บทที่ 708 หัวหน้าใหญ่ปรากฏตัว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 708 หัวหน้าใหญ่ปรากฏตัว

ท้องฟ้าสว่างแล้ว

เยว่เว่ยหยางกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่ปลายเท้าของหลินเป่ยเฉิน

การเคลื่อนไหวของนางนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่ต่างไปจากคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งตื่นขึ้นมายามเช้า หลังผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความเร่าร้อนเริงรัก

เส้นผมสีดำยาวของนางรวบไปอยู่ข้างหน้า จึงเปิดเผยให้เห็นถึงแผ่นหลังขาวเนียนกับบั้นท้ายกลมกลึงปราศจากราคี ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างนางไม่ต่างไปจากการตวัดปลายพู่กันของยอดศิลปิน แสงสว่างยามรุ่งสางก่อให้เกิดเงาดำทาบทับอยู่บนผนังกระโจมขนาดใหญ่ แม้แต่เงาของเด็กสาวก็ยังมีความสวยงามไม่ต่างจากเทพยดาบนสวรรค์

เรือนกายของเยว่เว่ยหยางช่างบริสุทธิ์ผุดผ่องกระไรปานนั้น เอวของนางช่างคอดกิ่วกระไรปานนั้น แก้มก้นหนั่นแน่นน่าขยำขยี้กระไรปานนั้น แม้แต่ยอดถันของนางก็ยังชูชันยั่วเย้าความปรารถนาของผู้จ้องมองได้อย่างร้ายกาจ

หลินเป่ยเฉินจ้องมองภาพทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าสับสน และต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

ความสามารถในการป้องกันตนเองจากการต่อสู้ ไม่สามารถใช้ได้เลยกับสงครามบนเตียงนอน

เมื่อคืนนี้ เด็กหนุ่มพยายามปกป้องป้อมปราการของตนเองอย่างเต็มที่

ผลก็คือ…

เขาไม่สามารถต้านทานการบุกรุกของเยว่เว่ยหยางได้เลยแม้แต่น้อย

ต้องยอมรับว่าเทพีกระบี่มีความชำนาญเหลือเกิน

เหตุการณ์ที่ผ่านไปตลอดคืนเปรียบเสมือนการสู้รบอันดุเดือด…

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่ใช่ฝ่ายพ่ายแพ้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอยู่ดี

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนสูญเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บใจ

ครั้งหน้า เด็กหนุ่มตั้งมั่นว่าจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมากกว่านี้ให้ได้

“สิ่งที่เจ้าพูดออกมาเมื่อคืนเป็นความจริงหรือไม่?”

เยว่เว่ยหยางถามระหว่างหวีผม

“อะไรหรือ?”

หลินเป่ยเฉินร้อนตัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

เด็กหนุ่มก็ได้แต่หวังว่าตนเองคงไม่ปากหวานเที่ยวบอกนางตลอดคืนว่า ‘ข้าจะรักเจ้าไปจนวันตาย’ หรือ ‘พวกเราจะอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย’ หรอกนะ?

เขาคงไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม?

“สิ่งที่เจ้าพูดกับหญิงรับใช้ส่วนตัวคนนั้นน่ะ เจ้าบอกว่าถึงอย่างไรนางก็ต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้จะให้นางมาเป็นคนรับใช้ตลอดไป… เจ้าพูดจริงหรือไม่?”

เยว่เว่ยหยางถามออกมาเสียงแผ่วเบา

“อ๋อ ก็ต้องพูดจริงอยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “เด็กหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิอย่างข้า ไม่เคยพูดสิ่งใดโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน”

“หึหึ เจ้าทำให้ข้าชื่นชมในตัวเจ้าได้จริงๆ” น้ำเสียงของ ‘เยว่เว่ยหยาง’ บอกชัดถึงความชื่นชม แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังฟังดูเย็นชาอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

แค่นี้ยังเล็กน้อยนัก

ในอนาคตข้างหน้า เดี๋ยวเทพีกระบี่จะต้องชื่นชมในความคิดตามแบบฉบับผู้คนสมัยใหม่ของวิญญาณจากต่างโลกอย่างเขามากกว่านี้แน่ๆ

พลัน แสงสีเงินเป็นประกายทั่วร่างเยว่เว่ยหยาง แล้วเสื้อคลุมน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นมาครอบคลุมเรือนร่างของนาง

ช่างงดงามเหลือเกิน

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินน้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว

ใครกันนะที่เคยบอกเอาไว้ว่าสตรียามแต่งกายวาบหวิว ชวนให้บุรุษใจสยิวยิ่งกว่าเปลือยกาย

