ตอนที่ 659 ค่ายกลแสงดารา

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 659 ค่ายกลแสงดารา โดย Ink Stone_Fantasy

ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงนำแผ่นป้ายออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโบกไปยังชั้นจำกัดบนกล่องหยก

แสงสีเขียวเปล่งประกายบนป้าย แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งยิงออกไป

ชั้นจำกัดสีเทาสลัวๆ บนกล่องหยกหายไปในพริบตา ขณะเดียวกัน ฝากล่องก็ค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่วางอยู่ด้านใน

ผลึกหินสีทองอร่ามขนาดเท่ากำปั้นที่มีรูขรุขระอยู่บนพื้นผิวถูกวางอยู่ในนั้น

หลิ่วหมิงหยิบผลึกหินขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พอกำไว้ในมือก็รู้สึกเย็นเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

มืออีกข้างก็ใช้ปลายนิ้วดีดปราณกระบี่อันแหลมคมออกไป แต่พอมันปะทะลงบนผลึกหิน ก็จมหายเข้าไปในนั้นราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

ผลึกหินสีทองดูดซับปรานกระบี่สายนี้ไป จากนั้นแสงสีทองบนตัวก็เปล่งประกายมากกว่าก่อนหน้านั้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้แล้ว ถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในกล่องหยก และใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วนบนมือ

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ใช้จิตกวาดดูป้ายประจำตัวบนเอวอีกครั้ง พอค้นพบว่าในนั้นเหลือแต้มคุณูปการหนึ่งหมื่นกว่าแต้ม ก็ได้ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

แม้ว่าครั้งนี้จะใช้แต้มคุณูปการไปเกือบหมด แต่ได้วัสดุหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณมาอย่างราบรื่นเช่นนี้ ในใจเขายังคงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

ต่อมา หลิ่วหมิงออกจากห้องโถงแห่งนี้โดยผ่านค่ายกล และออกจากวิหารไท่เจินไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังตลาดในนิกายทันที

ขณะนี้ เขาได้วัสดุหลักในการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณมาแล้ว ที่เหลือก็คือวัสดุเสริมที่ค่อนข้างธรรมดากับสิ่งของที่ใช้ในการวางค่ายกลแสงดาราจำนวนหนึ่ง

สองชั่วยามผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกมาจากตลาดนั้น ในแหวนย่อส่วนของเขาก็มีวัสดุเสริมที่ใช้ในการหลอมตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งเตรียมเรียบร้อยไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว

ค่ายกลแสงดาราไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรในนิกายยอดบริสุทธิ์ นอกจากหลอมตัวอ่อนกระบี่แล้ว ภายในนิกายยังมีสำนักที่ฝึกฝนพลังแสงดารา หรือปรุงโอสถแสงดาราอยู่

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้สองแสนกว่าหินจิตวิญญาณซื้อเครื่องมือวางค่ายกลชุดหนึ่งจากร้านค้าที่ขายเครื่องมือประเภทค่ายกลโดยเฉพาะ

ส่วนจะวางอย่างไรนั้น ในใจหลิ่วหมิงกลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

เพราะตนเองไม่เชี่ยวชาญสายค่ายกล ทำได้แค่วางค่ายกลชั่วคราวแบบง่ายๆ เท่านั้น

นอกจากค่ายกลแสงดาราจะไม่สามารถวางได้โดยง่ายแล้ว ที่สำคัญคือการเลือกจังหวะเวลาและสถานที่

แม้จะบอกว่าในคัมภีร์ที่หลิ่วหมิงพลิกอ่านในตอนนั้น มีบันทึกวิธีคำนวณตำแหน่งของดวงดาวอย่างละเอียด เพื่อหาสถานที่และเวลาที่ดีที่สุดในการวางค่ายกล จะได้ดึงดูดพลังของแสงดารามาให้ได้มากที่สุด แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเข้าใจได้ง่ายอย่างรวดเร็ว ไม่สู้ใช้หินจิตวิญญาณหรือแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งไปเชิญศิษย์ที่เชี่ยวชาญค่ายกลมาช่วยง่ายกว่ากันเยอะ

หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้ว ก็ทำท่ามือขี่เมฆไปทางหอลี้ลับทันที

ไม่นาน ภายในหอลี้ลับ หลิ่วหมิงกำลังสนทนาอยู่กับศิษย์ดำเนินการที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่ง

“ข้าอยากประกาศภารกิจอย่างหนึ่ง ส่วนทางด้านขบวนการนั้น ต้องขอคำชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวกับศิษย์ดำเนินการ

“อ๋อ! ศิษย์พี่เพียงแค่บอกรายละเอียดของภารกิจให้ข้า รวมถึงเวลา สถานที่และเรื่องที่ต้องทำด้วย และมอบรางวัลในการทำภารกิจให้ทางหอเรา พวกเราจะมอบรางวัลให้ผู้ที่ทำภารกิจสำเร็จเอง หากเกินหนึ่งเดือนแล้วยังไม่มีคนมารับภารกิจ พวกเราจะคืนของรางวัลให้กับท่าน แต่ว่าจะไม่คืนค่าธรรมเนียมให้” ศิษย์ดำเนินการค่อยๆ อธิบายออกมา

