ตอนที่ 479 “ฝ่าบาทคิดจะขึ้นไปบนฟ้าแล้ว”

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันขัดถูหมัดของตนเองไปมา “อ้ายย่าห์ ช่วงนี้รู้สึกคันมือคันไม้บ่อยจริงๆ” 

 

 

หยุนโหว “เพิ่ม! เพิ่มค่าตัวอีกสิบเปอร์เซ็นต์ทุกๆตอนเลย!” 

 

 

ค่าตัวของนางคือตอนละสามแสนหยวน สำหรับบทนางร้ายนี้ถือว่าไม่น้อยแล้ว  

 

 

ส่วนซ่งเจียงเสวี่ยเป็นราชินีจอเงินคนใหม่ จึงได้ถึงล้านห้าแสนหยวนต่อตอน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ฉันรู้สึกกระดูกมันก็ขัดๆอยู่นะ ต้องได้เงินเยอะหน่อยถึงจะหาย” 

 

 

หยุนโหวกัดฟันพูดว่า “เพิ่มยี่สิบเปอร์เซ็นต์ …..มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆครับ เจ้หลัน!” 

 

 

เขาเป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ผู้ผลิต บอกให้ขึ้นเงินก็ขึ้นเงินให้ง่ายๆได้อย่างไร 

 

 

ยามปกติ เขายังเคยยักยอกเอาส่วนของพวกนักแสดงมาไว้เองเสียด้วยซ้ำ….. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงขัดถูหมัดต่อไป “ราคาเดียว ไม่มีต่อรอง หนึ่งล้าน น้อยกว่านี้หยวนหนึ่งก็ไม่ได้ มากกว่านี้หยวนหนึ่งก็ไม่ต้องการ” 

 

 

ที่ผ่านมา ทุกการแสดงของเธอล้วนคิดค่าตัวอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด ….. 

 

 

แต่ก่อนนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่โด่งดังที่สุด ก็ไม่เคยขึ้นราคาจนเกินความจริงไป 

 

 

ล้านหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีแล้ว 

 

 

หยุนโหวกัดฟันพยักหน้า 

 

 

เขารู้สึกว่าเธอเป็นผีดูดเลือดแท้ๆ…… เขาคงจะต้องคืนส่วนที่ยักยอกเอาไว้ให้เธอไปทั้งหมด ถึงจะพอโปะค่าตัวตอนละล้านของเธอได้ 

 

 

ด้วยความเกรงกลัวในตัวเธอ…..สุดท้ายเขาจึงยอมตกลงเช่นนี้ 

 

 

ที่จริงซ่งเจียงเสวี่ยก็คิดจะช่วยเหลืออะไรเขาบ้าง แต่ไม่ว่านางจะพูดอะไรออกไป ตู๋กูซิงหลันกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน 

 

 

หยุนโหวจึงถูกข่มขู่จนกลัวหงอไปแล้ว! 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยนั่งลงบนโซฟานุ่มตัวหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาลงกว่าเดิม 

 

 

“ได้ยินมาว่าคุณถูกไล่ออกจากบ้าน ขนาดรถก็ยังต้องขับเณอรี่QQเก่าๆคันหนึ่ง ……. แล้วตอนนี้ยังจะมาข่มขู่ผู้กำกับอีกหรือ” 

 

 

“ซิงหลัน หากว่าคุณขาดเงินจริงๆ มาหาฉันก็ได้นะ เห็นแก่ความเคยเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ของเรา ฉันต้องช่วยคุณอยู่แล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจเธอเลยแม้สักนิดเดียว เพียงมีความสุขกับตนเองเท่านั้น 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยคอยจับตามองดูตู๋กูซิงหลันอยู่เสมอ ….สิ่งที่เธอต้องการ ไม่ใช่แค่การกดดันบีบคั้นตู๋กูซิงหลัน 

 

 

หากแต่เป็นการทำลายให้จมดิน บีบให้คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอปรากฏตัวออกมา 

 

 

บุรุษผู้….หายสาปสูญไปนานหลายปีแล้ว 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยพึ่งจะพูดจบ ตึกเทียนหยิ่งทั้งหลังก็สะเทือนขึ้นมา 

 

 

แผ่นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นผงคลุ้งกระจัดกระจาย พอมองลงไปจากหน้าต่าง ก็เห็นพื้นยุบลงไปเป็นหลุมใหญ่ 

 

 

หลุมนั้นลึกลงไปถึงสิบกว่าเมตร ยังดีที่ตรงบริเวณที่ยุบนั้นไม่มีรถหรือผู้คนเดินผ่าน 

 

 

ทุกคนต่างก็พากันตกอกตกใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตาไปมองครั้งหนึ่ง ก็เห็นในหลุมยุบนั้นมีเงาร่างสีดำสายหนึ่ง และใบหน้าที่วูบหายไปในชั่วพริบตา 

 

 

ด้วยความสามารถของนางหากจะมองดูใบหน้าของคนที่ห่างออกไปสักร้อยเมตรย่อมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว  

 

 

เพียงแต่พอมองไปแวบนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ต้องเข่าอ่อนขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้สุนัข! เขาลงไปทำอะไรที่ข้างล่างนั่น? 

