ตอนที่ 660 หลอม โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขาย่อมลุกขึ้นมายืนสังเกตดูอย่างเงียบๆ

จะเห็นว่าจินเทียนชื่อถือแผ่นค่ายกลเดินวนพื้นที่ว่างเปล่าไปหลายรอบ และเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับร่ายคาถาออกมา

ไม่นานเขาก็หยิบพู่กันหยกออกมาด้ามหนึ่ง และเริ่มวาดภาพบนพื้น

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองถึงสร้างสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อนอย่างถึงขีดสุดออกมาได้อันหนึ่ง พอมองลงไปจะเห็นว่ามันดูล้ำลึกมาก ทั้งยังดูไม่คล้ายอักขระ และไม่เหมือนสัญลักษณ์ด้วย

พอจินเทียนชื่อยกแขนเสื้อขึ้น ธงเล็กสีทองอันหนึ่งก็พุ่งออกมา และปักลงบนสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้น

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ถือแผ่นค่ายกลไปยังพื้นที่อีกแห่งที่อยู่ไม่ไกล และใช้ปากกาหยกวาดต่อ

หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าเข้าใจขึ้นมา

ที่แท้ธงเล็กสีทองแต่ละอัน ต่างก็ตอบสนองต่อสัญลักษณ์บนพื้นแต่ละอัน และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสัญลักษณ์แต่ละอันต่างก็ไม่เหมือนกัน

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน จินเทียนชื่อถึงวางค่ายกลทั้งหลังเสร็จ

เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้ หลังจากธงเล็กสีทองสามสิบหกอัน ตอบสนองตำแหน่งสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกของค่ายกลแล้ว มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลยักษ์หลังหนึ่งพอดี

ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนพอดี ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยิบระยับ จะได้ลองกระตุ้นค่ายกลดูว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่

หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด

จินเทียนชื่อลุกไปยืนข้างค่ายกลทันที มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด พลังเวทหลายสายค่อยๆ จมลงไปในธงค่ายกลทั้งสามสิบหก

“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน

สัญลักษณ์แต่ละอันค่อยๆ เปล่งแสงออกมา ไม่นานสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกก็ถูกจินเทียนชื่อทำให้สว่างขึ้นมาจนหมด

ขณะเดียวกัน มือทั้งสองของจินเทียนชื่อก็ทำท่ามืออยู่ตรงหน้าอก จากนั้นก็ชี้ขึ้นฟ้า และร่ายคาถาออกมา

หลังจากธงค่ายกลทั้งสามสิบหกเปล่งแสงออกมา มันก็ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง ขณะเดียวกัน สัญลักษณ์ที่อยู่รอบด้านก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงแหลมดังตรงกลางค่ายกล ลำแสงสีทองสลัวๆ พุ่งขึ้นฟ้า และกะพริบหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ขณะนี้ จินเทียนชื่อค่อยๆ เดินไปรอบๆ ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ปากของเขาร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง และชี้มือไปกลางอากาศอยู่ไม่หยุด

ฉากอันน่าแปลกใจได้เกิดขึ้นแล้ว!

จะเห็นว่าธงยักษ์สามสิบหกอันที่อยู่ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เริ่มสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าอยู่ภายใต้แรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองก็ชี้ไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด และแสงดาราก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา จากนั้นก็พากันร่วงลงมาราวกับว่าถูกพลังบางอย่างดึงดูด และถูกดูดเข้าไปในค่ายกลอย่างแม่นยำ

ไม่นาน ค่ายกลใต้เท้าจินเทียนชื่อก็เปล่งแสงแวววาวอยู่ไม่หยุด พอมองไกลๆ ทำให้เห็นราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางดวงดาว

หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

สถานที่แห่งนี้ก็ได้เลือกแล้ว ค่ายกลนี้ก็ได้ดูดพลังของดวงดาวมาแล้ว แต่ดูจากแสงที่เปล่งออกมาเหล่านี้ ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของมันไม่เหมือนกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์

“พี่หลิ่ว ดูท่าค่ายกลแสงดาราคงจะวางเช่นนี้ไม่มีผิด แต่เวลาในวันนี้มันไม่ใช่ ดังนั้นพลังที่ดึงดูดมาจึงมีไม่มาก พลังดวงดาวแค่นี้ไม่อาจช่วยท่านหลอมกระบี่บินได้” ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั้น จินเทียนชื่อก็เอ่ยปากออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจในฉับพลัน

“ข้ารู้วิชาโหราศาสตร์เล็กน้อย สามารถคาดเดาได้ว่าพลังของดวงดาวมีความแข็งแกร่งเมื่อใด พี่หลิ่วโปรดรอสักครู่”

พอกล่าวจบ จินเทียนชื่อก็เก็บแผ่นค่ายกลบนมือ และสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแผ่นค่ายกลแปลกประหลาดสีฟ้าแวววาวก็ถูกโยนไปกลางอากาศเบาๆ

