เฉิงเม่ยเฟิงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6ส่วนเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 หลังจากทะลวงจุดซือไห่ได้แล้ว ทั้งคู่ต่างก็มีรัศมีจิตหยั่งรู้ครอบคลุมระยะทางสามกิโลเมตร
  หลิงหยุนรู้ดีว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นมีพลังจิตที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอีกทั้งภายในร่างกายยังมีพลังอมตะสีทองที่เขาเคยถ่ายเทไว้ให้เมื่อหกเดือนก่อนด้วย เขาจึงปล่อยให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพัฒนาขั้นไปโดยไม่คิดยับยั้ง เพราะรู้ดีว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อการฝึกฝนของนางในวันข้างหน้า
  หลังจากที่พัฒนาขั้นได้สำเร็จแล้วเหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงนั่งเดินลมปราณต่อไปอีกครู่ใหญ่ เพื่อดูดซับเอาพลังชีวิตธาตุไม้จากหลิวเทวะวิญญาณต่อไปเรื่อยๆ
  หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมากำลังอาศัยโอกาสนี้ฝึกวิชาพฤกษาขจีไปด้วยนั่นเอง
  “เสี่ยวอู๋ถึงคราวของเจ้าแล้ว!”
  แม้ว่ายังเหลือเวลาอีกมากกว่าที่งานชุมนุมชาวยุทธจะเริ่มต้นขึ้นหลิงหยุนก็ไม่ต้องการเสียเวลา เขาจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋เข้ามาทันที
  เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5แล้ว ส่วนดาราคุ้มกายยังคงอยู่ในด่านที่หนึ่ง จิตหยั่งรู้มีรัศมีครอบคลุมราวสองพันเมตร และเวลานี้กำลังเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของการกลั่นปราณบ่มเพาะจิต
  ตี้เสี่ยวอู๋เป็นผู้หลงใหลการฝึกวรยุทธยิ่งนักผลจากการหมั่นเพียรฝึกฝนตลอดทั้งวันทั้งคืนที่ผ่านมา ทำให้เขาสามารพัฒนาขั้นได้สามระดับย่อยในคราวเดียว และด้วยความช่วยเหลือของหลิงหยุน เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 ได้แล้ว แต่หลิงหยุนเกรงว่าขั้นของตี้เสี่ยวอู๋จะยังไม่มั่นคง จึงให้เขาหยุดอยู่เพียงแค่นั้น
  สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้เสี่ยวอู๋หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องรีบเร่งนัก!
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้เดินนำตี้เสี่ยวอู๋ไปที่หน้าผาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขา และสั่งให้เขานั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น
  “เอาล่ะ..เจ้าฝึกดาราคุ้มกายตรงนี้ ข้าจะช่วยเอง!”
  ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ได้เริ่มโคจรดาราคุ้มกายไปทั่วร่าง ในเวลาเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ภาพที่ปรากฏขึ้นก็ทำให้หวังชงเซียวถึงกับตกใจอย่างมาก
  “นั่น..คุณชายหลิง.. ท่าน..”
  ทันทีที่หลิงหยุนเริ่มโคจรดาราคุ้มกายเหล่าดวงดาวทั่วท้องนภาต่างก็ร้อยเรียงเป็นเส้นราวกับไหมดาราที่กำลังเชื่อมต่อกับร่างของหลิงหยุน และกำลังทอประกายระยิบระยับอย่างสวยงาม ไม่เพียงเท่านั้น แสงจันทราจากฟากฟ้าก็ได้ส่องสว่างลงไปครอบคลุมร่างของหลิงหยุนไว้แต่เพียงผู้เดียว
  เวลานี้หลิงหยุนดูราวกับเป็นศูนย์กลางของจักรวาลเขาสามารถควบคุมดวงจันทร์และเหล่าดวงดาราทั่วท้องนภานับล้านๆดวงไว้ได้!
  หวังชงเซียวถึงกับตกตะลึงเขาไม่สนใจเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอีก สายตาของเขาจับจ้องอยู่เพียงแค่เรือนร่างอันน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนเท่านั้น
  ตูม!
  ในเวลาเดียวกันนั้นตี้เสี่ยวอู๋เองก็ได้โคจรดาราคุ้มกายด้วย เพียงแต่ภาพที่เห็นไม่เด่นชัดเท่าหลิงหยุน ต้องสังเกตดูให้ดีเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นได้
  ตี้เสี่ยวอู๋รู้ว่าหลิงหยุนกำลังช่วยเหลือตนเองอยู่เขาจึงไม่ลังเลและรีบดูดซับเอาพลังดวงดาว และพลังจันทราเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว
  ตูม!
