“ย่อมเป็นเรื่องดีหากพวกเราสังหารเขาได้ แต่จะทำอย่างไรหากสังหารเขาไม่ได้ อย่าลืมว่าแม้แต่ในตอนนี้ ในวังก็ยังไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย บางที…จักรพรรดินีก็อาจกำลังลังเลใจ”
เทียนไห่เฉิงอู่มองไปยังแทนกานลู่ที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าแสดงความอ่อนล้าและผิดหวัง เขาได้วางแผนและเตรียมการเพื่อบัลลังก์มานานสิบกว่าปี แต่ก็ดูเหมือนว่าเส้นทางเบื้องหน้าก็ยังคงมืดมิด บางทีมันอาจจะเจ็บปวดมาก แต่เขาก็เริ่มคิดถึงเส้นทางอื่น
“ท่านพ่อไม่กังวลเรื่องในอนาคเช่นนั้นหรือ” เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยถาม
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตระกูลเทียนไห่นั้นมีความเจริญอย่างไร้สิ้นสุด ตระกูลถัง ตระกูลชิวซาน ตระกูลจูและแม้แต่ราชวงศ์เฉิน ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้มีทรัพยากรมากมายแต่ก็ยังถูกตระกูลเทียนไห่สะกดเอาไว้ หากมีคนบอกว่าตระกูลและขุนนางที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ไม่มีเรื่องขุ่นข้องกับตระกูลเทียนไห่ ก็คงไม่มีใครเชื่อ หากตระกูลเทียนไห่ไม่ได้ครองบัลลังก์ต้าโจวต่อ กำแพงของพวกเขาก็จะถูกทำลายและทุกคนก็จะบุกเข้ามา ใครจะมีเมตตาให้กับพวกเขากันเล่า
“เขาเป็นลูกของท่านป้า ในกายเขามีเลือดตระกูลเทียนไห่ ในอนาคต ต่อให้เขาขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เขาจะลงมือกวาดล้างตระกูลของมารดาอย่างนั้นหรือ ไม่ ไม่ว่าเบื้องหลังเขาจะมีซางสิงโจวหรือสังฆราช เขาก็ต้องหวาดกลัวและไม่สบายใจ สุดท้ายก็ต้องพึ่งกำลังของพวกเรา” เทียนไห่เฉิงอู่มองไปที่แท่นกานลู่ เคราสั้นถูกสายลมพัดเล็กน้อย แผ่รัศมีที่ไม่ยินยอมออกมา “เราไม่ใช่โจวทง ผู้คนจะไม่มาโห่ร้องโจมตีในทันทีที่เราเสียอำนาจวาสนาไป ดังนั้นเราต้องทำด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่า”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเข้าใจความหมายของบิดา ทว่า…หากข่าวลือเป็นจริง เฉินฉางเซิงก็เป็นรัชทายาทเจาหมิง เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นอันตรายต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นเวลาที่จะมาสนใจเรื่องอนาคตเช่นนั้นหรือ เขาพลันรู้สึกว่าสายลมในสวนเย็นเยียบขึ้นมา และนึกได้ว่ายามนี้ได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
สถานะในตอนนี้ของตระกูลเทียนไห่นั้นย่อมเกี่ยวพันกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ดังที่ผู้เฒ่าถังมักจะพูดบ่อยๆ ตอนตกปลาที่ริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ตระกูลเทียนไห่กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน ตระกูลเทียนไห่มีอิทธิพลในสังคมทุกระดับ ดังนั้นต่อให้พวกเขาเสียการช่วยเหลือจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีอำนาจใดสามารถถอนรากถอนโคนพวกเขาได้ในวันเดียว
คนฉลาดที่มีสายตายาวไกลและความคิดล้ำลึกย่อมไม่วางอนาคตของทั้งตระกูลเอาไว้ที่คนเพียงคนเดียว ต่อให้คนผู้นั้นจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม ตระกูลจูแห่งเมืองเทียนเหลียงนั้นรุ่งเรืองได้ก็เพราะจูลั่ว ตอนนี้กลับตกต่ำในสายตาของคนทั้งโลกเพราะยุคของยอดฝีมือผู้นี้สิ้นสุดลงแล้ว นี่เป็นบทเรียนให้กับทุกตระกูล
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ย่อมกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวในตอนท้าย จักรพรรดิไท่จงตายไปแล้ว โจวตู๋ฟูก็ตายแล้ว ใครจะหนีพ้นไปจากความตายได้
ผู้คนนับไม่ถ้วนออกจากคฤหาสน์ตระกูลเทียนไห่ และกรมกองมากมายที่อยู่ในการควบคุมของตระกูลเทียนไห่เข้าสู่ความมืด ทำการค้นหาที่อยู่ของเฉินฉางเซิง สิ่งนี้ย่อมทำให้คนมากมายตกใจ คนเหล่านั้นรู้ว่ามีการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยจากสำนักงานอันชั่วร้ายในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง และในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้รู้จากสำนักฝึกหลวงที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายนี้ว่า เฉินฉางเซิงได้ออกจากสำนักฝึกหลวงแล้ว และหายตัวไปที่ใดไม่รู้
ระฆังของพระราชวังหลีดังขึ้น เหล่านักบวชก็กระจายตัวไปในความมืด แสงไฟของสำนักการศึกษากลางก็ถูกจุดขึ้น ดอกเหมยภายในนั้นดูงดงามจับตาใต้แสงนั้น ทหารม้าสองร้อยกว่านายพุ่งออกมาและวิ่งไปทางสำนักฝึกหลวงด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
ในคืนต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ สถานการณ์ในจิงตูก็ตึงเครียดขึ้นมา ช่างเศร้าหมองและอ้างว้าง ใบไม้เหลืองที่แห้งเหี่ยวปลิดใบร่วงกราว
.…..