เขาปล่อยพลังเวทใส่เข้าไปติดต่อกัน แผ่นค่ายกลขนาดฉื่อกว่าๆ หมุนติ้วๆ กลางอากาศ ทันใดนั้น แสงดาราเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาบนนั้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงตาที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้า

จินเทียนชื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มือของเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ปากก็ร่ายคาถาออกมาราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาถึงสะบัดแขนเสื้อเก็บแผ่นค่ายกลกลางอากาศด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง

“พี่หลิ่ว หลังจากข้าคำนวณดูแล้ว อีกครึ่งปีให้หลังถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในหนึ่งปี ซึ่งเป็นเวลาที่ค่ายกลนี้สามารถดูดพลังแสงดาราได้มากที่สุด”

“ครึ่งปี?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้

แต่คัมภีร์ในก่อนหน้านั้นเคยกล่าวถึงอยู่ว่า พลังมากน้อยของแสงดารามีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ พลังแสงดารายิ่งมาก ร่างตัวอ่อนกระบี่ก็ยิ่งแสดงอานุภาพได้มาก

“เอาเถอะ! ครึ่งปีก็ครึ่งปี พอถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนพี่จินแล้ว” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าออกมา

เวลาต่อมา จินเทียนชื่อแสดงท่าทีเต็มใจที่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันการถูกคนอื่นครอบครอง และจะได้ตรวจสอบการโคจรของดวงดาวอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดในระหว่างเวลานี้

หลิ่วหมิงย่อมไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ หลังจากพูดจาอย่างสุภาพไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ทำท่าเคล็ดกระบี่ และเหยียบกระบี่เล็กสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก

สำหรับเขาแล้ว เลื่อนเวลาออกไปครึ่งปีก็ดีเหมือนกัน จะได้อาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปในแดนมายา จำลองพลังแสงดาราในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่

หลังกลับถึงถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงก็เดินตรงเข้าไปในห้องลับทันที และนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะสีเหลืองกลมๆ ตรงกลางห้อง

จากนั้นก็ปล่อยจิตกวาดดูแหวนย่อส่วน หลังจากมั่นใจว่าวัสดุสำหรับหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ยังอยู่ครบแล้ว เขาก็ค่อยๆ ใส่พลังเวทเข้าไปในแผ่นศิลาหุนเทียนตรงทะเลจิตรับรู้ หลังจากมีเสียงดังหวึ่งข้างหู เขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง และมองเห็นหลัวโหวนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ศิลาหุนเทียน

“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปคารวะ

“ครั้งนี้เจ้าจะเข้าแดนมายาจำลองพลังแสงดาราเพื่อหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ล่ะสิ!” หลัวโหวลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และถามอย่างราบเรียบ

“ถูกต้อง ขอผู้อาวุโสแสดงวิชาด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม

หลัวโหวได้ยินก็พยักหน้า พอยกมือข้างหนึ่ง พลังเวทสายหนึ่งก็จมลงไปในดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียน

หลังจากแสงจิตวิญญาณเปล่งประกายบนดวงตามายาปีศาจแล้ว มันก็กลับมาสงบดังเดิม

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เอานิ้วแตะหน้าผากกระตุ้นหนอนพลังจิตให้ปล่อยพลังจิตใส่ศิลาหุนเทียนตรงหน้า

หลังจากดวงตามายาปีศาจดูดซับพลังจิตเพียงพอแล้ว ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าภาพรอบด้านพร่ามัว จากนั้นร่างของเขาก็มาอยู่ในคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาว สภาพแวดล้อมรอบด้านเป็นสีดำพร่ามัวไปทั้งแถบ แต่ใต้เท้าของเขากลับเป็นค่ายกลเหมือนกับที่จินเทียนชื่อวางไว้ไม่มีผิด

ขณะนี้ อักขระสามสิบหกตัวกำลังเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด บริเวณรอบๆ มีแสงดาราขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารลอยอยู่ เทียบกับที่จินเทียนชื่อดูดมาในก่อนหน้านั้นแล้ว ความเข้มข้นของมันสูงกว่าหลายเท่า คิดว่าคงจะพอๆ กับสถานการณ์ในครึ่งปีให้หลัง

“การจำลองของดวงตามายาปีศาจนี้เหมือนจริงมาก!” หลิ่วหมิงขยับแขนคว้าแสงดาราบริเวณนั้นมาไว้ในมือ จากนั้นก็คลายนิ้วออกก่อนพูดพึมพำออกมา

เขานั่งขัดสมาธิลง และหยิบวัสดุเสริมที่จำเป็นในการหลอมออกมากองหนึ่ง พร้อมกับกล่องหยกแวววาวหนึ่งใบ

สิ่งที่อยู่ในกล่องหยกคือแก่นทองคำอุกกาบาตก้อนนั้น

หลิ่วหมิงเปิดฝาออก และเพ่งมองผลึกหินสีทองอร่ามก้อนนั้น หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ตบก้นกล่องเบาๆ

“ฟู่!”