“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนศิษย์น้องแล้ว ข้าอยากเชิญศิษย์ที่เชี่ยวชาญค่ายกลผู้หนึ่งมาวางค่ายกลที่สามารถดึงดูดพลังของแสงดาราได้ ซึ่งเครื่องมือนั้นข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ส่วนรางวัล……แต้มคุณูปการหกพันแต้มบวกกับสองหมื่นหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

หากเป็นค่ายกลธรรมดา คาดว่าคงใช้แต้มคุณูปการมากสุดพันแต้ม หรือหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณก็สามารถเชิญคนมาได้แล้ว

แต่ว่าค่ายกลแสงดาราค่อนข้างพิเศษ แม้จะไม่นับว่าลึกซึ้งมากนัก แต่ศิษย์ที่ศึกษาทางด้านนี้ก็มีอยู่ไม่มาก อีกอย่างมีแต่ผู้ที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญการคำนวณดวงดาวเท่านั้น ถึงจะใช้ค่ายกลแสงดาราได้อย่างแม่นยำ หากว่าค่าตอบแทนไม่พอล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีคนยอมรับภารกิจนี้

อีกอย่าง ตอนนี้เขาค่อนข้างเร่งเวลา ดังนั้นย่อมยอมเสียแต้มคุณูปการเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากสักครั้ง

ภายใต้การแนะนำของศิษย์ดำเนินการ หลังจากหลิ่วหมิงชำระแต้มคุณูปการกับจิตวิญญาณแล้ว ก็มองป้ายในของหอลี้ลับทีหนึ่ง ค้นพบว่าภารกิจที่ตนเองประกาศอยู่บนแถวที่สาม บรรทัดที่หก

 มองกลับไปยังบรรทัดที่ห้าของแถวที่สามส่วนมากเป็นภารกิจร่วมสังหารปีศาจอสูรระดับสูงจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ค้นหาวัสดุล้ำค่า ซึ่งแต้มคุณูปการกับหินจิตวิญญาณที่เป็นรางวัล ก็น้อยกว่าของหลิ่วหมิงมาก

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าพอใจในทันที จากนั้นก็หมุนตัวออกไปจากหอลี้ลับ และขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก

หลังกลับไปถึงถ้ำที่พัก เขาก็ตรงเข้าไปในห้องลับทันที ด้านหนึ่งทำความเข้าใจ และคลำหาวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ ด้านหนึ่งก็รอคอยอย่างเงียบๆ

ผ่านไปแค่สองวัน เขาก็ได้รับข่าวจากทางหอลี้ลับว่า มีคนรับภารกิจของเขาแล้ว ทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้

บ่ายวันนั้นมีลำแสงสีทองพุ่งเข้ามา และมาปรากฏตรงหน้าถ้ำที่พักของเขา จากนั้นก็เผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดคลุมสีทองผู้หนึ่ง

พอหลิ่วหมิงที่อยู่ภายในห้องลับ รับรู้ว่ามีคนมา ก็รีบเดินไปที่ประตูทันที พอเห็นคนที่อยู่นอกถ้ำกลับต้องหลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้

“เป็นเจ้า”

ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้านี้คุ้นหน้าเล็กน้อย ซึ่งเขาก็คือจินเทียนชื่อ ชายหนุ่มลึกลับที่ดูโดดเด่นในการงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

และพอเขาใช้จิตกวาดดูกลับค้นพบว่าชายหนุ่มยังคงมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย ราวกับว่าสิบกว่าปีมานี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

“เฮ่อๆ! ไม่เจอกันสิบกว่าปี พี่หลิ่วเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ได้ยินมาว่าก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วไม่เพียงแต่กล้าบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกจนเป็นศิษย์สายในได้ ทั้งยังเข้าสู่ระดับผลึกด้วยสามชีพจรจิตวิญญาณด้วย จุ๊ๆ! ตอนนี้ทั้งสายในและสายนอกต่างก็รู้เรื่องนี้” จินชื่อหยางหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

“พี่จินกล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! ที่พี่จินมาในวันนี้หรือเป็นเพราะว่า…” หลิ่วหมิงเก็บสีหน้าประหลาดใจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดอย่างนอบน้อมไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“ไม่ผิด! ภารกิจที่พี่หลิ่วประกาศออกมาข้าเป็นคนรับเอง ดังนั้นข้าจึงมาโดยไม่ได้บอก” จินเทียนชื่อกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ที่แท้พี่จินยังเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าไปคุยเรื่องค่ายกลกันภายในถ้ำเถอะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็รีบทำท่าเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน

จินเทียนชื่อก็เดินตามหลิ่วหมิงไปด้วยรอยยิ้ม

ไม่นาน ทั้งสองก็นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะหินภายในห้องโถง

