ใบหน้าของกู้ไป๋อีแข็งทื่อ คุณหนูใหญ่ผู้นี้ดื้อซนอีกแล้ว

กู้ไป๋อีนั้นไร้ซึ่งระดับของการฝึกบำเพ็ญ แต่ทว่าเมื่อเผชิญกับเหล่าทหารกุ้งหอยปูปลาพวกนี้ เขาสามารถมองเห็นได้ถึงจุดอ่อนในกระบวนท่าของพวกเขาได้ชัดเจนเป็นอย่างมาก

ส่วนคนอื่นนั้นก็พบปัญหาของตัวเขาเองแล้วเช่นกัน แต่ละคนทยอยถอนหายใจออกมา

“รูปลักษณ์ดีเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผู้ไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง!”

“บุรุษตัวใหญ่โตกลับต้องมาคอยให้สตรีปกป้อง!”

“จัดการกับเจ้าพิการนั่น ช่างน่าเบื่อเกินไปนัก จัดการกับนางเด็กสาวที่เดือดดาลนั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

พวกเขารวมกันต่อสู้กับมู่เฉียนซี กู้ไป๋อีที่เคยได้เห็นพลังในการต่อสู้อันเหี้ยมหาญของมู่เฉียนซีมาแล้วก็มิได้เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อยว่ามู่เฉียนซีจะเสียเปรียบ

ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีจำนวนมากและนางมีเพียงแค่ตัวคนเดียว

หากเมื่อนางต่อสู้ไม่ไหวและเรียกสัตว์พันธสัญญาของนางออกมา คนเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะทำอะไรนางได้เลย

แต่มู่เฉียนซีไม่ได้คิดที่จะเรียกเสี่ยวหงและอู๋ตี้ออกมา ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่งเท่านั้น จึงมิต้องให้เสี่ยวหงและอู๋ตี้ออกโรงเลย

ฟึบ ฟึบ ฟึบ!

เข็มยาแต่ละเข็มพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

“อาวุธลับ!”

ปัง!

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แต่เข็มเหล่านั้นก็จะแตกกระจายออกเป็นเข็มที่เล็กเสียยิ่งกว่าเดิมและลอบโจมตีเข้าไป นั่นทำให้ป้องกันตัวได้ยากอย่างยิ่ง!

ปัง!

ทันทีที่พวกเขาต้องเข็มยานั้นเข้าก็อย่าได้หวังว่าจะมีกำลังโต้กลับได้

“อาวุธลับ ระวัง!”

เด็กสาวระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามที่ไม่เข้าตาผู้หนึ่ง ด้วยการโจมตีนี้กลับทำให้พวกเขาเสียกำลังคนไปไม่น้อย

และในตอนนี้ มู่เฉียนซีก็ได้ชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาเสีย

นางเปิดปากกล่าว “ข้าขอชักชวนให้พวกเจ้ารีบไสหัวไปเสียแต่เนิ่น ๆ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

“สาวน้อย อย่าได้คิดว่าเจ้าสามารถเล่นลูกเล่นอะไรพวกนี้เป็นแล้วพวกข้าจะกลัวเจ้า ไม่เกรงใจ? ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าคิดจะไม่เกรงใจเช่นไรกัน?”

ถึงให้อาวุธลับของมู่เฉียนซีน่ากลัวไปมากกว่านี้ แต่พลังความสามารถของนางมีเพียงน้อยนิดเช่นนั้น พวกเขาจึงคิดว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหวั่นกลัว!

คำพูดที่เย็นชาและดุดันสี่คำได้ถูกกล่าวออกมา “มังกรเพลิงสังหาร!”

บึ้ม!

มังกรเพลิงสีแดงเข้มได้พุ่งออกไปด้วยพลังที่มิอาจต้านทานได้!

เงาร่างสีม่วงเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้าและพุ่งตัดเข้าไปอยู่กลางหมู่คนพวกนั้น แขนอันเล็กเรียวได้ยกขึ้นและพลังโจมตีที่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยก็ได้ร่วงหล่นลงมา

“ทักษะตี้ซวน!”

“ทักษะเทียนซวน!”

บึ้ม บึ้ม บึ้ม!

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสาวน้อยที่เพิ่งจะระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามผู้นี้จะสามารถควบคุมทักษะวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่งในการต่อสู้ข้ามระดับเช่นนี้ได้!

“ให้พวกเจ้าไสหัวไปไม่ไส เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าสักครา!”