 

 

นางกำชับแล้วกำชับอีกไม่ใช่หรือว่า ให้อยู่แต่ในรถ ห้ามวิ่งไปไหนทั้งนั้น? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่มีเวลาจะเซ็นสัญญากับหยุนโหวอีกแล้ว นางหันกลับพุ่งตรงไปยังทางรถไฟใต้ดินในทันที 

 

 

พอเท้าพึ่งจะก้าวลงบันไดลงไปถึงชั้นล่าง ก็เห็นตรงปากหลุมยุบที่พังทลายนั้นมีหัวรถไฟคันหนึ่งโผล่ออกมา! 

 

 

ใช้แล้ว หัวรถ! หัวขบวนรถไฟ! 

 

 

ชื่อขบวน ‘เหอเสีย’ ที่เขียนเอาไว้เตะตาของนางในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !” นางว่าแล้วไง! 

 

 

จากกระจกใสบนหัวขบวนรถไฟ สามารถมองเห็นคนขับที่กำลังตัวสั่นสะท้านอยู่! 

 

 

และที่ข้างกายเขา ย่อมต้องเป็นจีเฉวียนผู้ไม่เคยสะทกสะท้านกับเรื่องใดมาก่อน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแทบจะยอมคุกเข่าให้เขาแล้ว พี่ชายผู้นี้เป็นตัวก่อเรื่องโดยแท้! 

 

 

นางยังไม่ทันได้เข้าไป ก็เห็นจอLED ขนาดใหญ่บนตึกฝั่งตรงข้ามกระพริบถี่ๆหลายครั้งจากนั้น 

 

 

“ขอแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย…….ภายในเมืองเกิดการจู่โจมที่น่ากลัว……คนชุดดำที่ไม่รู้ที่มาจำนวนสิบกว่าคน ได้ทำการเข้าจู่โจมรถไฟฟ้าใต้ดินสายสามสิบแปดที่สถานีเทียนหยิ่ง…” 

 

 

“ผู้จู่โจมมีอาวุธปืน และมีดดาบ พบเห็นใครก็เข้าทำร้าย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก” 

 

 

“ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้น สุภาพบุรุษผมยาวผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น และเข้าต่อสู้กับคนร้ายเหล่านั้น…..ทำให้คนจำนวนมากรอดจากการบาดเจ็บล้มตายมาได้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “?” สุภาพบุรุษผมยาว? ? ? 

 

 

“รายงานด่วนแจ้งว่า รถไฟฟ้าใต้ดินสายสามสิบแปด เหอเสีย สูญเสียการควบคุมจนพุ่งขึ้นมาด้านบน…..ทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้น….” 

 

 

พอมีข่าวออกมาแบบนี้….ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ต้องตื่นตูมแล้ว 

 

 

ที่นี่คือเมืองหลวงนะ! 

 

 

กลางวันแสกๆ ถึงกับมีกลุ่มคนร้ายบุกทำลายสถานีรถไฟใต้ดินด้วยหรือ? 

 

 

“หากว่าไม่ได้สุภาพบุรุษผมยาวคนนั้นช่วยเอาไว้ เกรงว่าพวกคุณคงจะไม่ได้เจอฉันอีกแล้ว” พอเกิดเรื่องปุ๊บ ก็มีคนส่งข้อความในเวยป๋อทันที 

 

 

“จริง ดาบของพวกผู้ร้ายห่างจากชั้นไปเพียงแค่เมตรเดียวเอง ฉันนึกว่าตัวเองจะต้องตายแล้วเสียอีก น่ากลัวมากๆเลย ต้องขอบคุณสุภาพบุรุษผมยาวคนนั้นจริงๆ!” 

 

 

จากนั้นเพียงครู่เดียวก็มีผู้คนส่งข้อความว่าตนเองปลอดภัยแล้ว ขึ้นไปบนเวยป๋อมากมาย และถกเถียงเรื่องนี้กันใหญ่ 

 

 

แต่เรื่องที่พวกเขาแสนจะเสียดายก็คือ พวกเขามองไม่เห็นเลยว่าสุภาพบุรุษผมยาวผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร 

 

 

เห็นแต่เขาสวมใส่ชุดนอนสีดำ…ชุดนอนตัวหนา ที่อกมีรูปหมีสีน้ำตาลสกรีนอยู่บนนั้น 

 

 

ใบหน้าของเขาเหมือนจะถูกหมอกบดบัง จึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน 

 

 

พอสถานการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีรถไฟใต้ดินสายสามสิบแปดสงบลงแล้ว ผู้โดยสารก็พากันทยอยออกจากตัวรถโดยสาร 

 

 

“นี่มันบ้าไปแล้ว สายสามสิบแปดเกิดเรื่องผู้ก่อการร้ายโจมตี รถไฟขบวนเหอเสียนี้ถึงกับทะลุขึ้นมาบนพื้น …….นี่มันเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรกัน” 

 

 

โลกปัจจุบันกลายเป็นโลกที่ก้าวหน้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแล้วทุกคนใช้ชีวิตกันมานานขนาดนี้ ต่างก็พึ่งจะเคยได้เห็นเหตุการณ์ที่รถไฟใต้ดินพุ่งขึ้นมาด้านบนเป็นครั้งแรก 

 

 

…………………….. 