  และเพียงแค่ภายในเวลาไม่กี่นาทีตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถเข้าสู่ระดับเริ่มต้นด่านที่สองของดาราคุ้มกายได้แล้ว
  แต่ในเมื่อคืนพระจันทร์เต็มดวงจะมีเพียงแค่ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นหลิงหยุนจึงไม่ต้องการหยุดอยู่เพียงแค่นั้น เขายังคงช่วยให้ตี้เสี่ยวอู๋ดูดซับเอาพลังจันทราและพลังดวงดาวเข้าไปอีกเรื่อยๆ
  บูม!
  พลังของพระจันทร์เต็มดวงนั้นมีผลต่อการฝึกวิชาดาราคุ้มกายอย่างมากภายใต้การช่วยเหลือของหลิงหยุน ในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเขาก็สามารถเข้าสู่ลำดับที่สี่ของดาราคุ้มกายด่านที่สองได้สำเร็จ
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้หยุดโคจรดาราคุ้มกายแล้วภาพที่น่าอัศจรรย์ใจนั้นก็หายวับไปทันที!
  “เสี่ยวอู๋เวลานี้จิตหยั่งรู้ของเจ้ามีรัศมีเท่าใดแล้ว” หลิงหยุนร้องถามตี้เสี่ยวอู๋ที่ัยังคงโคจรดาราคุ้มกายอยู่
  “น่าจะใกล้ๆสามกิโลเมตรแล้ว!”   ตี้เสี่ยวอู๋ตอบไปตามความจริงเขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 และเวลานี้ก็สามารถเข้าสู่ดาราคุ้มกายด่านที่สองได้แล้ว จิตหยั่งรู้จึงขยายขอบเขตการรับรู้ขึ้นตามไปด้วย
  “ไม่เลวเลยทีเดียว!”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยชม“แต่เจ้ายังมีโอกาสที่จะพัฒนาขั้นได้อีก”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางมองจินเหยียวที่ก้าวออกมาจากค่ายกลหลุมพลังพร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “ท่านน้าจินเหยียวถึงคราวของท่านแล้ว!”
  “อืมม..”
  จินเหยียวพยักหน้ารับรู้แล้วกระโดดเข้าไปหาที่นั่งขัดสมาธิทันที จินเหยียวนั้นเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ไม่นาน หลิงหยุนจึงได้ย้ำให้นางอย่าเพิ่งรีบร้อนพัฒนาขั้นจนกว่าขั้นที่เป็นอยู่จะมั่นคงเสียก่อน  เวลานี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วอีกทั้งนางเพิ่งจะกลืนโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญไปไม่กี่วันนี้ ซึ่งโอสถทั้งสองก็มีผลต่อการชำระล้างร่างกาย ทำให้ไม่สามารถยับยั้งการพัฒนาขั้นได้อีกแล้ว
  ครั้งนี้จินเหยียวจึงไม่ต้องอาศัยโอสถใดๆเลยแม้แต่น้อยเพียงแค่ลำพังพลังปราณภายในร่างกายของนางเอง ก็สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสองขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้แล้ว
  แต่ดูเหมือนหลิงหยุนจะไม่พอใจเพียงแค่นั้นเขานั่งขัดสมาธิลงด้านหลังของจินเหยียว และทำการถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงจากร่างของตนผ่านแผ่นหลังของนาง สำหรับจินเหยียวแล้ว หลิงหยุนไม่เคยนึกเสียดายหรือลังเลใดๆเลย แม้จะเป็นถึงพลังอมตะสีม่วงก็ตาม
  และทันทีที่จินเหยียวได้รับพลังอมตะสีม่วงเข้าไปในร่างกายความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นทันที!
  บูม!
  เพียงแค่พริบตาเดียวจินเหยียวก็สามารถเข้าสู่ระดับสามขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ในทันที ก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นั้น แล้วจินเหยียวก็เริ่มเดินลมปราณให้ขั้นพลังมั่นคงต่อไป
  ความจริงแล้วจินเหยียวสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้อีกแต่เวลานี้นางกำลังรู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งรู้ดีว่าการทำให้ขั้นที่มีอยู่มั่นคงนั้นสำคัญกว่าการเร่งรีบพัฒนาขั้นนัก นางจึงไม่รีบร้อน และไม่คิดที่จะพัฒนาขั้นให้สูงขึ้นกว่านี้
  หลังจากที่จินเหยียวลุกขึ้นยืนหลิงหยุนจึงถามออกไปว่า “ท่านน้าจินเหยียว เวลานี้จิตหยั่งรู้ของท่านครอบคลุมรัศมีเท่าใดแล้ว”
  “สามพันเมตรและหนึ่งนาทีข้าสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงสามหยดทีเดียว!”
  หลิงหยุนพยักหน้าอย่างปลื้มปิติเพราะนั่นหมายความว่าจินเหยียวได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วเช่นกัน!