“พี่จิน ข้าต้อนรับไม่ดีโปรดให้อภัยด้วย” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะจินเทียนชื่อ และกล่าวอย่างถ่อมตน

ปกติเขาเอาแต่ฝึกฝน ในถ้ำไม่มีชาจิตวิญญาณเตรียมไว้เลยแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกเคอะเขินขึ้นมา

“ฮ่าๆ! พี่หลิ่วใยต้องเกรงใจเช่นนี้ พวกเราเข้าสู่หัวข้อหลักเลยดีกว่า” จินเทียนชื่อโบกมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อเช้าข้าได้รับข่าวจากหอลี้ลับว่ามีคนรับภารกิจที่ประกาศไปแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่จิน” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วกล่าว

“บอกพี่หลิ่วอย่างไม่ปิดบัง เคล็ดวิชาบางอย่างที่ข้าน้อยฝึกฝนนั้น ก็จำเป็นต้องยืมใช้พลังของดวงดาวเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ศึกษาเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะ หากครั้งนี้ท่านกับข้าร่วมมือกันล่ะก็ เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวพอดี พี่หลิ่วก็ไม่ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการให้ข้า เพียงแค่หลังจากใช้ค่ายกลนี้เสร็จแล้ว ก็ให้ข้าใช้สักรอบก็พอแล้ว” จินเทียนชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าแค่อาศัยพลังของแสงดารามาหลอมสิ่งของบางอย่างเท่านั้น ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ ย่อมให้พี่จินใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

เดิมทีเขากังวลเล็กน้อยว่าจะหาคนที่เหมาะสมได้ยากในเวลาอันสั้นเกินไป เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่จะสำเร็จเรื่องของตัวเอง แต่ยังประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่างด้วย ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

“ดี! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หลิ่วก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เรื่องราวไม่อาจชักช้าได้ ตอนนี้พวกเราไปเลือกหาสถานที่เหมาะสมสำหรับวางค่ายกลเลยดีหรือไม่?” จินเทียนชื่อได้ยินก็ตบมือหัวเราะเป็นการใหญ่ และลุกขึ้นมากล่าว

“ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้พอดี!” หลิ่วหมิงตอบรับอย่างไม่ลังเล

ทั้งสองพูดตกลงกันได้ในทันที จากนั้นก็เดินไปนอกถ้ำที่พัก

บนพื้นว่างเปล่านอกถ้ำที่พัก จินเทียนชื่อสะบัดแขนเสื้อนำแผ่นค่ายกลขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ ออกมา และปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกัน ก็ทำท่ามือคิดคำนวณไปหนึ่งรอบ จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนร่างเขาไว้ และพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรมาก เขาปล่อยกระบี่เล็กสีเขียวออกมาเช่นกัน จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งตามไป

เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสม ทั้งสองหาในเทือกเขาหมื่นวิญญาณนานถึงสามสี่วัน จนดูเหมือนว่าทั่วทั้งเทือกเขาจะถูกทั้งสองวนไปหนึ่งรอบ

สุดท้าย เที่ยงวันนี้ทั้งสองก็มาถึงเหนือเขาลูกเล็กๆ ภายในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่ดูรกร้างว่างเปล่ามาก ในที่สุดแผ่นค่ายกลบนมือจินเทียนชื่อก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ

“ดี! ในที่สุดข้าก็หาพบ!” จินเทียนชื่อมีสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นแสงสีทองรอบตัวก็ดับลง และร่อนลงไปด้านล่าง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเช่นกัน จากนั้นแสงสีเขียวก็กะพริบลงไปด้านล่าง ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าการหาสถานที่วางค่ายกลที่เหมาะสมจะยากถึงเพียงนี้ ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก

ขณะนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงพอดี อาทิตย์ร้อนแรงอยู่ตรงศีรษะ หลังจากจินเทียนชื่อสำรวจดูรอบด้านทีหนึ่งแล้ว ก็พูดกับหลิ่วหมิงอย่าง่ายๆ ไม่กี่ประโยค และบอกว่าต้องวางค่ายกลแสงดาราในเวลากลางคืน

หลิ่วหมิงได้ยินก็นำธงเล็กสีทองสามสิบหกอันที่เป็นเครื่องมือวางค่ายกลหนึ่งชุดให้กับฝ่ายตรงข้าม ส่วนตนเองก็ไปหาพื้นที่ว่างนั่งขัดสมาธิลงไป และหลับตาพักผ่อน

จินเทียนชื่อย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขาไปหาพื้นที่ว่างแล้วนั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน

หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อตะวันตกดิน แสงจันทราสาดส่องเข้ามาบนเขา กลุ่มดวงดาราก็เริ่มปกคลุมเต็มท้องฟ้า จินเทียนชื่อที่อยู่อีกมุมหนึ่งลืมตาทั้งคู่และลุกขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มีแสงเปล่งประกายในมือ จากนั้นแผ่นค่ายกลก็ปรากฏออกมา ตอนนี้เขาเริ่มเตรียมวางค่ายกลแล้ว

………………………………