ดอกบัวเพลิงบานสะพรั่งท่ามกลางกระบี่ของมู่เฉียนซีและระเบิดพุ่งออกไป คนเหล่านั้นได้กระเด็นลอยออกไปในทันที

ดวงตาที่สงบนิ่งของกู้ไป๋อีเปล่งประกายออกมา พลังความสามารถ ประสบการณ์ในการต่อสู้ ทักษะวิญญาณ อีกทั้งยังมีการผสมผสานกันของอาวุธลับและพิษผสานเข้าด้วยกันในการต่อสู้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ ทำให้นางสามารถที่จะต่อสู้ข้ามระดับได้ และชนะคนหมู่มากด้วยจำนวนที่น้อยกว่า

“ชนะได้งดงาม!” กู้ไป๋อีกล่าวชมขึ้นมา

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัวแต่ประการใด “แน่นอน!”

“ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาทางนี้ ดูแล้วพลังของหงส์ดำโบราณจะดึงดูดผู้คนมาไม่น้อย พวกเราไปกันก่อนเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“อื้ม!”

แน่นอนว่าตลอดทางมานั้นมีพวกที่ไม่แหกตามอง แต่ทว่าพวกนั้นก็ได้ถูกมู่เฉียนซีจัดการเก็บกวาดไปทั้งหมด

แน่นอนว่ากู้ไป๋อีนั้นได้กลายเป็นไอ้หน้าขาวที่ต้องให้สตรีเพศมาปกป้องเสียแล้ว นั่นทำให้สีหน้าของเขายิ่งเย็นยะเยือกมาขึ้นไปเรื่อย ๆ

ตั้งแต่ออกมาจากทุ่งรกร้างศิลาดำ มู่เฉียนซีก็เลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองเหยียน

บัณฑิตผู้อ่อนแอที่เหมือนแมงป่องพิษผู้นั้นได้พร่ำบอกนางว่าในทุ่งรกร้างศิลาดำนั้นมีดอกกล้วยไม้หงส์ดำนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

นางอยากจะดูจริง ๆ ว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่?

อีกทั้งจะต้องเดินทางจากทุ่งศิลาดำรกร้างไปยังเมืองอื่น จำต้องไปที่เมืองเหยียนเพื่อเดินทางต่อถึงจะได้

มู่เฉียนซีกลับมายังเมืองเหยียนที่ชำรุดทรุดโทรมอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเพิ่งเดินเข้าประตูเมืองมาก็มีผู้ที่ขี่ม้าพุ่งเข้ามา

อีกฝ่ายเองก็มองไม่เห็นว่าทางด้านหน้ามีคนอยู่หรือไม่ แต่ก็ได้พุ่งเข้าไปในทันที

“ไสหัวไป!” คนข้างหน้าไสหัวไป!”

ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเย็นวาบประกายหนึ่งออกมา กล้าที่จะให้นางไสหัวไป เช่นนั้นก็ให้เข้าหมอนี่ลิ้มรสของการไสหัวหน่อยก็แล้วกัน!

นางได้โคจรพลังภูตธาตุน้ำขึ้นมา น้ำที่อยู่บนพื้นได้จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง และไม่นานนักรถม้าก็เกิดระส่ำระส่ายขึ้นมา!

ปัง!

ม้าล้มคนหกคะเมน คนที่อยู่บนม้านั้นได้พุ่งกลิ้งตกลงมา

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

“……..”

บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาเกิดความโกลาหลขึ้น

“ใครกัน? เป็นใครที่กล้าลอบปองร้ายนายน้อย!”

“…….”

แน่นอนว่าเมื่อคุณชายในชุดคลุมยาวสีเหลืองมองเห็นกู้ไป๋อีที่ตัวสูงกว่ามู่เฉียนซี สีหน้าของชายผู้นั้นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองนั้นมีสภาพเหมือนดั่งเต่าก็มิปาน

เขาลุกขึ้นไปชี้หน้ากู้ไป๋อีแล้วกล่าว “จะต้องเป็นไอ้นี่ที่รู้สึกว่าข้าหล่อเหลาเลยอิจฉา ดังนั้นแล้วเจ้าจึงลอบทำร้ายข้า”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการยั่วยุของชายหนุ่ม แต่กู้ไป๋อีกลับแสดงออกทางสีหน้าแค่เพียงเล็กน้อย!

