บทที่ 463.1 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ความเคลื่อนไหวทางเรือนไม้ไผ่แห่งนี้รุนแรงเกินไป เผยเฉียนที่ตกใจสะดุ้งตื่นรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พกเตาเจี้ยนฉว่อไว้ข้างเอว ในมือถือไม้เท้าเดินป่าแล้วพุ่งตัวออกจากประตู

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช้ากว่านางไปครึ่งก้าว นางเองก็เปิดประตูห้องออกมา จึงทันได้เห็นแผ่นหลังที่วิ่งตะบึงออกไปนอกลานบ้านอย่างปราดเปรียวของเผยเฉียน เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็มองออกถึงความผิดปกติ จึงรีบพุ่งตัวตามเผยเฉียนไปติดๆ ผลกลับเห็นว่าเผยเฉียนหน้าตาบึ้งตึง ปราณสังหารเปี่ยมล้น วิ่งพลางพึมพำไปด้วย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพอจะรู้จักนิสัยของเผยเฉียนบ้างแล้วจึงรีบพูดโน้มน้าวว่า “อย่าวู่วามนะ ในอดีตเวลาที่นายท่านฝึกวิชาหมัดอยู่บนภูเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด”

ใช่ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่สงสารนายท่านของตัวเอง แต่เพราะรู้หนักเบาและผลดีผลเสีย ไม่อยากให้เผยเฉียนต้องไปเสียเปรียบอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านผู้เฒ่าชุยก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนายท่านจริงๆ

เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาวิ่งห้อออกไป ในมือกำไม้เท้าเดินป่าแน่น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบเฒ่าจะก่อกบฏแล้วหรือไร ภูเขาลูกนี้เป็นของอาจารย์ข้า เรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งเป็นของอาจารย์ข้า ตาแก่หน้าไม่อายไม่เพียงแต่ยึดครองชั้นสองของเรือน อาจารย์เพิ่งจะขึ้นเขาก็ถูกเขาต่อยให้สลบไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอลืมตามา ได้คุยกับพวกเราแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ต้องโดนหมัดเขาอีก ตอนนี้ก็เอาอีกแล้ว! อาจารย์กลับบ้านเกิดมาพักผ่อนเสพสุข ไม่ใช่มาให้ตาแก่รังแก!”

เผยเฉียนยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ ย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว…”

ถึงอย่างไรเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็เป็นภูตงูเหลือมที่เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางแล้ว นางพลิ้วกายไปยังข้างกายของเผยเฉียนอย่างแผ่วเบา พูดอย่างขลาดๆ ว่า “หากท่านผู้เฒ่าชุยคิดจะก่อกบฏจริงๆ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้”

เผยเฉียนหันหน้าไปถ่มน้ำลายทางหนึ่ง ไม่ได้ชะลอฝีเท้าลง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องต่อสู้ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลกับเจ้าตะพาบเฒ่าเอง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้หล้าจะยังมีแขกที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ เห็นว่าอาจารย์ข้าพูดง่ายก็เลยชอบรังแกกันนักใช่ไหม? ข้าเผยเฉียนไม่ใช่คนดีอะไร! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของชุยตงซาน!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถอยไปอยู่ด้านหลังเผยเฉียน ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าในมือ และดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวนาง ทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป

บริเวณใกล้เคียงกับที่พักของเผยเฉียน เด็กชายชุดเขียวนั่งอยู่บนหลังคา กำลังอ้าปากหาว เสียงดังเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ เทียบกับเมื่อปีนั้นที่เขาต้องคอยแบกเฉินผิงอันที่เลือดท่วมเต็มตัวลงจากเรือนครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว การ ‘ประมือ’ บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ในตอนนี้จึงเหมือนการอ่านบทกวีแห่งชายแดนแล้วมาเจอกับถ้อยคำละมุนละม่อมที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าถ่านดำอย่างเผยเฉียนผู้นี้ยังมีประสบการณ์ในยุทธภพตื้นเขินเกินไป