  ระหว่างที่คนอื่นๆกำลังดีอกดีใจกันอยู่นั้นหวังชงเซียวก็ได้แต่หันไปมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที หันไปมองตี้เสี่ยวอู๋ที แล้วก็หันไปมองจินเหยียวกับเฉิงเม่ยเฟิงที และสิ่งที่หลิงหยุนกำลังทำอยู่ในเวลานี้ ก็ได้ทำให้เขาโยนสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกวิชามาทั้งหมดทิ้งไปในทันที
  เฉิงเม่ยเฟิงก้าวหน้าได้อย่างไรนั้นหวังชงเซียวไม่อาจรู้ได้แต่เวลานี้ทั้งสามคนที่พัฒนาขั้นต่อหน้าเขานั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย แม้ต่างคนต่างจะฝึกฝนมาตามแนวทางของตน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็สามารถบรรลุเป้าหมายเดียวกันได้!
  นี่นับได้ว่าหลิงหยุนสามารถสร้างผู้บ่มเพาะพลังในขั้นซานฉางชี่ได้หลายคนในคราวเดียวและใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
  และที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือทุกคนต่างก็ดูเหมือนจะไม่เร่งรีบในการพัฒนาขั้นนัก และยังมีพลังสำรองเหลืออยู่อีกมากมาย!
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินเหยียว!
  เวลานี้ความเข้าใจในเรื่องการฝึกบ่มเพาะที่หวังชงเซียวได้เรียนรู้มานั้นถูกหลิงหยุนทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ได้พบกับหลิงหยุนเร็วกว่านี้!
  ‘โอกาสเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!หากเขาได้พบกับหลิงหยุนเร็วกว่านี้ อย่าว่าแต่โอสถเยาว์วัย โอสถโฉมสะคราญ หรือแหวนพื้นที่เลย มีโอสถสำหรับการบ่มเพาะพลังชนิดใดบ้างที่คนเช่นหลิงหยุนจะไม่สามารถหามาได้ดีกว่า’
  หวังชงเซียวครุ่นคิดพร้อมกับกำหมัดแน่นและตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะต้องติดตามหลิงหยุนต่อไป!
  “หลิงหยุนขอบใจเจ้ามาก!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่เพิ่งจะฝึกฝนเสร็จร้องตะโกนบอกหลิงหยุนและดูเหมือนนางจะยังไม่อยากออกมาจากค่ายกลหลุมพลังนัก ร่างงดงามนั้นยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวเทวะวิญญาณเช่นเคย
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมานึกประหลาดใจไม่น้อยที่หลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ให้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลกับตนถึงเพียงนี้!   หลิงหยุนกระโดดเข้าไปหาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับถามขึ้นว่า“เจ้าฝึกวิชาพฤกษาขจีก้าวหน้าไปมากเพียงใด”
  และนี่คือเรื่องที่หลิงหยุนสนใจใคร่รู้มากที่สุด!
  “ก็ไม่มากเท่าไหร่..น่าจะระดับหก ฮ่า ฮ่า..” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบยิ้มๆ
  สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นอย่างมากพร้อมกับร้องถามออกมาอย่างตกใจ“นี่เจ้าพูดจริงรึ!”
  และหากเหมี่ยวเสี่ยวเหมาฝึกฝนวิชาพฤกษาขจีจนสามารถเข้าสู่ระดับที่เจ็ดได้เมื่อใดเพียงแค่คิดนางก็จะสามารถสั่งดอกไม้ให้เบ่งบานได้!
  “ข้าจะทดสอบให้เจ้าดู!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบยิ้มๆจากนั้นจึงเรียกเมล็ดพันธุ์พืชในแหวนพื้นที่ของตนเออกมาวางไว้บนฝ่ามือ แล้วจึงใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น  และนั่นก็ทำให้หวังชงเซียวถึงกับตกอกตกใจอีกครั้ง!
  เขาเห็นเมล็ดพันธุ์บนฝ่ามือของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาค่อยๆมีรากงอกอกมาจากนั้นจึงค่อยๆเติบโตขึ้นจนกระทั่งแตกใบออกดอกออกผลทันที!
  ขั้นตอนทั้งหมดนั้นใช้เวลาเพียงแค่หกนาทีเท่านั้น!
  แม้นี่จะยังห่างไกลคำว่าเพียงแค่คิดดอกไม้ก็บานแต่เพียงแค่นี้ก็นับว่าอัศจรรย์อย่างยิ่งแล้ว!
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า.. เยี่ยม! ยอดเยี่ยมมาก! ต่อไปเจ้าคงต้องอยู่ใกล้ๆข้าในยามที่ข้าหลอมโอสถ หรือปลุกเสกยันต์แล้วล่ะ เจ้าคงช่วยข้าได้ไม่น้อยทีเดียว!”
  หลิงหยุนร้องบอกเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความดีอกดีใจ
  “เจ้าฝันไปเถอะ!”
  มีหรือที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะไม่รู้ว่าหลิงหยุนกำลังคิดสิ่งใดอยู่