“เจ้าเป็นใบ้รึ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่! เจ้ากลับกล้าไม่เห็นข้าในสายตา”

เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งลอยมา “กล้ามากล่าวเช่นนี้กับคนของข้า เจ้าอยากจะกลายเป็นไอ้ใบ้หรือยังไง?”

เสียงนั้นทำให้แผ่นหลังของเขารู้สึกเย็นวาบ แต่เมื่อเขาได้เห็นกับหญิงสาวผู้ที่งดงามเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เป็นประกาย

“นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเข้าเมืองเหยียนมาแล้วจะมีผู้งดงามเช่นนี้ เดินทางไปกับข้าเป็นเช่นไร?”

“ไสหัวไป!” มู่เฉียนซีกล่าวคำนี้ออกมาอย่างเย็นชา

“ช่างปากดีเสียจริงนะ! เมื่อเข้ามาในเมืองเหยียนแล้ว ทุกสิ่งอย่างต้องว่าตามข้าเหลยเทียน ถึงต่อให้วันนี้เจ้าไม่อยากไปกับข้าเจ้าก็ต้องไป!”

สายตานั้นของเหลยเทียน พวกผู้ติดตามพวกนั้นรู้ได้ทันทีว่านายน้อยต้องการจะทำอะไร

ฉุดตัวสาวงาม! เรื่องเช่นนี้พวกเขาทำมาบ่อยนัก

ในตอนนี้เองเสียงที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งได้ลอยเข้ามา “แม่นางมู่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะไปแล้วไปเลยเสียแล้ว”

ชายร่างผอมในชุดขาวเดินเข้ามา เมื่อเหลยเทียนเห็นชายผู้นี้จึงกล่าวขึ้น “เย่เฉิน ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เจ้าไร้ประโยชน์ เจ้าอย่าได้มาทำให้ข้าเสียเรื่อง”

เย่เฉินกล่าว “แม่นางมู่เป็นแขกผู้สูงส่งของตระกูลเย่ ขอนายน้อยเหลยจงอย่าได้ให้มันมากไปนัก หากว่านางได้กระทำล่วงเกินท่านไป ข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย”

เหลยเทียนกล่าว “ข้ามิได้ต้องการให้นางขอโทษข้า ข้าต้องการให้นางไปกับข้า…..”

ปัง!

มู่เฉียนซีถีบตัวเขาออกไปในทันที

มู่เฉียนซีมองไปทางเย่เฉินแล้วกล่าว “นายน้อยเย่รอข้ากลับมาอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”

เย่เฉินรู้สึกประหลาดเล็กน้อยแต่ก็มิได้ปฏิเสธจึงพยักหน้าแล้วตอบ “ใช่!”

“ข้าคิดว่าพวกเราควรหาที่คุยกัน”

“กลับไปที่จวนตระกูลเย่เป็นเช่นไร?”

“ได้…”

มู่เฉียนซีและพวกเขาเตรียมที่จะกลับไปยังจวนตระกูลเย่ แต่ทว่านายน้อยเหลยกลับไม่ยินยอม

“ห้ามไป! พวกเจ้าอย่าได้คิดจะไป!”

มู่เฉียนซีหันกลับไปกล่าว “หากเจ้ายังจะเข้ามาอีก ถีบต่อไปข้าไม่รังเกียจที่จะทำให้เจ้าสิ้นลูกสิ้นหลาน ไม่เชื่อก็ลองเข้ามาดูสิ”

ทันใดนั้น เหลยเทียนก็รู้สึกเย็นวาบที่ช่วงล่างของร่างกาย

เย่เฉินกล่าว “อย่างไรเสียแม่นางมู่ก็เป็นแขกที่สูงศักดิ์ของตระกูลเย่ ขอให้นายน้อยเหลยจงมีมารยาทเสียบ้าง”

หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ถีบนายน้อยเหลยไปแล้วก็ได้เดินจากไปอย่างสบายใจในทันที

เหลยเทียนกล่าวขึ้นอย่างดุดัน “ขอแค่เพียงหญิงสาวผู้นั้นอยู่ในเมืองเหยียน ข้าไม่เชื่อว่าจะทำไม่สำเร็จ!”

มู่เฉียนซีกลับมายังจวนตระกูลเย่ จวนที่นางอาศัยอยู่ในตอนนั้นได้ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดเรียบร้อย

มู่เฉียนซีมองเย่เฉินด้วยสายตาอันลึกล้ำแล้วกล่าว “พูดมาเถอะ! เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่ถึงดึงดูดให้ข้าไปยังทุ่งรกร้างศิลาดำ?”