นับเป็นคำพูดที่ถูกต้องทุกประการ

“แล้วข้าจะกลับมาใหม่”

‘เยว่เว่ยหยาง’ ลุกขึ้นเดินออกไปจากกระโจมที่พักโดยไม่เหลียวมองกลับมาอีก

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงนอนด้วยสภาพเปลือยเปล่า

ร่างกายของเขาสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

พลังลมปราณในร่างกายไหลเวียนอย่างสะดวกปลอดโปร่ง

แม้แต่ระดับพลังปราณธาตุทองคำก็เพิ่มปริมาณขึ้นเช่นกัน และนั่นทำให้ในขณะนี้ เด็กหนุ่มเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 9 แล้ว

ขออีกเพียงคืนเดียวเท่านั้น…

เฮอะ อย่าดีกว่า ต่อให้ไม่ต้องอาศัยการร่วมรักกับเทพีกระบี่ เขาก็สามารถเลื่อนระดับเองได้อยู่แล้ว

แค่ต้องพยายามอีกหน่อยเท่านั้น

“ตอนที่เราเสียตัวให้กับนางเป็นครั้งแรก เราต้องสูญเสียพลังปราณธาตุทั้งสองชนิดไปทั้งหมด แต่การร่วมรักสองครั้งที่ผ่านมา นอกจากพลังจะไม่สูญหายแล้ว พลังกลับยังเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย…”

“เอาล่ะ มันน่าเกี่ยวข้องกับวิชาใดวิชาหนึ่งที่เราเปิดใช้งานอยู่ในโทรศัพท์แน่ ๆ …หรือจะเป็นวิชาของบัณฑิตมัจจุราชนะ เห็นว่าวิชานั้นเมื่อได้ร่วมรักกับเพศตรงข้าม ระดับพลังก็จะเพิ่มขึ้นด้วยนี่นา และนี่คนที่อยู่บนเตียงกับเราเป็นถึงเทพเจ้ากลับชาติมาเกิด ระดับพลังก็เลยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้”

หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกกลัวใจตัวเอง

ค่ำคืนแห่งการเริงสวาทสองครั้งที่ผ่านไป ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นความสุขที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน

การที่มนุษย์ธรรมดาได้ร่วมหลับนอนกับเทพีกระบี่ อย่าว่าแต่สาวกของเทพีกระบี่จะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นจริง แม้แต่พวกสาวกปีศาจก็คงคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ

แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

‘เยว่เว่ยหยาง’ ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย

พฤติกรรมอันดิบเถื่อนยามอยู่บนเตียงนอน แทบทำเอาเด็กหนุ่มหัวใจวายตายไปหลายรอบ

นับเป็นค่ำคืนที่หลินเป่ยเฉินคงไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดชีวิต

เยว่เว่ยหยางที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ไม่ใช่เยว่เว่ยหยางคนเดิมอีกต่อไป

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่รู้หรอกว่าในค่ายอาคมเทพเจ้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางไม่รู้เลยว่าวิญญาณของเทพที่กระบี่ต้องพบเจอสิ่งใด สิ่งที่หญิงชราพูดออกมา ก็เป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้นเอง

ดูจากพฤติกรรมของเยว่เว่ยหยางแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเทพีกระบี่ในค่ายอาคมเทพเจ้าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง

นักพรตใหญ่หลงเยว่เคยบอกเอาไว้ว่าเยว่เว่ยหยางกำเนิดขึ้นมาจากหยดเลือดของเทพีกระบี่ นั่นหมายความว่านางคือส่วนหนึ่งของตัวตนเทพีกระบี่ ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเยว่เว่ยหยางผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสและอ่อนโยนดั่งดอกไม้งาม จะกลายมาเป็นเด็กสาวผู้เย็นชาอำมหิตอย่างปัจจุบันนี้โดยไม่มีเหตุผล

“เอ๊ะ?”

เมื่อใช้ความคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

“ทำไมอยู่ดีๆ เราก็มีสติแจ่มใสขึ้นมาแล้วล่ะ?”

