บทที่ 462.3 ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเซถลา เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็เหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนเซียนที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วกระจกหลากสี รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย พอเพ่งสายตามองให้ชัดๆ ก็เห็นว่าตัวเองมาอยู่ที่ตีนเขาลั่วพั่วแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยชินมานานแล้ว ปีนั้นตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวก็มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นประจำ

คือหนึ่งในการ ‘ลุยน้ำ’ น้ำที่ว่านี้ก็คือน้ำในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

วิชาอภินิหารย่อพื้นที่ของผู้ฝึกตนเซียนดินหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ การงัดข้อกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาเช่นนี้ นับว่าเป็นวิชาที่เล็กที่สุดชนิดหนึ่ง

และวิชาอภินิหารย่อพื้นที่ในปัจจุบันนี้ ก็ว่ากันว่าด้อยกว่าการย้ายภูเขาข้ามมหาสมุทรของเทพและเซียนในยุคบรรพกาลมากนัก เคยมีบทความที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลกล่าวไว้ว่า ‘ย่อพื้นที่น้ำพุเหลืองปรากฏ ลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้า’ นั่นจะเป็นอิสระเสรีไร้พันธนาการถึงเพียงใด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่เอ่ยโดยไม่ตั้งใจของชุยตงซานในอดีต ส่วนสามขุนเขาที่ถูกเคลื่อนย้าย สี่สมุทรที่ถูกก้าวข้ามซึ่งชุยตงซานพูดถึงนั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดลึก ภายหลังเขาซื้อตำราเทพเซียนเล่มหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัวถึงได้ค้นพบว่าใต้หล้าไพศาลไม่มีคำกล่าวถึงสามขุนเขาสี่มหาสมุทรเลย ภายหลังตอนที่พบกับชุยตงซานอีกครั้งที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ขณะที่คนทั้งสองเล่นหมากล้อมด้วยกัน เฉินผิงอันเคยถามถึงเรื่องนี้ ชุยตงซานหัวเราะหึหึ กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องปีมะโว้แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุย

เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งกำลังคาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก

เจ้าหมอนั่นก็เห็นเฉินผิงอันแล้วเช่นกัน ชายฉกรรจ์จุ๊ปากพูด “ใช้ได้นี่นา ย้ายขุนเขาย่อพื้นที่ ทำไม รังเกียจที่เจ้าหัวทองผู้นั้นเกะกะลูกหูลูกตา ก็เลยมาเป็นท่านเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วเองเสียเลยอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เป็นวิชาอภินิหารของเว่ยป้อ ข้าไม่มีความสามารถนี้เสียหน่อย”

เฉินผิงอันพลันทิ้งร่างให้คลายตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ไปเดินเล่นกันไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ดูท่าแล้วน่าจะผอมลงสิบหรือยี่สิบจินเลยทีเดียว ส่วนสูงก็น่าจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทำไหล่ห่องอตัว เลยเห็นไม่ชัดว่าสูงขึ้น

เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างตกตะลึง “ดูท่าหลังออกมาจากนครมังกรเฒ่า ทักษะของสุยโย่วเปียนจะเพิ่มขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันมึนงง “หมายความว่าอย่างไร?”

เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “คนหนุ่มมักจะไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองเช่นนี้เสมอ พลังต้นกำเนิดของบางจุดในร่างเสียหาย เลือดลมย่อมไม่เพียงพอ ไขกระดูกก็แห้งขอด ปวดเอวจนนอนหงายไม่ได้ ข้าแน่ใจเลยว่าช่วงนี้เจ้าคงมีใจแต่ไร้กำลัง ฝึกหมัดไม่ได้เลยกระมัง? เดี๋ยวไปจับยาสมุนไพรดีๆ ที่ร้านของตาเฒ่ามาสักสองสามชุด บำรุงร่างกายให้ดี หากไม่ได้จริงๆ ก็ลองขอวิชาผสานลมปราณจากเว่ยป้อมาสักวิชาหนึ่ง วันหน้าค่อยกลับไปแก้ตัวกับเซียนกระบี่ใหญ่สุยใหม่ ไม่น่าอายหรอก บุรุษที่เพิ่งเป็นลูกนกหัดบินขาดประสบการณ์ มักจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีเสมอ”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิง ด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิง เมื่อเขาเอ่ยคำหยอกเย้าประเภทนี้ ยิ่งไปคิดเล็กคิดน้อยด้วยมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะฮึกเหิมมากเท่านั้น หากสุยโย่วเปียนอยู่ที่นี่ด้วย เจิ้งต้าเฟิงต้องโดนแทงหนึ่งกระบี่ไปแล้ว

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคำกล่าวของอริยะใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ ของลัทธิเต๋าประโยคหนึ่ง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มหามรรคาเงียบสงบว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้”

เจิ้งต้าเฟิงพ่นลมออกจากจมูก

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “อาจารย์ของเจ้ารับลูกศิษย์มาอีกสองคน ข้าเจอพวกเขาแล้ว สตรีผู้นั้นเหมือนเจ้ากับหลี่เอ้อร์ ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่เหตุใดดูเหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกเถาเย่ผู้นั้นจะไม่ได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกยุทธ?”

