ตอนที่ 1355 ฉากที่สอง โดย Ink Stone_Fantasy
ลำแสงที่จับตัวกันกระจายหายไปทันที
ภายใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามาอีกครั้ง มือที่ไร้รูปร่างของเทวทูตที่จับซีโร่อ่อนยวบยาบและบิดเบี้ยวเหมือนกับโฟมสบู่ ลำแสงที่เจิดจ้าส่งลงมาจากท้องฟ้าและเข้ามาแทนที่แสงสีเงินอ่อนๆ ที่สาวน้อยใช้ป้องกันตัวเอง เมื่อไม่มีการแทรกแซงจากพระเจ้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงร่างจิตสำนึกที่เพิ่งตื่นรู้ มันก็ไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ แล้ว
ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกสองคนพุ่งเข้ามาในพื้นที่ที่ถูกปิดตาย
มันมองไม่เห็นยิปซีรอน แต่มันกลับเห็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่มันต้องทำลาย
นั่นก็คือผู้สร้างหลักของโลกนี้ โรแลนด์
เดลต้าเหวี่ยงมืออกไปโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
แต่การโจมตีนี้กลับไม่ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ยังไม่ทันจะได้สัมผัสถูกเขา พลังของมันก็หายไปจนหมด ราวกับว่ามันไม่เคยมีพลังนี้อยู่ก่อน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การกระโดดพุ่งเข้าไปจากระยะทางหลายร้อยเมตรนั้นใช้เวลาแค่เพียงชั่วพริบตา เดลต้ายังไม่ทันจะทำการตอบสนองออกมา โรแลนด์ก็พุ่งเข้ามาบดขยี้หน้ากากของมันจนเป็นชิ้นๆ จากนั้นจึงยื่นมือไปคว้าจับวงแหวนดวงดาวเอาไว้
ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร มันก็ไม่สามารถสลัดหลุดฝ่ามือของอีกฝ่ายไปได้ ถ้าพลังของมันจะลดลงอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าซีโร่ อย่างนั้นพลังของมันก็แทบจะไร้ประโยชน์ไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าโรแลนด์
“นี่มันไม่ยุติธรรม!”
จิตสำนึกของมันหลุดลอยออกไปพร้อมกับวงแหวนดวงดาวที่ถูกดึงออกไป
ส่วนโรแลนด์นั้นไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดเวทมนตร์หรือว่าศัตรูที่มาจากการกัดกินเหล่านี้ จุดตายของพวกมันก็ล้วนแต่อยู่ที่วงแหวนดวงดาวที่หมุนวนอยู่ในร่างกาย ขอเพียงดึงมันออกมา พวกมันก็จะสลายตัวหายไปเหมือนกับหิมะที่ละลายหายไปเมื่อต้องแสงตะวัน
พลังในร่างกายของโรแลนด์กำลังกู่ร้องแสดงความยินดี
จนกระทั่งถึงตอนนี้ โรแลนด์ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
หลังแยกจากวัลคีรีย์ได้ไม่ถึงครึ่งนาที เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเฟยอวี่หาน เพียงแต่ในสายเข้าไม่ได้ยินเสียงพูดใดๆ เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์จะมีก็แต่เสียงปะทะและเสียงเสียดสีที่ดังแสบแก้วหู ในตอนที่สายตัดไป เขาพลันมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตรงชานเมืองผ่านทางลิฟท์แก้ว
ฝาครอบโปร่งแสงรูปทรงประหลาดอันหนึ่งได้ครอบสะพานทางด่วนที่เชื่อมต่อเมืองชั้นในกับเมืองชั้นนอกเอาไว้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เทคโนโลยีในตอนนี้จะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่มันทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ดาราไม่ทันจะได้อธิบายเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นได้ นั่นแสดงว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
หลังเขาขับรถลงไปจอดในลานจอดรถใต้ดิน เขาก็บังเอิญเจอกับวัลคีรีย์ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นพอดี เขาจึงเดินทางมาพร้อมกับอีกฝ่าย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากทำลายฝาครอบนั่นลงแล้ว เขาจะเห็นซีโร่อยู่ในนั้นด้วย
ส่วนคนประหลาดที่ใส่หน้ากากกับสวมเสื้อคลุมยาวนั่นคือหนึ่งในเทวทูตอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เลือกที่จะกำจัดเทวทูตทิ้งอย่างไม่ลังเล สมาคมเฝ้าตามหาเบาะแสของศัตรูที่บุกรุกเข้ามาเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกมันเป็นฝ่ายโผล่หน้าออกมาเช่นนี้ แถมยังคิดที่จะลงมือกับซีโร่ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปแน่
ในวินาทีที่วงแหวนดวงดาวหลุดออกมา ลำแสงอันเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะปกคลุมตัวเขาเอาไว้!
ภาพที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณอาโรแลนด์!”
เมื่อเหลือบมองด้วยหางตา เขามองเห็นซีโร่ที่น้ำตานองหน้า
เขาทำมือบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องกังวล ลำแสงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งทองฟ้ากลืนกินทุกสรรพสิ่งเอาไว้
เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ครั้งนี้อย่างน้อยโรแลนด์ก็เตรียมตัวมาบ้าง เขาไม่ไปต่อต้านจิตสำนึกที่หลั่งไหลเข้ามาเหล่านั้นอีก หากแต่ปล่อยจิตใจไปตามสบาย และรับเอาจิตสำนึกเหล่านั้นเข้ามา
เพราะถึงจะต่อต้านไปมันก็ไม่มีประโยชน์
สู้ผ่อนคลายแล้วทุ่มสมาธิไว้กับจิตสำนึกที่ไหลทะลักเข้ามาดีกว่า
“ซ่า…ซ่า..”
ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเลือนรางไม่ชัดเจน เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไปมาจนกลายเป็นภาพขาวดำ
สิ่งที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับเกล็ดหิมะเหล่านั้นยังมีคำพูดที่แผ่วเบาของมิสต์ประโยคนั้น
‘เมื่อเทียบกับการให้ข้าบอกเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าเข้าใจมันด้วยตัวเองต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง’
….
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ลำแสงค่อยๆ หายไป ในที่สุดเขาก็มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน
นี่มัน…
โรแลนด์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นความว่างเปล่าอันดำมืดที่กว้างสุดลูกหูลูกตามีโพรงสีแดงขนาดยักษ์ลอยอยู่ มันไม่มีความหนา แต่กลับกว้างใหญ่จนน่าตกใจ เมื่อมองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่แล้ว ขนาดของโพรงอันนี้เกรงว่าคงต้องใช้หน่วยดาราศาสตร์มาวัดมันเท่านั้น
ตรงที่ๆ ไกลออกไปมีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายระยิบระยับ พวกมันหลอมรวมเข้ากับเกล็ดหิมะจนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นวัตถุจริงๆ อันไหนเป็นภาพที่เขาคิดไปเอง
ในความทรงจำของโรแลนด์ สิ่งเดียวที่พอจะตรงกับภาพที่เขาเป็นอยู่นี้ คิดไปคิดมาก็เหมือนจะมีอยู่แค่อย่างเดียว
ดำมืดไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแสง ว่างเปล่าไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไร หากแต่เป็นเพราะมันใหญ่เกินไปเท่านั้นเอง
จุดแสงที่ส่องแสงวิบวับๆ ที่คนธรรมดาต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่มีวันนับได้หมดนั้นกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ของมันเท่านั้น
‘จักรวาล’
นี่มันข้ามมาไกล…จนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
โรแลนด์อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
เดิมเขานึกว่าภาพบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ในตำนานที่ได้เห็นไปครั้งแรกมันตกใจมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามุมมองของภาพที่เขาได้เห็นในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่เล็กลง หากแต่ยังขยายใหญ่ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ว่าสมมติว่าภาพที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันเป็นจักรวาลที่เขารู้จักอันนั้นจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกับภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ยังไง? หรือว่าอารยธรรมที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยการอาศัยลำแสงที่พุ่งขึ้นมาจากบอทธ่อมเลสแลนด์จะถูกส่งไปบนอวกาศจริงๆ? แบบนี้การที่ใช้คำว่ายกระดับมันก็เหมาะสมอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่ากัมมันตรังสีหรือมนุษย์ไม้ขีดก็ดูจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกๆ แบบนี้ได้เลย