 

 

อีกด้านหนึ่ง คนขับรถหัวขบวนที่ตัวสั่นสะท้านตอนนี้ถึงกลับเป็นลมไปแล้ว 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าอาการบาดเจ็บของจีเฉวียนยังไม่หายดี 

 

 

เกรงว่าพระองค์คงคิดจะลากรถไฟใต้ดินคันนี้ขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเพียงคนเดียว เพื่อมอบให้กับซิงซิงแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้พระองค์ทรงพบว่า เจ้าสัตว์อสูรพิเศษตัวนี้……คล้ายกับว่าไม่สามารถเคลื่อนไหวออกนอกเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ได้ 

 

 

พอพระองค์ฝืนลากมันขึ้นมาจากใต้ดิน มันก็ไม่ยอมขยับอีกต่อไปแล้ว 

 

 

“มันวิ่งไปที่อื่นไม่ได้หรือ?” ฮ๋องเต้ทรงหันไปถามคนขับที่ตอนนี้สลบเหมือดไปแล้ว 

 

 

ร่างของคนขับครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้นั่ง อีกครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนแผงควบคุม สภาพเหมือนอยากร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา 

 

 

“โถ่ ลูกพี่ ในโลกนี้มันจะมีรถไฟฟ้าที่ไหนขึ้นมาวิ่งบนถนนได้กันเล่า!” 

 

 

“ที่แท้ก็ดูดีแต่ว่าใช้การอะไรไม่ได้” ฮ่องเต้สีพระพักตร์ไม่สบพระทัย จากนั้นก็ยกพระหัตถ์ต่อยใส่กระจกบนหัวขบวนรถ พุ่งร่างหายแวบจากไป 

 

 

เสียแรงไปต้องมาก กลับไม่อาจหาพาหนะมาให้ซิงซิงใช้สอยได้ ฝ่าบาททรงขุ่นพระทัยนัก 

 

 

หมัดเมื่อครู่ถือว่าเป็นการลงโทษมันก็แล้วกัน 

 

 

พระองค์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รอบพระองค์ปกคลุมไปด้วยไอหยินและหมอกดำกลุ่มหนึ่ง 

 

 

หมอกดำนี้คนทั่วไปไม่อาจมองเห็น และเป็นเพราะหมอกดำนี้ ทำให้พวกเขาไม่อาจเห็นพระพักตร์ของจีเฉวียนได้อย่างชัดเจน 

 

 

การแย่งชิงสัตว์อสูรมา….ย่อมไม่ใช่เรื่องที่องอาจอะไร ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงคิดจะเผยพระพักตร์ออกไป 

 

 

พอเสด็จออกมาได้ ก็ทรงรู้สึกขึ้นมาในทันทีว่ากระดูกทั่วร่างปวดร้าวอย่างรุนแรง ทันทีที่หารถคันเล็กของพระองค์พบก็เข้าไปประทับนั่งอย่างรวดเร็ว 

 

 

ว่าแล้ว…..ยังไม่อาจเคลื่อนไหวมากเกินไปจริงๆ ไม่รู้ว่าร่างกายนี้ เมื่อไหร่ถึงจะหายดี 

 

 

รถไฟใต้ดินนั่นใช้การไม่ได้ …..พระองค์จะต้องทรงหาสิ่งอื่นที่ใช้งานได้และดูเก่งกาจมาเป็นพาหนะของซิงซิง 

 

 

ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นในอากาศ 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ก็เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านไป 

 

 

เครื่องบินเดินทางในอากาศ มองดูก็รู้ว่ามีขนาดใหญ่มาก 

 

 

อืม….ถึงจะใหญ่อย่างไรก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอสูรกายโลกันตร์ 

 

 

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูเจ้านกตัวใหญ่ที่บินอยู่ในอากาศตัวนั้น…. ดวงเนตรที่พึ่งจะหรี่ลงไปก็เป็นประกายขึ้นมา 

 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันรีบกลับมาที่ข้างพระองค์ได้อย่างทันเวลา เกรงว่าตอนนี้พระองค์คงจะออกไปลงมือกับเครื่องบินลำใหญ่นั่นอีกแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสวมหมวกสีดำใบใหญ่เอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งคว้าหลังพระศอของจีเฉวียน 

 

 

บนร่างของพระองค์มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ทั่วพระพักตร์และพระหัตถ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 

 

 

“เสี่ยวเฉวียนเฉวียน แค่ไม่ได้คอยจับตาดูท่านแวบเดียว ท่านก็โผขึ้นไปบนฟ้าอีกแล้วใช่ไหม?” 

 

 

……………….