เจิ้งต้าเฟิงกำลังร่ำสุราชมจันทร์อยู่กับจูเหลี่ยนในลานบ้าน ไม่ได้พูดถึงเฉินผิงอัน พูดถึงแค่สตรี ไม่อย่างนั้นบุรุษสองคน ดึกดื่นค่อนคืนมาคุยถึงบุรุษอีกคนหนึ่ง คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่

จูเหลี่ยนพูดถึงสุยโย่วเปียนที่ไปท่องเที่ยวอยู่ในใบถงทวีป พูดถึงนักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิง และที่ราชวงศ์ต้าเฉียนยังมีสตรีที่งดงามดุจปีศาจจิ้งจอกอย่างเหยาจิ้นจืออยู่อีกคนหนึ่ง พูดถึงจินซู่สาวใช้ข้างกายกุ้ยฮูหยิน และยังพูดถึงฟ่านจวิ้นเม่าที่เจ้าอารมณ์คนนั้น

ส่วนเจิ้งต้าเฟิงก็พูดถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ทรยศออกจากสำนักโองการเทพ ซูเจี้ยเทพธิดาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงที่โชคร้ายพลัดตกลงในโคลนตม เหนียงเนียงในวังของต้าหลีที่เรือนกายเล็กเตี้ย แต่กลับอวบอิ่มเปี่ยมเสน่ห์ ภายหลังก็พูดเรื่อยเปื่อยไปไกล เจิ้งต้าเฟิงยังพูดถึงตอนที่ตัวเองเป็นคนเฝ้าประตูใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต สตรีที่โดดเด่นซึ่งเกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กก็มีสตรีสกุลกู้ของตรอกหนีผิง ห่างออกไปไกลกว่านั้นอีกหลายสิบปีก็ยังมีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งในตรอกซิ่งฮวา ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนเพิ่งได้กลายเป็นแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวี หลังกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาแล้ว นางก็กลับคืนสู่ความเยาว์วัย มีรูปโฉมเหมือนตอนยังเป็นสาวอีกครั้ง หน้าตาของนางงดงามจริงๆ แต่กลับปากคอเราะร้าย เวลาทะเลาะกันขึ้นมาก็ร้ายกาจยิ่งกว่าพี่สะใภ้ของเขาเสียอีก

เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าแล้วจุ๊ปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม “จันทราในยามค่ำคืน สายลมโชยเย็นฉ่ำ ร่ำสุรากับสหายรู้ใจ พูดถึงสาวงาม ช่างเป็นชีวิตดุจเทพเซียนจริงๆ”

บนโต๊ะมีเครื่องกระเบื้องสีเขียวซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการดื่มสุราวางอยู่ชุดหนึ่ง ค่อนข้างจะเก่าแล้ว แค่มองก็รู้ว่าผลิตมาจากเตาเผามังกรแห่งหนึ่งของเมืองเล็ก แทบจะเรียกได้ว่างดงามสมบูรณ์แบบ ในฐานะเครื่องบรรณาการที่เชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีนำไปใช้ ตามกฎที่กำหนดเอาไว้ หากเป็นของชั้นรองที่มีตำหนิเล็กน้อยก็จะต้องถูกขุนนางที่ประจำอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาคัดเลือกออกมาอย่างเข้มงวด หลังจากทุบให้แตกแล้วก็โยนไปไว้ที่ภูเขาเครื่องกระเบื้อง เจิ้งต้าเฟิงชอบดื่มเหล้า อีกทั้งยังเป็นคนฉลาด จึงแอบนำภาชนะที่เดิมทีควรถูกตั้งวางอยู่ในวังหลวงต้าหลีออกมาบางส่วน นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา สำหรับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญพวกนี้ของเจิ้งต้าเฟิง คาดว่าปีนั้นหยางเหล่าโถวในร้านยาคงไม่คิดจะขยับเปลือกตาแลด้วยซ้ำ