……
จะตายอย่างไรดี นี่ไม่ใช่คำถามที่คนทั่วไปอยากจะนำมาคิด เมื่อใดก็ตามที่คิด พวกเขาก็จะเลิกคิดโดยไม่รู้ตัว ชีวิตเฉินฉางเซิงนั้นต่างไปจากคนทั่วไป ดังนั้นเขาจึงใคร่ครวญถึงคำถามนี้มาก่อน เขาคิดเรื่องนี้หลายครั้งหลายครา ดังนั้นเขาจึงรู้คำตอบของคำถามนี้เป็นอย่างดี
‘มีชีวิตที่น่าตื่นเต้นแล้วตายลำพัง’ คือคำตอบที่เจ๋อซิ่วและถังซานสือลิ่วคาดเดาไว้ ทว่ามิใช่คำตอบของเขา บางทีในตอนที่เขาจากโลกนี้ไป เขาอาจเลือกสถานที่อันเปลี่ยวเหงาสักแห่ง แต่ก่อนหน้านั้น เขาจะไม่ยอมใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ก้มหน้าเลียแผลอยู่เงียบๆ เขาจะไม่ออกไปหาหลุมศพให้ตัวเองแต่จะทำภารกิจบางอย่าง
คำพูดเจ๋อซิ่วเตือนเขาว่าโลกนี้นั้นเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายที่พุ่งเป้ามาที่เขา แต่ตอนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มีผู้คนมากมายที่แสดงความเมตตาอย่างมากต่อเขา ก่อนจะไปจากโลกนี้ เขาควรจะตอบแทนน้ำใจเหล่านั้น ตอบแทนความคิดชั่วร้ายเหล่านั้น นี่คือภารกิจที่เขาต้องทำให้สำเร็จ
ในราตรีฤดูใบไม้ร่วงอันเงียบงันและงดงาม ถนนหนทางในจิงตูเต็มไปด้วยสายสืบของขุมกำลังมากมายในขณะที่ทหารม้าของทั้งราชสำนักและนิกายหลวงต่างก็ควบทะยานไปตามทางหลวง ผู้คนมากมายค้นหาเขาเพื่อที่จะได้สังหารหรือคุ้มครองเขา แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ได้หลบพ้นสายตาของทุกคน ถือร่มกระดาษทองเดินมายังสะพานอุดรใหม่อย่างเงียบงันและกระโดดลงไปในบ่อน้ำแห้ง
พื้นที่ก้นบ่อยังคงมืดมิดและเย็นเยียบ ร่างที่ยังบาดเจ็บอยู่ของเขาร่วงลงไปในหลุมที่ดูเหมือนลึกจนไร้ก้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ประหนึ่งเป็นก้อนหินที่ร่วงลงจากสวรรค์ ทำให้โลกตกอยู่ภายใต้ความพินาศ แต่กระนั้นเมื่อเขาอยู่ห่างจากพื้นดินไม่กี่สิบจั้ง ไอพลังปราณอันหนาแน่นดุจม่านผ้าฝ้ายก็ปรากฏขึ้นรอบกายเขา ช่วยลดความเร็วในการร่วงลงมา
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และเขาก็ไม่รู้สึกตกใจแม้แต่น้อย เขาปรับท่าทางรอให้ไอปราณกระจายไปและสองเท้าก็เหยียบลงบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างมั่นคง
จุดแสงปรากฏขึ้นบนหลังคาถ้ำ มันคือไข่มุกราตรี ไข่มุกราตรีจำนวนนับไม่ถ้วนส่องแสงตามมาราวกับดวงดาวได้ร่วงหล่นลงมาอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ร่างใหญ่โตสีดำลอยอยู่ ดูเชื่องช้าทว่าแท้จริงแล้วรวดเร็ว มองดูเขาจากที่สูงขึ้นไป
ภายใต้แสงสีเงิน ดวงตามังกรดำนั้นใหญ่ยิ่งกว่าบ้านและเต็มไปด้วยแสงเย็นเยียบ เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกโหดเหี้ยม แต่ก็ยังมีความรู้สึกไม่แยแสออกมาด้วย