“นี่หมายความว่าเราฉลาดขึ้นแล้วใช่ไหม?”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองฉลาดมากขึ้น

คิดไม่ถึงเลยว่าการเสียตัวจะช่วยพัฒนาสมองได้เหมือนกันนะเนี่ย

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

เทพีกระบี่คงคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายตักตวงพลังไปจากเขาฝ่ายเดียวล่ะสิ

นางคงไม่รู้ว่าเขาก็ได้รับพลังเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน…

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็เดินไปล้างหน้าล้างตาและใส่เสื้อผ้าอย่างมีความสุข

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หวังจงก็นำรายงานการใช้จ่ายเงินหนึ่งล้านเหรียญทองคำมาให้เขาตรวจสอบ

“เจ้าเป็นคนดูแล เจ้าก็ตรวจสอบเองสิ ข้าไม่อยากดูสักหน่อย”

หลินเป่ยเฉินโยนแผ่นรายงานใส่หน้าหวังจงพร้อมกับพูดว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้จ่ายเงินก้อนนี้ได้อย่างเต็มที่”

พลัน หวังจงน้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตัน “นับว่านายน้อยเชื่อใจในตัวหวังจงเหลือเกิน หวังจงจะพยายามให้ดีที่สุดขอรับ ต่อให้ต้องตาย หวังจงก็ไม่กลัว…”

หลินเป่ยเฉินโบกมือและพูดแทรก “เจ้าฟังข้าให้ดี นี่ถือว่าข้าให้เงินเจ้าไปแล้วนะ หากสถานศึกษาไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ ข้าจะหักขาเจ้าทิ้งเป็นคนแรก…”

หวังจงพูดอะไรไม่ออก

เดี๋ยวก่อนสิ

นายน้อยลืมอะไรไปหรือเปล่า?

ท่านให้เงินข้ามาแค่ล้านเดียวเองนะ แต่การจะสร้างสถานศึกษาขึ้นมาสักแห่ง จำเป็นต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสามล้านเหรียญทองคำไม่ใช่หรือ?

ทันใดนั้น ชายชราก็รู้สึกเหมือนตนเองตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว

“อ้อ จริงด้วยสิขอรับนายน้อย มีคนผู้หนึ่งส่งจดหมายส่วนตัวมาหานายน้อยขอรับ”

หวังจงพูดพร้อมกับล้วงหยิบซองจดหมายสีแดงดำออกมาซองหนึ่ง

มันเป็นซองจดหมายที่มีลักษณะไม่น่าไว้วางใจ ตัวอักษรบนหน้าซองเป็นสีทอง แม้จะยืนอยู่ห่างๆ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่อัดแน่นอยู่ในซองจดหมายฉบับนี้ เพียงมองดูก็รู้ว่านี่ไม่ใช่จดหมายธรรมดา แต่เป็นซองจดหมายที่ลงค่ายอาคมเอาไว้ และซองจดหมายลงค่ายอาคมเช่นนี้ มีราคาถึงซองละ 10 เหรียญทองคำเลยทีเดียว

“ส่งจดหมายส่วนตัวมาถึงข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด “บัดนี้พวกเรากำลังอยู่ในนครเจาฮุย เท่าที่จำได้ ข้าไม่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ที่นี่สักหน่อย แล้วใครจะเป็นคนส่งจดหมายมาล่ะ? ไหนเจ้าลองเปิดแล้วอ่านให้ข้าฟังหน่อยสิ”

หวังจงกะพริบตาปริบๆ

นายน้อย หวังจงคนนี้ก็กลัวจดหมายอาบยาพิษเหมือนกันนะขอรับ

ชายชราได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจขณะเปิดซองจดหมายออก

หลังจากนั้น แสงสว่างสีดำแดงก็พวยพุ่งออกมาจากด้านในซองจดหมาย

ปรากฏภาพจำลองของบุรุษร่างอ้วนในชุดนอนผู้หนึ่งกำลังยิ้มแย้มอยู่เหนือซองจดหมายฉบับนั้น

“หลินเป่ยเฉิน บ่ายวันนี้ในพื้นที่เขตสี่ ขอให้เจ้ามาพบเจอกับข้าผู้เป็นเจ้าเมืองเจาฮุย ณ ตำหนักต้าหลง”

“ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธคำเชิญนี้เด็ดขาด”

“เพราะคนแซ่ไต้ที่เจ้ากำลังตามหาตัว คือแขกคนพิเศษในตำหนักของข้า”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

แล้วชายอ้วนก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

จากนั้นภาพจำลองก็จางหายไป

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว

ตาอ้วนคนนี้อ้างว่าตัวเองเป็นท่านเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ…

หรือว่านี่จะเป็นเหลียงหยวนเตา ซึ่งกินตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเฟิงอวี่ควบกับตำแหน่งผู้ว่าการประจำเมืองเจาฮุย?

มิหนำซ้ำ ไต้จือฉุนซึ่งหายหน้าหายตาไปไม่มีผู้ใดพบเจอ กลับกลายเป็นแขกในตำหนักของท่านเจ้าเมืองไปเสียอย่างนั้น?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกถึงความเป็นศัตรูขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

เอ่อ…

แต่ถ้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว จะบอกว่าไม่มีเหตุผลก็คงไม่ได้

ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้เขาเคยมีเรื่องกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง และหลินเป่ยเฉินก็ยังได้ทำลายอัณฑะของเจ้าหมอนั่นแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

หรือนี่จะเป็นการแก้แค้นจากท่านเจ้าเมือง?

