นอกจากจักรพรรดินีแล้วมีใครในโลกอีกที่อยากปล่อยพวกเราไป”
รอยยิ้มอ่อนจางแย้มอยู่บนใบหน้าโจวทง ภายใต้แสงดาว ใบหน้านั้นดูซีดขาวกว่าเดิม เขาดูไม่เหมือนกับคนมีชีวิตและรอยยิ้มก็ดูประหลาดและน่าหวาดกลัว
……
……
เมื่อข่าวที่ว่าเฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวงมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ ตระกูลเทียนไห่ก็ถกกันอย่างรวดเร็ว เมื่อสรุปได้ก็กระจายกันออกไป เจตจำนงของตระกูลก็แผ่กระจายไปทั่วจิงตู จากกองทัพอวี่หลินจนถึงตระกูลต่างๆ ในจิงตู ผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าสู่ความมืดมิดและออกค้นหาเฉินฉางเซิงเพื่อสังหารเขา
เทียนไห่เฉิงอู่เดินอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปยังจุดแสงซึ่งห่างไกลอย่างยิ่ง ไม่กล่าวอะไรเป็นเวลานาน ที่แห่งนั้นก็คือแท่นกานลู่ ที่ซึ่งจักรพรรดินีมักไปอยู่มากที่สุด
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพิศมองหลังบิดาอย่างเงียบงันเช่นกัน เขารู้สึกว่าวันนี้มีบางอย่างแปลกไป สังหารเฉินฉางเซิงย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่ก็ไม่ควรทำให้ทั่วทั้งตระกูลเทียนไห่ปั่นป่วนเฉกเช่นพายุ ด้วยว่ามีแรงต้านมากเกินไป ด้วยว่าพวกเขาไม่อาจหาตัวเฉินฉางเซิงพบ ในทางกลับกัน สิ่งนี้จะทำให้อีกฝ่ายระวังตนมากขึ้น เป็นเหมือนการแจ้งเตือนให้ได้รู้ แต่ทำไมกัน