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ตาเฒ่าคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้ แม้แต่เรื่องที่ว่านอกจากหลี่เอ้อร์แล้ว ข้ายังมีศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงกระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ อีกมากน้อยแค่ไหน ข้าก็ยังไม่รู้เลย เจ้ากล้าถามหรือ? ตาเฒ่าไม่เคยชอบคุยเรื่องพวกนี้หรอก”

เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไรต่อ?”

เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเหตุผล “นี่ไม่ใช่คำถามไร้สาระหรอกหรือ ก็ต้องเบิกตากว้างหาเมียน่ะสิ ตอนนี้ข้าแทบอยากจะถือโคมดวงใหญ่ไล่เก็บสตรีบนถนนกลับมาบ้านทุกค่ำคืน เจ้าคิดว่าเป็นชายโสดมันดีนักหรือ? ค่ำคืนยาวนาน นอกจากเสียงไก่ร้องเสียงหมาเห่าแล้ว ก็มีแค่เสียงผายลมเท่านั้น แล้วยังต้องอุดผ้าห่ม ตัดใจปล่อยให้มันลอยหนีไปไม่ลงด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า จะไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันลูบใบหน้า ไม่เอ่ยคำใด

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถาม “มีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าหน่อย”

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าว่ามาสิ”

เจิ้งต้าเฟิงชี้ไปยังตีนภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ด้านหลัง “ข้าคิดจะกลับมาทำอาชีพเก่า เป็นคนเฝ้าประตู ขอน้ำขอข้าวจากเจ้ากิน ได้ไหม?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน “ไม่ได้ล้อเล่น?”

เจิ้งต้าเฟิงโมโหทันใด “ข้าผู้อาวุโสเร่งเดินทางมาตลอดทั้งคืนก็เพื่อมาพูดเล่นกับเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ เดี๋ยวข้าจะบอกให้จูเหลี่ยนมาสร้างเรือนหลังหนึ่งไว้ที่ประตูภูเขา”

เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน “บนภูเขาก็ต้องมีหลังหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนคงพากันหัวเราะเยาะ ทำให้ข้าหาเมียไม่ได้กันพอดี”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านแล้วขยับเข้าใกล้เจิ้งต้าเฟิง กระซิบกระซาบข้างหูเขา

เจิ้งต้าเฟิงฟังจบแล้วก็รีบเช็ดน้ำลาย หัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง? ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงไม่ดีต่อชื่อเสียงสักเท่าไหร่? ข้ายังเป็นชายโสดที่ไม่มีเมียนะ อีกอย่างเจ้ามอบให้นังหนูชุดกระโปรงชมพูนั่นไปแล้ว จะไปทวงคืนมาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดเองนะ วันหน้าอย่าเกิดนึกอยากได้ขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไม่ดูแลประตูภูเขา เอาแต่วิ่งขึ้นไปเตร็ดเตร่อยู่บนภูเขาทั้งวันล่ะ”

เจิ้งต้าเฟิงดึงแขนของเฉินผิงอัน “ไม่นะ จะให้ข้าพูดจาเหนียมอายสักคำสองคำไม่ได้เลยหรือไง ข้าเป็นคนหน้าบางขนาดไหน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย พวกเราท่องยุทธภพกันมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังตาไม่มีแววอยู่เหมือนเดิม”

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “ช่างเถิด อย่าไปทวงยันต์หนังจิ้งจอกคืนจากเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเลย วันหน้าข้าค่อยหาคน ให้ช่วยหาคนซื้อจากนครลมเย็นมาให้เจ้าสักแผ่นก็แล้วกัน”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็พลันใคร่ครวญความหมายบางอย่างได้ จึงถามหยั่งเชิง “เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง เงินค่ายันต์ เจ้าจะไม่ออกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าต้องออกอยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นเงินค่าจ้างเฝ้าประตูภูเขาของเจ้า”

เจิ้งต้าเฟิงร้อนใจขึ้นมาทันที

เฉินผิงอันเก็บสีหน้าหยอกเย้าไป “หากเจ้าต้องการหาสถานที่ที่เงียบสงบไว้พักพิงสักแห่งจริงๆ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว อันที่จริงยังมีภูเขาอีกหลายลูก ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าว แท่นบูชากระบี่ เจ้าเลือกได้ตามสบาย”

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “เฝ้าประตูไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หากข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ ก็ต้องหลบซ่อนตัว ไม่กล้าพบเจอใคร ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยังกลับมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนทำไม?”