การพบกันเช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้ง แต่วันนี้ต่างออกไป ทั้งเฉินฉางเซิงและมังกรดำต่างก็ไม่มีใครพูด พวกเขาจ้องมองกันอยู่ในสายลมเย็นเยียบ บรรยากาศอึดอัดอยู่บ้าง
ผ่านไปนาน เสียงมังกรคำรามโกรธเกรี้ยวก็ดังไปทั่วถ้ำ ทำให้แสงที่ส่องออกมาจากไข่มุกราตรีสั่นสะท้าน หิมะที่ปกคลุมพื้นดินตลอดปีปลิวขึ้นในอากาศ ฟาดใส่ร่างเฉินฉางเซิงทิ้งรอยทั้งลึกตื้นไว้ราวกับถูกแส้ฟาด
เฉินฉางเซิงเข้าใจอารมณ์ของนาง จึงทนรับมันอย่างเงียบงัน
เสียงคำรามของมังกรแผ่วไปในที่สุด และพายุหิมะก็ค่อยๆ สงบลง มังกรดำจ้องมองลงมา ไม่มีความไม่แยแสในดวงตาอีกต่อไป มีเพียงความโกรธและโหดเหี้ยม และยังมีประกายของ…ความไม่พอใจ
“เจ้า…เจ้า…เจ้ากำลังจะตาย?”
ครั้นเสียงคำรามของมังกรหายไป ก็เปลี่ยนมาเป็นเสียงของหญิงสาว เห็นได้ชัดว่านางในตอนนี้กำลังประหลาดใจอย่างมาก
เฉินฉางเซิงจ้องมองมังกรดำ รู้สึกว่ามังกรดำนี้มีร่างกายที่ใหญ่โต มีการบำเพ็ญที่น่าหวาดหวั่น ทว่าเสียงกลับบริสุทธิ์และอ่อนโยน ช่างขัดแย้งกันมากเหลือเกิน
“ใช่”
มังกรดำโกรธขึ้นมาอีกครั้ง ห่างไปสิบกว่าลี้ หางของนางฟาดใส่ผนังถ้ำ แต่ก่อนที่หางจะกระแทก มันก็ถูกค่ายกลที่ฝังอยู่ในผนังถ้ำส่งให้ลอยไปอีกทาง หิมะน้ำแข็งขจรขจายไปทั่ว
“แต่..แต่…”
มังกรดำมองไปที่เฉินฉางเซิง ดวงตานางมีประกายความปวดร้าว บางทีอาจเป็นเพราะผลกระทบจากค่ายกลหรือเพราะว่านางเห็นสภาพน่าสงสารของเฉินฉางเซิง เสียงนางสั่นเครือ
“…เจ้ายังเรียนภาษามังกรไม่จบ”
“ข้าขอโทษ” เฉินฉางเซิงก้มศีรษะและเงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จ้องมองนางและกล่าว “ข้าคงไม่อาจเรียนภาษามังกรไปได้ตลอดที่ชีวิตที่เหลือ”
“เช่นนั้น…เช่นนั้น…เจ้าก็ห้ามตาย”
เฉินฉางเซิงไม่กล่าวอะไร
มังกรดำกล่าวอย่างเศร้าใจ “เจ้ายังไม่ได้ทำตามสัญญา เจ้าจะตายได้อย่างไร”
“ข้าขอโทษ” เฉินฉางเซิงกล่าวขอโทษอีกครั้ง “ข้าเคยสัญญาว่าจะหาทางช่วยเจ้าออกไป…”
“ใช่ ใช่แล้ว!” ดวงตามังกรดำส่องสว่างขึ้นมาและกล่าวต่อ “เจ้ายังไม่ได้ช่วยข้าออกไป แล้วเจ้าจะตายได้อย่างไร ข้าไม่อาจให้เจ้าตายไปเช่นนี้”
“ไม่ต้องกังวล ข้าได้คิดหาวิธีที่จะช่วยเจ้าออกไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงหัวเราะอย่างดีใจและจริงใจ “ตอนเดินทางกลับจากหานซาน ข้ามีเวลาคิดคำนวณอยู่มาก ข้ายืนยันได้แล้วว่าเราต้องเริ่มที่คัมภีร์กาลเวลา อีกสักครู่ข้าจะไปที่กำแพงหินและทำให้มั่นใจว่าค่ายกลจากคัมภีร์กาลเวลานั้นจะทำงานต่อไปเป็นเวลานาน แต่หากเราพึ่งพาเพียงค่ายกลอย่างเดียว ก็ต้องใช้เวลานานมากเพื่อให้พลังแห่งกาลเวลาทำลายข้อจำกัด ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้เจ้าฝึกคัมภีร์กาลเวลา เจ้าอาจจะสามารถเร่งความเร็วของมันขึ้นได้อีกมาก”
เขาพลันนึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าว “ใช่แล้ว ในหานซาน ข้าได้พบกับหวังจื่อเช่อ แต่เพราะว่าตอนนั้นทุกอย่างเร่งรีบเกินไป ข้าจึงลืมถามเรื่องบางอย่างกับเขา”
ครั้นได้ยินชื่อนั้น มังกรดำที่ยังเปี่ยมไปด้วยความเศร้าและความโกรธที่เฉินฉางเซิงกำลังจะตายก็พลันตัวแข็งทื่อ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป “เจ้าคนหลอกลวงนั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยอมรับว่าตนเองเป็นใคร แต่ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
เสียงมังกรดำเปลี่ยนเป็นเย็นชา เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “คนชั่วอายุยืนจริงๆ ด้วย”
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี หากมองจากมุมมองของมังกรดำ นางเป็นแค่เด็กน้อยที่สับสนและไม่รู้ความจากเผ่ามังกรในตอนนั้น แม้ว่านางจะทำความผิดใหญ่หลวงยามที่มาถึงชายฝั่งทะเลใต้ การกักขังนางไว้เป็นเวลาหลายร้อยปีก็น่าจะเพียงพอที่จะชดใช้ความผิดของนางแล้ว จำเป็นต้องขังนางไว้ตลอดกาลในคุกที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้เชียวหรือ แต่หากมองจากมุมมองของหวังจื่อเช่อ ในฐานะกุนซือและผู้ปกป้องราชวงศ์ต้าโจว เขาจำเป็นต้องปกป้องประชาชนทั่วไปในต้าโจว
“เฉินฉางเซิง…” เสียงมังกรดำพลันสงบนิ่งขึ้นมา
“หือ?” เฉินฉางเซิงสับสนอยู่บ้าง
เสียงมังกรสะท้อนก้องไป ในความเย็นแฝงไว้ด้วยความเศร้า
“…เจ้าไม่อาจเป็นคนดี”
“…ทำไม”
“คนดีล้วนอายุสั้น”
เฉินฉางเซิงก้มหน้ามองน้ำแข็งที่เท้าอีกครั้ง ขณะที่เขานึกถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วยพายุและหิมะที่เขาได้เดินทางผ่านมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาก็เงียบงันอยู่นาน
เขาเชื่อมาตลอดว่าคนอย่างหวังผ้อเป็นคนดี และเขานั้นไม่ดีอย่างแน่นอน เขาก็แค่ทำตัวตามใจต้องการ เพราะเขาบำเพ็ญเพียรตามวิถีแห่งการทำตามใจตนเอง
น่าเสียดายที่ความตายนั้นเป็นไปตามบัญชาสวรรค์และไม่ยอมฟังหัวใจของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองมังกรดำและอยากจะอธิบายสักสองสามคำ แต่ก็ตระหนักว่ามังกรดำได้หายไปแล้ว!
ร่างใหญ่โตราวภูเขาหายไปแบบนั้นเอง!
เฉินฉางเซิงนั้นตกใจอย่างมาก เขามองไปรอบๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นเขาก็เห็นเด็กสาวปรากฏกายขึ้นบนพื้นอันปกคลุมไปด้วยหิมะ
เด็กสาวนั้นสวมชุดดำ นางนั่งอยู่ในหิมะ ชุดของนางสยายออกไปรอบกาย มีโซ่เล็กๆ ยื่นออกจากใต้ชุดของนางไปยังผนังหินที่อยู่ห่างไปสิบกว่าลี้