จูเหลี่ยนกำลังยกกาเหล้าขึ้นรินลงในจอกเหล้าที่ว่างเปล่า แต่แล้วจู่ๆ กลับหยุดชะงัก วางกาเหล้าลง กลับยกจอกเหล้าขึ้นมาวางไว้ข้างหูแทน เขาเอียงศีรษะ เงี่ยหูตั้งใจฟัง หรี่ตาลง พูดเสียงเบา “ตระกูลชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย บางครั้งจะฟังเสียงเครื่องกระเบื้องปริแตก ซึ่งมันไม่แพ้ให้กับเสียงเร่ขายดอกซิ่งตามตรอกซอกซอยของชาวบ้านร้านตลาดเลย”

จูเหลี่ยนฟังเสียงที่แผ่วเบาเสียงนั้นแล้วก็ใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้า พึมพำด้วยรอยยิ้ม “ภาชนะเล็กรอยแตกใหญ่ คล้ายกับดรุณีน้อยบ้านป่าที่เพิ่งเข้าใจความรัก หอมกลิ่นกล้วยไม้กลิ่นต้นหญ้า ภาชนะใหญ่รอยแตกเล็ก ประดุจโฉมสะคราญงามล่มเมืองที่โบยแส้ควบม้าอย่างเสรี”

เจิ้งต้าเฟิงได้ฟังคำประพันธ์ที่ค่อนข้างจะเข็ดฟันประโยคนี้แล้ว กลับไม่รู้สึกพิกลแม้แต่น้อย หนำซ้ำเขายังมีความสุขชื่นมื่นร่วมไปกับจูเหลี่ยนด้วย

ตามหลักแล้ว พ่อครัวเฒ่าคนหนึ่ง กับคนเฝ้าประตูคนหนึ่งควรจะพูดถึงเรื่องหยุมหยิมยิบยิบย่อยในชีวิตประจำวันถึงจะถูก

แสงจันทร์กระจ่าง สายลมเย็นพัดโชย

คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน จิตใจเชื่อมโยงได้ถึงกัน

เรื่องราวงดงามในโลกมนุษย์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “จูเหลี่ยน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง ตลอดหลายปีที่อยู่ในยุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัว เคยชอบสตรีคนใดจากใจจริงหรือไม่?”

จูเหลี่ยนวางจอกเหล้าลงเบาๆ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ตอนที่ชอบสตรี จะไม่จริงใจได้หรือ จะกล้าไม่ตั้งใจได้หรือ เพียงแต่ว่าอยู่ในยุทธภพของบ้านเกิด ทุกเรื่องล้วนไม่เป็นดังใจปรารถนา ยามเยาว์ จิตใจสูงใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า มักจะรู้สึกว่าความรักระหว่างชายหญิง แม้จะงดงามอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังรังเกียจว่าเล็กน้อยเกินไป กลยุทธสร้างประโยชน์และแตกสามัคคี คุณูปการล้ำโลก กอบกู้สถานการณ์ ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ในอดีตพอเห็นถ้อยคำพวกนี้ในตำรา ก็เหมือนกับ…”

เจิ้งต้าเฟิงรับคำต่อ “เหมือนกับชายโสดอายุมากที่แอบมองภาพสาวงามอาบน้ำในป่าลึก แค่มองเลือดร้อนๆ ก็พุ่งขึ้นหัว”

จูเหลี่ยนรีบรินเหล้าให้พวกเขาทั้งสองคนจนเต็มจอก ลำพังแค่ประโยคนี้ก็ควรจะดื่มหมดจอกสักครั้ง

คนทั้งสองชนจอกเหล้ากันเบาๆ จูเหลี่ยนกระดกดื่มจนหมด แล้วเช็ดปากยิ้มกล่าวว่า “เสียงชนจอกเหล้าของสหาย น่าประทับใจยิ่งกว่าเสียงถอดอาภรณ์อาบน้ำของสตรีชนชั้นสูงเสียอีก”

เจิ้งต้าเฟิงถาม “เสียงสวรรค์เช่นนี้ เจ้าเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ หรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เมฆหมอกลอยผ่านหน้า ล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง “ยอดฝีมือ!”

เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ฝึกยุทธสองคน เหตุใดขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน กลับไม่พูดคุยเรื่องการฝึกยุทธ แล้วก็ไม่กินเนื้อชิ้นโตดื่มสุราถ้วยใหญ่ ดันมาพูดคุยถึงเรื่องสตรีที่จะกินก็กินไม่ได้ แถมยังเผาผลาญเงินทองที่สุดเสียได้ ต่อให้สตรีจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่แล้วอย่างไรล่ะ? คนธรรมดา ต่อให้งดงามดุจบุปผาดุจหยก แต่บุปผาจะผลิบานได้นานเท่าใดกัน? คนแก่ไข่มุกเหลืองล่ะต้องใช้เวลากี่ปี? ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขา ต่อให้งดงามแค่ไหน แต่ความงามเอามากินแทนข้าวได้หรือ? เอามาซื้อสมบัติอาคมแทนเงินเทพเซียนได้หรือ? เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่ายุทธภพของสองคนนี้ช่างน่าเบื่อและดาษดื่นสามัญยิ่งนัก

ประเด็นสำคัญคือเจิ้งต้าเฟิงก็ดี จูเหลี่ยนก็ช่าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่โดดเด่นที่สุดในแจกันสมบัติทวีป หลงใหลในความงามของสตรีเช่นนี้ ทว่าข้างกายกลับไม่มีสาวงามเคียงกายสักคน

ยุทธภพในโลกมนุษย์ คำว่าปรมาจารย์ในยุทธภพ ต่อให้เป็นแค่ขอบเขตหกขอบเขตเจ็ด คิดจะแนบชิดกับสตรีสักคน ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ?

เด็กชายชุดเขียวทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือสอดรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน

เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้

อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่แท้จริงอีกด้วย

ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ เผยเฉียนมาเจอกับผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง

ผู้เฒ่ายิ้มถาม “ทำไม จะมาทวงความเป็นธรรมแทนอาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ท่านผู้เฒ่า พวกเราต่างก็เป็นวีรบุรุษชายชาตรีที่อาศัยอยู่ในยุทธภพ ควรต้องมีคุณธรรมน้ำใจ รู้จักตอบแทนบุญคุณของผู้อื่น ถูกไหม?”

ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร

เขาหลุบตาลงมองเจ้าเด็กตัวดำเป็นถ่านที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอ่อนแห่งชะตาบู๊คนหนึ่ง แล้วก็ให้รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดเจ้าเด็กในห้องผู้นั้นถึงตัดใจไม่ตั้งใจขัดกลึงหยกดิบชั้นเลิศของโลกก้อนนี้ได้ลงคอนะ เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่สายตานั้นนับว่าพอจะมีแววอยู่บ้าง เขาก็ไม่ควรจะมองพรสวรรค์และฐานกระดูกของเผยเฉียนไม่ออกถึงจะถูก เหตุใดแค่เจ้าลูกกระต่ายจอมขี้เกียจที่อยู่ด้านล่างผู้นี้ร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ไหว ก็ไม่บังคับให้นางตั้งใจฝึกวรยุทธอย่างจริงๆ จังๆ เสียแล้ว วันๆ เอาแต่คิดว่าคืนหนึ่งจะฝึกวิชากระบี่ล้ำโลก อีกสองวันจะฝึกกระบวนท่าใต้หล้าไร้ศัตรูอะไรนั่นอยู่ได้

เพียงแต่นังหนูน้อยที่นับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ผู้นี้ภักดีต่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกจะสอดมือเข้าแทรก นี่ต่างหากจึงจะเป็นคุณธรรมในยุทธภพที่แท้จริง ต่อให้เจ้าถ่านดำน้อยจะเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ เป็นการย่ำยีทรัพยากรสวรรค์ ผู้เฒ่าก็ได้แต่รอให้เฉินผิงอันกลับภูเขาลั่วพั่วมาก่อนถึงพอจะพูดอะไรได้ ส่วนสุดท้ายแล้วเฉินผิงอันจะถ่ายทอดวรยุทธให้เผยเฉียนอย่างไร ก็ยังคงเป็นเรื่องในบ้านของพวกเขาสองอาจารย์กับศิษย์อยู่ดี