ในเมื่อเปลวไฟและของมีคมสามารถทำให้พวกมันบาดเจ็บได้ อย่างนั้นก็แสดงว่าความสามารถในการต้านทานอุณหภูมิและแรงดันของมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ามนุษย์เท่าไร แต่ในตอนที่เกิดการ ‘ยกระดับ’ ขึ้น เผ่ากัมมันตรังสีที่ก้าวเข้าไปในลำแสงนั้นเหมือนไม่ได้ทำการเตรียมตัวที่จะขึ้นไปอาศัยอยู่บนอวกาศเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่…ไม่ใช่ เขารีบปฏิเสธการคาดเดานี้ไปทันที การคาดเดาที่พยายามเอาภาพเหตุการณ์ทั้งสองมาเชื่อมโยงกันมันดูฝืนมากเกินไป เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เรื่องที่ว่าเหตุใดพระเจ้าที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายแบบนี้มันก็อธิบายได้ยากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามแห่งโชคชะตาที่ไม่มีวันจบสิ้นหรือว่าเศษสิ้นส่วนที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการได้จริงๆ ก็ล้วนแต่ดูไม่เหมือนว่าถูกเตรียมขึ้นมาเพื่อเหตุการณ์นี้เลย
ที่นี่จะต้องมีความลับอื่นที่ลึกซึ้งมากกว่านี้อยู่แน่
ทันใดนั้นเอง โรแลนด์พลันสังเกตเห็นว่าด้านล่างของโพรงสีแดงมีอะไรกำลังขยับเขยื้อนขึ้นมา
ทัศนวิสัยของเขาเหมือนได้รับอิทธิพลจากความคิด ภาพตรงตำแหน่งที่มีการขยับเขยื้อนขยายใหญ่ขึ้นมา — ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านล่างของโพรงมีเศษหินจำนวนมากลอยกระจัดกระจาย มันเหมือนเศษชิ้นส่วนของดวงดาวที่แตกกระจายออมา แล้วก็เหมือนว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่แต่แรกแล้ว ดูเผินๆ แล้วเหมือนเศษซากที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ด้วยความรู้เท่าที่เขามีอยู่ในตอนนี้ มันเป็นการยากที่เขาจะตัดสินได้ว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้มันมาจากที่ไหน
และเศษหินเหล่านี้เหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงดูดเอาไว้ มันค่อยๆ เคลื่อนที่เข้าหาก้อนหินรูปทรงประหลาดที่อยู่ตรงกลางก่อนจะทับกันเป็นชั้นๆ ขนาดของก้อนหินใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่รับเอาเศษหินใหม่เข้าไปก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่ผิวนอกของมัน ในตอนนี้โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจ ถึงแม้ก้อนหินที่ลอยไปลอยมาเหล่านี้จะดูเหมือนเศษหิน แต่ขนาดของมันเกรงว่าคงไม่ใช่เล็กๆ แน่ ด้วยเหตุนี้การรวมตัวของหินพวกนี้จึงน่าตกตะลึงขนาดนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อไม่มีวัตถุอื่นให้ใช้อ้างอิง เหตุการณ์นี้จึงดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลาที่มันเกิดขึ้นจริงๆ มันคงจะยาวนานจนกระทั่งเขาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังตอกย้ำความคิดนี้อย่างไรอย่างนั้น เกล็ดหิมะเริ่มหนาเเน่นขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว
ท่ามกลางจุดขาวๆ ที่กระจายเต็มไปทั่ว ก้อนหินค่อยๆ กลายสภาพเป็นรูปทรงกลมแปลกๆ จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ จู่ๆ ก็มีผลึกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปรากฏขึ้นมา แล้วค่อยๆ กระจายตัวออกมาจากพื้นผิวของมัน ทุกที่ที่ผลึกกระจายตัวไปล้วนแต่ตกอยู่ในความมืด เหมือนกับมันกำลังกลืนกินวัตถุทรงกลมนั้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะยังมองพอมองเห็นแสงสะท้อนที่สะท้อนออกมา เขาคงจะคิดว่าจู่ๆ ก้อนหินก้อนนั้นได้หายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว
ในตอนที่มันถูกผลึกกลืนกินไปจนหมด ก้อนหินทรงกลมก็ได้จมหายไปในโพรงสีแดงขนาดใหญ่
จากนั้นเกล็ดหิมะก็เข้ามาบดบังจนเต็มเบื้องหน้า
และก่อนที่ทั้งหมดจะจบลง ตัวหนังสือที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาในหัวโรแลนด์
เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขากลับเข้าใจความหมายของมัน
พูดอีกอย่างก็คือนั้นไม่ใช่ตัวหนังสือ หากแต่เป็นการทอดถอนใจที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
‘นับแต่นี้เป็นต้นไป แรงดึงดูดจะไม่ใช่แรงที่น่าบูชาที่สุดในโลกนี้อีกต่อไป’
……………………………………………………………….