เจิ้งต้าเฟิงตบไหล่ของเฉินผิงอันแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า เงยหน้ามองยอดเขาของภูเขาลั่วพั่ว “ที่นี่มีกลิ่นอายของคน ข้าชอบ เมืองเล็กในปีนั้น อันที่จริงก็มี เพียงแต่ว่าหลังเปลี่ยนจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมาเป็นพื้นที่มงคลแล้ว ไม่มีพันธนาการ ภูเขาแม่น้ำพันลี้สัมผัสพื้นดินแล้วหยั่งรากลึก ผู้คนสัญจรไปมา ปลาและมังกรปะปนกัน แค่มองดูแล้วครึกครื้นก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่อีก”

เฉินผิงอันเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนครั้งนี้ ตอนที่ผ่านเมืองเล็กเขาก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาแค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกมาตามตรงอย่างเจิ้งต้าเฟิง

เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “หากวันใดข้ารู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วก็เฮงซวยเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าก็จะย้ายออก ถึงเวลานั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่บอกเจ้าก่อนล่ะ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นก็บอกข้าสักคำค่อยย้ายออกไปดีไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาพลันยื่นมือออกมาตบที่แผ่นหลังของเฉินผิงอัน “เลิกแสร้งทำเป็นหลังงอได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าเจิ้งต้าเฟิงกลายเป็นคนหลังค่อม แล้วอย่างไร? ข้าก็ยังหน้าตาหล่อเหลาอยู่ดี”

เฉินผิงอันพยายามเค้นรอยยิ้ม แต่ก็ยังยิ้มไม่ออก

คืนนั้นเจิ้งต้าเฟิงพักอยู่ในเรือนของจูเหลี่ยน คนบนเส้นทางเดียวกันสองคนนี้ แค่ทิ้งเหล้าไว้ให้พวกเขาสองกาและกับแกล้มสักสองสามจาน คาดว่าคงคุยกันได้ทั้งคืน

พอนึกถึงว่ามีจูเหลี่ยนอยู่ด้วย สำหรับการที่เจิ้งต้าเฟิงเป็นฝ่ายมาขอทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูให้ภูเขาลั่วพั่วแล้ว เฉินผิงอันก็สบายใจขึ้นได้หลายส่วน

คาดว่าถึงเวลานั้นจูเหลี่ยนคงลงไปที่ตีนเขาบ่อยๆ คนทั้งสองหากเริ่มได้ร่ำสุราและพูดคุยกันขึ้นมาแล้ว เกรงว่าเจิ้งต้าเฟิงคงคุยโวไปได้ถึงว่าตัวเองคือขุนพลเทพผู้พิทักษ์สี่ประตูของสวรรค์ชั้นฟ้าเลยกระมัง?

เฉินผิงอันกลับไปที่เรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าแซ่ชุยยืนอยู่บนชั้นสอง กระตุกมุมปากแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง

เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว

แต่ก็ยังคงเดินขึ้นชั้นสอง

ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง เอ่ยสัพยอกว่า “ไม่ขอบคุณที่ข้าอุตส่าห์ส่งให้เจ้าได้ไปชื่นชมภาพคนงามใต้แสงจันทร์หน่อยหรือ?”

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับเขา ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “คำพูดที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ข้าพูดออกจากปากไม่ได้จริงๆ”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เข้าใจได้ ไม่ตบไม่ตีแค่ไม่กี่ปี หนังคงคัน ความกล้าคงเพิ่มพูนขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันรู้ได้แล้วว่าท่าไม่ดี

ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “ยังคิดจะหนีอีกรึ? ไม่กลัวว่าหนึ่งหมัดของข้าจะต่อยให้เจ้าพุ่งไปถึงภูเขาเสินซิ่ว แล้วค่อยให้หร่วนฉงใช้ค้อนตีเหล็กทุบเจ้ากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วหรือไร?”

เหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเฉินผิงอัน

ผู้เฒ่าควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนส่งให้เฉินผิงอัน “ลูกศิษย์ของเจ้าทิ้งไว้ให้เจ้า”

เฉินผิงอันยื่นมือไปรับจดหมาย แล้วหมัดของผู้เฒ่าก็ตามมาติดๆ ต่อให้จิตของเฉินผิงอันจะสัมผัสได้แล้ว แต่กระนั้นก็ยังตั้งตัวไม่ทัน เสียงปังดังขึ้น ร่างของเขากระเด็นหวือออกไปกระแทกเข้ากับผนังเรือน

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “น่าประหลาดนัก ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าขั้นสูงสุดคนหนึ่งยังคล่องแคล่วว่องไวสู้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามในปีนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ? มิน่าเล่าถึงได้แต่กินฝุ่นอยู่หลังก้นคนอื่น”

เฉินผิงอันเก็บจดหมายฉบับนั้นไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ปลดเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังลง ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก ร่างกายงองุ้ม มองดูเหมือนท่าหมัดหละหลวม ปณิธานหมัดถูกกักเก็บไว้ภายใน แต่แท้จริงแล้วกระดูกและเส้นเอ็นกลับพลันยืดขยาย เสียงข้อต่อกระดูกลั่นเหมือนเสียงประทัด เป็นเหตุให้อาภรณ์สีเขียวบนร่างสั่นสะเทือนตามไปด้วย ฝุ่นผงรอบกายก็ระเบิดปังแล้วปลิวคละคลุ้ง

หากจูเหลี่ยนอยู่ที่นี่ต้องตกใจมากอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะเริ่มพูดประจบด้วยประโยคว่า สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม (เปรียบเปรยถึงลูกศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ คนรุ่นหลังที่เหนือกว่าคนรุ่นก่อน)

เพราะกระบวนท่าหมัดเพียงหนึ่งเดียวที่ตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอัน ‘ไม่ฝึกก็เหมือนฝึก’ ก็คือ ‘ท่าวานร’ ที่จูเหลี่ยนเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา แก่นแท้ของมันอยู่แค่คำว่า ‘ประตูสวรรค์เปิดอ้า สายฟ้าวสันตฤดูระเบิดเลือนลั่น’

แม้ว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะยังฝึกได้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ แต่กลับทำได้เหมือนจูเหลี่ยนที่ผ่านการขัดเกลามาหลายสิบปีอย่างถึงที่สุดแล้ว

จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้ปณิธานหมัดท่าวานรที่ท่วมท้นไปทั้งร่างตั้งท่าหมัดปรับแก้มังกรใหญ่ที่เรียนรู้มาจากจ้งชิวราชครูแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าท่าที่ใช้ออกหมัดกลับเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ “มา! แน่จริงก็ใช้แค่ขอบเขตห้ามาต่อยข้าให้ตาย!”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าลุกขึ้นยืนช้าๆ

เรือนไม้ไผ่สั่นสะเทือน ปราณวิญญาณเข้มข้นที่อยู่รอบด้านกลับถูกกระเทือนให้สลายไปไม่น้อย เงาร่างสีเขียวพุ่งวูบมาถึง ตีเข่ากระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้เฒ่าที่ยังกำลังเงยหน้ายืดเอว

ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาอย่างเรียบง่าย กดเข่าของเฉินผิงอันเอาไว้ จากนั้นก็ผลักออก สลัดเฉินผิงอันให้กระเด็นออกไป ผู้เฒ่ายังคงลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่ามกลางขั้นตอนนี้ ความเร็วของเขาไม่เพิ่มขึ้นและไม่ลดลง เพียงแต่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นด้วยความสงบนิ่ง

หลังจากถูกผลักออมาแล้ว เฉินผิงอันกลับไม่ได้มีสภาพอเนจอนาถสักเท่าไหร่ กลับกันยังใช้ปลายเท้าของเท้าสองข้างดีดเบาๆ บนผนังเรือนไม้ไผ่ พลิ้วกายลงบนพื้น ขมวดคิ้วถาม “ขอบเขตหก?”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าดูแคลนเกินกว่าที่จะตอบคำถามไร้เดียงสานี้

เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปณิธานหมัดท่าวานรประคับประคองดวงจิต แล้วใช้กระบวนท่าหมัดปรับแก้มังกรใหญ่ประคับประคองเรือนกาย สุดท้ายใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทางเหมือนเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้าก็จะเป็นคนสอนเจ้าเอง”

เฉินผิงอันงอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย ชักเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลัง มือสองข้างวาดวงโค้งอย่างคล่องแคล่วประดุจเมฆคล้อยน้ำไหล สุดท้ายเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ตั้งท่าประหลาดที่ผู้เฒ่าไม่เคยเห็นมาก่อน “ขอแค่เป็นขอบเขตห้า ข้าจะกลัวท่านหรือ?!”

ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที

ปล่อยหนึ่งหมัดส่งออกไป

เฉินผิงอันกลับหมดสติคาที่ทันที สบถด่ามารดาอีกฝ่ายได้แค่ครึ่งประโยคเท่านั้น

เพราะเห็นได้ชัดว่าหมัดนี้ของผู้เฒ่าไม่ใช่ขอบเขตห้า อย่าว่าขอบเขตหกเลย มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นขอบเขตเจ็ดด้วยซ้ำ

ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โทษที ข้าเก็บหมัดไม่ทัน”

หาใช่ผู้เฒ่าจงใจแกล้งเฉินผิงอันไม่

แต่นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขา

ตลอดหลายปีที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ซึ่งเขียนอักขระยันต์ไว้จนเต็มหลังนี้ เขาได้ใช้ไฟแห่งบุ๋นบำรุงปณิธานหมัดที่เดิมทีก็แกร่งกล้าดุดันอย่างถึงที่สุดไว้ด้วยความอบอุ่น คืนนี้ยังมาถูกปณิธานหมัดของเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ชักนำ หมัดนั้นของผู้เฒ่าหากไม่ปล่อยออกไปเขาก็คงอัดอั้นมากเป็นแน่ ต่อให้พยายามข่มกลั้นไว้สุดกำลังแล้ว แต่ก็ยังยับยั้งไว้ได้แค่ที่ขอบเขตเจ็ดเท่านั้น

ผู้เฒ่าถอนหายใจในใจหนึ่งที เดินไปยังระเบียงนอกห้อง

แม้ว่าการที่จะกลับคืนสู่ชั้นสุดท้ายของขอบเขตสามชั้นในขอบเขตสิบจะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หากจะพูดถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดที่เคยมองว่าต้องบรรลุไปให้ถึงนั้น กลับไม่ต้องวาดหวังแล้วจริงๆ

ตอนนั้นตนเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิลู่เฉิน ได้สละโอกาสเสี้ยวสุดท้ายในการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดไป เพื่อใช้สิ่งนี้แลกมาด้วยความสงบสุขปลอดภัยของคนหนุ่มสองคน แม้ว่าจะไม่เสียใจภายหลัง แต่จะไม่เสียดายเลยสักนิดได้อย่างไร?

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับไปมองคนหนุ่มที่อยู่ในห้อง หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปเตะเฉินผิงอันหนึ่งที ปลุกให้เขาคืนสติ ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร ผู้เฒ่าก็เตะเข้าที่หน้าผากเขาอีกที เฉินผิงอันที่น่าสงสารหมดสติไปอีกรอบ ผู้เฒ่าพึมพำว่า “วันหน้าหากไม่มีปัญญาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบเอ็ดล่ะก็ คอยดูเถอะว่าข้าจะตีเจ้าให้ตายยังไง”

ผู้เฒ่ากลับมาที่ระเบียงอีกครั้ง รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งร่าง ราวกับว่าได้กลับคืนไปยังช่วงเวลาที่ปีนั้นขังหลานชายไว้ในหอหนังสือขนาดเล็กแล้วยกบันไดหนีเขาอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่หลานชายศึกษาหาความรู้จนประสบความสำเร็จ ผู้เฒ่าก็จะปลาบปลื้มยินดียิ่งกว่าใคร เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยมันออกมาแม้แต่ครึ่งคำ คำพูดบางอย่างที่ออกมาจากใจจริง ยกตัวอย่างเช่นผิดหวังอย่างถึงขีดสุด หรือปิติยินดีอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะอย่างหลังนั้น ในฐานะผู้อาวุโสมักจะไม่มีทางหลุดปากพูดกับเด็กรุ่นหลังที่ถูกฝากความหวังไว้มากเด็ดขาด ก็เหมือนเหล้าเก่าแก่ไหหนึ่งที่ถูกวางไว้ในโลง คนแก่จากไปแล้ว เหล้าไหนั้นก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีก

ผู้เฒ่ารู้สึกอย่างไรกับเฉินผิงอัน?

ไม่แน่เสมอไปว่าเผยเฉียนจะล่วงรู้ เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็อาจจะไม่เข้าใจ มีเพียงจูเหลี่ยนเท่านั้นที่รู้

ดังนั้นจูเหลี่ยนถึงไม่มีความคิดที่จะขอให้ผู้เฒ่าสอนวิชาหมัดให้แก่ตน

ไข่มุกและหยกวางอยู่ตรงหน้า (เปรียบเปรยถึงมีผลงานที่โดดเด่นวางอยู่ตรงหน้าไว้ให้ทำการเปรียบเทียบ)

บนยอดเขาของกลุ่มภูเขา มีหนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่ม คนหนึ่งสอนหมัด คนหนึ่งเรียนหมัด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

—–