แก่นทองคำอุกกาบาตพุ่งออกจากกล่อง และลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขา

ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง แสงดาราเป็นจุดๆ ที่อยู่รอบด้านรวมตัวเข้าด้วยกันทันที และกลายเป็นไอหมอกสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งในระหว่างมือของเขา

ขณะที่แสงดารายิ่งรวมตัวกันมากขึ้น ไอหมอกสีขาวก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่มันมีขนาดเท่าศีรษะนั้น นิ้วมือของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ

ไอหมอกสีขาวกลายเป็นกลุ่มเปลวไฟสีขาวอันคุโชน แต่อากาศรอบด้านกลับเย็นเยือกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าไม่มีอุณหภูมิเลยแม้แต่น้อย

พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น แก่นทองคำอุกกาบาตก็กะพริบเข้าไปท่ามกลางเปลวไฟสีขาว

แก่นทองคำอุกกาบาตที่เดิมทีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ กลับค่อยๆ ละลายตัวท่ามกลางเปลวไฟสีขาวที่ห่อหุ้ม

“นี่คือพลังแสงดารา ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทอยู่ไม่หยุด

ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม แก่นทองคำอุกกาบาตก็ถูกหลอมจนกลายเป็นผลึกแวววาวเหมือนน้ำ บนพื้นผิวยังมีสิ่งแปลกปลอมเล็กๆ ปะปนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นขี้เถ้าท่ามกลางเปลวไฟสีขาวทันที จากนั้นก็สลายไปในอากาศ

หนึ่งชั่วยามต่อมา แก่นทองคำอุกกาบาตก็ไม่มีสิ่งใดปะปนอีก และกลายเป็นกลุ่มของเหลวสีทองขนาดเท่ากำปั้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง มือข้างหนึ่งตบลงพื้นเบาๆ ลมเบาๆ ม้วนเอาวัสดุเสริมอื่นๆ ขึ้นมา และค่อยๆ ใส่ลงไปในเปลวไฟสีขาว

จากนั้นเขาก็ทำท่ามืออีกครั้ง และแสงดาราก็พุ่งไปยังเปลวไฟสีขาว ทันใดนั้นกำลังไฟก็ลุกไหม้แรงกว่าเดิมเล็กน้อย

วัสดุเสริมเหล่านี้หลอมละลายท่ามกลางเปลวไฟสีขาว เพียงแค่พริบตาเดียวก็กลายเป็นของเหลวกึ่งโปร่งใส

ขณะนี้เขาขยับนิ้วเล็กน้อย พอของเหลวสีทองที่อยู่ด้านบนร่วงลงมา ทั้งสองก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสีทองจางๆ

“แข็งตัว!”

หลิ่วหมิงตะโกนออกมาเบาๆ และชี้นิ้วไปกลางอากาศ

เปลวไฟสีขาวห่อหุ้มของเหลวสีทองจางๆ ไว้ๆ อย่างแน่นหนา

นิ้วทั้งสิบดีดออกไปราวกับล้อรถ เขาไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมผิดปกติ

หนึ่งชั่วยามต่อมา แสงสีทองแต่ละลำก็พุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว

“ตู๊ม!”

เปลวไฟสีขาวระเบิดออกมาในพริบตา วัตถุสีทองร่วงลงมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หยุดทำท่ามือ และส่ายหน้าเบาๆ

เห็นได้ชัดว่าการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ในครั้งแรกล้มเหลว แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้ว

เขาหลับตาทั้งคู่ลงในทันที พอมีเสียงดังหวึ่งข้างหู เขาก็ออกมาจากแดนมายา พริบตาเดียวก็ไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับ และมาปรากฏตัวในถ้ำที่พักอีกครั้ง

ก่อนหน้านั้นเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่จากคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวางแผนในหัวไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง คิดไม่ถึงว่าตอนปฏิบัติจะยังคงล้มเหลวเช่นนี้

ดูท่าไม่ว่าจะเป็นการควบคุมความร้อน การยึดกุมเวลา ต่างก็ต้องทดลองซ้ำๆ ถึงจะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะได้รับประกันการหลอมสำเร็จในทีเดียว

เพราะแก่นทองคำอุกกาบาตมีแค่ก้อนเดียว หากล้มเหลวล่ะก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด

เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งกับหนอนพลังจิต เข้าไปจำลองพลังค่ายกลแสงดาราในแดนมายา เพื่อทำการฝึกฝนทักษะการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่อยู่ไม่หยุด

………………………………