ผู้เฒ่าไม่เอ่ยคำใด

เผยเฉียนก็ยิ่งไม่เหลือความมั่นใจ หากให้สู้กัน นางย่อมเอาชนะไม่ได้แน่ เรียกพ่อครัวเฒ่ามาช่วยก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องโทษที่วิชากระบี่มารคลั่งของตนฝึกสำเร็จได้ยากเกินไป ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะปล่อยให้เจ้าตะพาบเฒ่าทำตัวกำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้ ป่านนี้คงซ้อมให้เขานอนหมอบราบคาบแก้ว ยอมรับผิดต่ออาจารย์ของตนไปนานแล้ว

เพียงแต่วันนี้เผยเฉียนใจกล้ามากเป็นพิเศษ นางไม่ยอมหันหลังกลับไปง่ายๆ

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน บอกเป็นนัยแก่นางว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

เผยเฉียนปัดมือของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทิ้งเบาๆ นางยืดอกเชิดคอ พูดเสียงดังว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกเรามาเล่นหมากห้าเม็ดกัน ข้าจะเป็นคนตั้งกฎเอง ใครชนะก็ต้องฟังคนนั้น ท่านกล้าหรือไม่?!”

ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่กล้า”

เผยเฉียนอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยว่า “ต้องรอให้วันใดอาจารย์ของเจ้าถูกคนตีตายก่อนใช่หรือไม่ เจ้าถึงจะตั้งใจฝึกวรยุทธ? จากนั้นฝึกแค่ไม่กี่วันก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาอีก ก็เลยถอดใจมันเสียเลย ทุกปีก็ได้แต่ขยันไปเยี่ยมหลุมศพของอาจารย์เจ้าให้มากหน่อย เหมือนอย่างที่เจ้าทำกับหลุมศพของพ่อแม่อาจารย์เจ้า แค่นี้เจ้าก็สบายใจได้แล้ว?”

เผยเฉียนน้ำตาคลอเบ้า เม้มปาก ยื่นมือมากำด้ามดาบที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น

และเวลานี้เอง เงาร่างชุดเขียวก็เดินโงนเงนออกมาจากในห้อง เอนตัวพิงราวระเบียง โบกมือพูดกับเผยเฉียนว่า “กลับไปนอนเถอะ อย่าไปฟังเขา อาจารย์ยังไม่ตายหรอก”

เผยเฉียนน้ำตาคลอเจียนจะหยด “แล้วถ้าท่านตายล่ะ?”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นมาบนเรือน อาจารย์จะให้เขาช่วยจับเส้นเอ็นคลายกระดูกให้เจ้า เหมือนกับที่ตอนนั้นสุยโย่วเปียนทำให้เจ้าที่นครมังกรเฒ่า เอาไหมล่ะ? ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่กลับไปนอนจะจับเจ้าขึ้นมา คิดจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว วันหน้าอาจารย์ก็จะไม่สนใจเจ้าแล้ว ทุกเรื่องปล่อยให้ท่านผู้อาวุโสเป็นคนจัดการ”

เฉินผิงอันเพิ่งจะนับถึงสาม

เผยเฉียนก็เผ่นแผล็วไปแล้ว นางวิ่งพลางตะโกนไปด้วย “ไม่มีคำว่าถ้า ไหนเลยจะมีคำว่าถ้า อาจารย์ร้ายกาจจะตายไป”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ก็ไม่เห็นจะมีมโนธรรมสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันไออยู่สองสามที มองแผ่นหลังของเด็กหญิงที่ห่างไปไกลด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ้มกล่าวว่า “เด็กตัวแค่นี้ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว หากยังคาดหวังมากกว่านี้ คงเป็นพวกเราที่ไม่ถูก”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป ช้าหน่อยก็คือช้าหน่อย แต่เผยเฉียนไม่เหมือนกัน ต้นกล้าที่ดีขนาดนี้ ยิ่งเจอกับความลำบากเร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ดิบได้ดีมากเท่านั้น อายุสิบสามสิบสี่ก็ไม่ถือว่าเด็กแล้ว หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่เจ้าอายุเท่านี้ก็เริ่มหยิบตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นมาฝึกวิชาหมัดแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็คือข้าที่เป็นอาจารย์ของเผยเฉียน คำพูดของท่านไม่เป็นผลหรอก”