น่าอนาถเหลือเกิน

สู้ไม่ได้แล้วกลับไปฟ้องพ่อนี่หว่า

แม้หลินเป่ยเฉินจะไม่เคยพบเจอตัวจริงของท่านผู้ว่าการเมืองคนนี้มาก่อน และเขาก็ไม่มีอะไรให้ไปข้องเกี่ยวกับฝ่ายนั้นด้วย แต่เมื่อเห็นภาพจำลองของท่านเจ้าเมืองแล้ว หลินเป่ยเฉินผู้ดูอนิเมะมาหลายร้อยเรื่องบนโลกมนุษย์ ก็สามารถบอกได้เลยว่าชายอ้วนที่มีอำนาจมากมายมหาศาลในมือเช่นนี้…

ไม่ใช่คนดีแน่นอน

นอกจากนั้น ระหว่างที่อาศัยอยู่ในนครเจาฮุย นอกจากพวกของโค้วจง เหลียงซือเฉินและเฉียนซานเซิ่งแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่เคยเจอพวกขุนนางระดับรองหัวหน้ามาก่อน ถ้าเป็นในพล็อตนิยายทั่วไป บุคคลที่เขาต้องเผชิญต่อจากนี้ ก็สมควรเป็นรองหัวหน้าก่อนสิถึงจะมีเหตุผล

แล้วทำไมถึงกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ไปได้ล่ะ

ชักน่าสนใจแล้วสิ

ดูเหมือนว่าโอกาสที่เขาจะได้อัปเดตโทรศัพท์มือถือคงมาถึงแล้วสินะ

หืม?

พูดถึงเฉียนซานเซิ่งแล้ว ไม่รู้เหมือนกันนะว่าการติดต่อขอขยายพื้นที่สำหรับการสร้างสถานศึกษาของพวกเขาไปถึงไหนแล้ว

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาว่า “เจ้าไปถามคุณชายฉุยด้วยนะว่า เรื่องการขอขยายพื้นที่ในขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากกระโจม พร้อมกับออกคำสั่ง “บอกให้กงกงเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้… อย่าลืมให้พาอากวงมาด้วย”

หวังจงสอบถามว่า “นายน้อยอยากให้แจ้งเรื่องนี้ต่อแม่ทัพเกาไหมขอรับ?”

พ่อบ้านชราสัมผัสได้ว่าคำเชิญของท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนไม่ได้มีเจตนาดีเป็นแน่แท้

หลินเป่ยเฉินโบกมือให้คำตอบ “ไม่จำเป็น… ไปบอกให้กงกงเตรียมรถม้าก็พอ อย่าลืมนำตัวอากวงมาด้วย แล้วก็บอกให้พวกอาจารย์ฉู่เตรียมตัวไปรับพี่ไต้กับข้าในพื้นที่เมืองเขตสาม”

เด็กหนุ่มยังไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเกาเฉิงฮั่นจะเลือกอยู่ฝ่ายไหนกันแน่

เหลียงหยวนเตามีตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล

ถ้าจะให้ไปขอความช่วยเหลือจากเกาเฉิงฮั่น สู้เขาไปขอความช่วยเหลือจาก ‘เยว่เว่ยหยาง’ ยังจะดีกว่า

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจไปตามคำเชิญของท่านเจ้าเมืองร่างอ้วน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง

ถ้าเกิดพบเจออันตรายขึ้นมา

เขายังมีเทพีกระบี่หิมะไร้นามให้ขอความช่วยเหลืออยู่ทั้งคน

ท้องฟ้ายามบ่ายมีเมฆปกคลุม

ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 คือ 36

รถม้าเคลื่อนที่ออกจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง และมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่เมืองเขตสาม

คราวนี้หลินเป่ยเฉินไม่ได้นำตัวเฉียนเหมยมาด้วย

กงกงควบคุมรถม้าเพียงคนเดียว

ในเวลาเดียวกันนี้

ณ สถาบันกระบี่ที่ 16 ประจำนครเจาฮุย

“ศิษย์น้องเยว่ ข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้ามาก หวังว่าเจ้าคงยอมรับความรักจากข้าเสียที”

เด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ถือช่อดอกไม้สีแดงสดอยู่ในมือ รอบกายมีพรรคพวกเพื่อนฝูงส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ ในขณะนี้ เด็กหนุ่มขยับมายืนขวางทางเยว่หงเซียง ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักและลุ่มหลง