ผู้เฒ่าเหล่ตามอง “ทำไม คิดจะเลี้ยงเผยเฉียนเป็นลูกสาวจริงๆ รึ? เจ้าต้องคิดดูให้ดีล่ะ ภูเขาลั่วพั่วต้องการคุณหนูสูงศักดิ์ที่ทำตัวไร้ขื่อไร้แป หรือต้องการตัวอ่อนชะตาบู๊ที่กระดูกแข็งทนทานกันแน่”

เฉินผิงอันวางสองมือไว้บนราวระเบียง “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าแค่คิดว่าในช่วงอายุเท่านี้ของเผยเฉียน นางก็ต้องทำเรื่องมากมายที่ตัวเองไม่ชอบแล้ว คัดหนังสือเอย เดินนิ่งเอย ฝึกดาบฝึกกระบี่ แค่นี้ก็ยุ่งมากพอแล้ว อีกอย่างนางก็ไม่ได้เอาแต่เล่นไปวันๆ จริงๆ เสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องได้ทำเรื่องที่นางชอบทำบ้าง”

ผู้เฒ่าถาม “ดวงตาคู่นั้นของนังหนูน้อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “นับตั้งแต่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าจะทำอะไรบางอย่างกับในดวงตาของนาง แต่ว่าน่าจะเป็นเรื่องดี”

ผู้เฒ่าเองก็ไม่ใช่คนมีนิสัยอืดอาด หลังจากถามเรื่องนี้แล้วก็ไม่สนว่าจะได้คำตอบที่พึงพอใจหรือไม่ เขาเปลี่ยนหัวข้อถามเรื่องใหม่ทันที “เดินทางไปภูเขาพีอวิ๋นครั้งนี้ หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็ติดนิสัยมืออ่อน มอบของขวัญอะไรให้เว่ยป้ออีกใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ตอบไปเบาๆ โดยไม่ได้ปิดบัง “คือเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสชิ้นหนึ่งของตู้เม่าที่บินทะยานล้มเหลวแล้วร่วงลงสู่โลกมนุษย์”

ผู้เฒ่าเป็นคนที่เห็นโลกกว้างมาก่อน จึงถามตามตรงว่า “ใหญ่แค่ไหน”

เฉินผิงอันตอบ “ใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก”

เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าผู้เฒ่าจะด่าว่าเขาเป็นคนล้างผลาญ คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “ไม่อาจติดค้างน้ำใจเว่ยป้อได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นในอนาคตสภาพจิตใจของทุกคนบนภูเขาลั่วพั่วจะต้องเดือดร้อนไปกับเจ้าด้วย ต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาคนอื่นตลอดชีวิต ไม่อาจเงยหน้าแหงนมองภูเขาพีอวิ๋นได้อีก”

ผู้เฒ่าถามอีก “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปล่อยสองหมัดต่อยให้เจ้าไปตกในลำธารต่อหน้าหร่วนซิ่ว?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ผู้เฒ่ากล่าว “ปีนั้นหร่วนซิ่วติดตามหน่วยจานกานของต้าหลีไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าคงรู้ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เกือบจะได้เจอกันแล้ว”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางสังหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้าหลีต้องการได้ตัวไป? แม้แต่ตัวหร่วนซิ่วเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดนัก เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นตัวเลือกลูกศิษย์ที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้งหมายตา ตอนนั้นบนภูเขาพุดตาน สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว เซียนดินโอสถทองที่หลอกเอาตัวเด็กหนุ่มมาตายไปแล้ว ศาลบรรพจารย์ของภูเขาพุดตานถูกรื้อถอน ผู้ฝึกตนอิสระล้วนตายคาที่กันไปหมด ทว่าหน่วยจานกานต้าหลีกลับไม่มีความเสียหายใดๆ เจ้าลองคิดดูสิว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่ได้พาตัวเด็กหนุ่มจากแถบทิศเหนือของต้าหลีซึ่งเดิมทีเส้นทางอนาคตควรปูด้วยผ้าแพรผู้นั้นกลับมาด้วย?”

—–