บทที่ 1306 พัฒนาขั้น (จบ

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจัดการเก็บเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งเติบโตและแตกหน่อออกใบในมือกลับเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ด้วยความระมัดระวัง
  นั่นเพราะนางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูกและนี่จะเป็นความทรงจำที่นางไม่ต้องการลืมเลือน จึงตั้งใจที่จะเก็บสมุนไพรที่มีความหมายต่อจิตใจนี้ไว้
  หลังจากนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ไม่ได้หันกลับไปมองหลิงหยุนอีกเลยและได้แต่หันไปพูดคุยกับเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆแทน
  ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงทั้งจินเหยียว เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และตี้เสี่ยวอูู๋ ก็สามารถพัฒนาขั้นกันได้อย่างสมบูรณ์
  เวลานี้จึงเหลือเพียงหลิงหยุนเย่ซิงเฉิน ฉินตงเฉี่วย และแวมไพร์ทั้งห้าเท่านั้น
  “ทุกคนมารวมกันตรงนี้!”
  หลิงหยุนเดินไปยืนอยู่ตรงกลางของเขาเห็ดและโบกมือเรียกทุกคนรวมทั้งแวมไพร์ทั้งห้าให้มารวมตัวกันอยู่ตรงกลาง เว้นเพียงแค่หวังชงเซียว และเฉิงเม่ยเฟิงสองคนเท่านั้น
  หลังจากที่ทุกคนไปรวมตัวกันอยู่กันแล้วหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ครั้งนี้จะเป็นการผสานลมปราณ หวังว่าทุกคนจะพยายามกันอย่างสุดความสามารถ”
  “แต่ขอให้ทุกคนจดจำคำเตือนของข้าที่มักจะย้ำบ่อยๆว่าอย่าได้รีบร้อน ไม่เช่นนั้นหากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะเป็นผลเสียหายต่อการฝึกวิชาในวันข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด..”
  “การฝึกฝนในวันข้างหน้าจะยิ่งลำบากยากเย็นมากกว่านี้จะต้องพบเจออันตรายมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับทัณฑ์สวรรค์!”
  หลิงหยุนทำสีหน้าจริงจังและเคร่งเครียดอย่างมากเพราะเขาเคยผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ในขั้นอมตะมาแล้ว เขารู้ว่ามันรุนแรง แล้วก็น่ากลัวมาเพียงใด และเขาเองก็เคยพ่ายแพ้มาแล้วเช่นกัน!   “หลิงหยุนเรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลใจ พวกเราต่างก็ติดตามเจ้ามานาน จึงคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี!”
  จินเหยียวเห็นหลิงหยุนเฝ้าย้ำด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้จึงได้แต่บอกให้เขาสบายใจ
  หลิงหยุนพยักหน้าจากนั้นจึงเริ่มทำการสร้างค่ายกลหลุมพลังขึ้นมาล้อมรอบตนเองใหม่อีกชั้น
  “ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันเลย!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับบอกนางว่า“น้าหญิง สิ่งสำคัญที่สุดของท่านในครานี้คือต้องเข้าสู่ดาราคุ้มกายด่านที่สองให้ได้ ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ”
  “เด็กดื้อข้ารู้แล้วน่า!”
  ฉินตงเฉี่วยเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบเสียงห้วนและดูเหมือนนางจะไม่ค่อยพอใจนัก!
  จะไม่ให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจได้อย่างไรกันเล่าเวลานี้นางได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 แล้ว แต่กลับยังไม่สามารถทะลวงจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วได้ ในขณะที่ทุกคนรอบตัวนางไม่ว่าจะเป็นเฉิงเม่ยเฟิง ตี้เสี่ยวอู๋ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และจินเหยียว ต่างก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่กันหมดแล้ว เว้นนางเพียงคนเดียวเท่านั้น เหตุใดนางจึงจะไม่รู้สึกฉุนเฉียวหลิงหยุนได้เล่า?
  “ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันได้เลย!”
  หลิงหยุนเห็นท่าทีของฉินตงเฉี่วยแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาจากนั้นจึงหันไปมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับสั่งให้ทุกคนเริ่มเดินลมปราณได้
  เย่ซิงเฉินกับหลิงหยุนต่างก็ยิ้มให้กันแล้วทั้งคู่ก็โคจรดาราคุ้มกายพร้อมๆกัน!
  เวลานี้ทั้งคู่ต่างก็เข้าสู่ระดับสูงสุดของดาราคุ้มกายด่านที่สองแล้วอีกทั้งเย่ซิงเฉินยังมีกายดาราด้วย เมื่อทั้งคู่โคจรดาราคุ้มกายพร้อมกันเช่นนี้ ภาพที่เกิดขึ้นจึงยิ่งทำให้หวังชงเซียวตกใจมากกว่าทุกครั้ง และเวลานี้เขาก็กำลังยืนอ้าปากหวอ..   เวลานี้แสงจันทรากำลังถูกคนทั้งคู่ควบคุมขับเคลื่อนได้ตามใจชอบแสงจันทร์ทอประกายสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้แสงจันทราจากฟากฟ้ากำลังสาดส่องเข้าใส่ร่างของคนทั้งคู่ และบริเวณโดยรอบราวกับแสงสปอร์ทไลท์บนเวทีการแสดง แสงจันทร์ส่องสว่างจนกระทั่งหวังชงเซียวไม่อาจลืมตาขึ้นสู้แสงที่เจิดจรัสนั้นได้อีก!
  ภาพที่เห็นในเวลานี้แสงจันทร์ที่ทอดลงมาสู่ร่างของหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินนั้น ราวกับสายน้ำสองสายที่กำลังไหลรินมาจากฟากฟ้า
  ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างเจิดจ้านี้ส่งผลให้แสงของดวงดาราโดยรอบหม่นลงในทันทีจนเกือบจะมองไม่เห็น และเวลานี้ยอดเขาเห็ดแห่งนี้ก็กำลังสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ
  เหล่าแวมไพร์ทั้งห้าได้กลายร่างเป็นแวมไพร์มีปีกร่างสูงใหญ่โอบล้อมชายหญิงทั้งหกไว้ด้านในในขณะเดียวกันพวกมันก็ได้ใช้พลังแห่งแวมไพร์ในตัวดูดซับเอาพลังจันทราที่กำลังสาดส่องลงมาเข้าไปในร่างอย่างตะกละตะกราม
  ตูม!
  เพียงแค่พริบตาเดียวแวมไพร์ทั้งสี่ตนก็เข้าสู่ระดับสูสุดขั้นมาร์ควิสได้ในทันที เพราะตลอดเวลาก่อนหน้านี้พวกมันทั้งสี่ได้ดูดซับเอาพลังจันทราเข้าไปเต็มที่แล้ว
  ปัง!
  ในขณะที่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านที่สามของดาราคุ้มกายได้พร้อมๆกัน
  และนั่นยิ่งทำให้พลังจันทราที่ทั้งคู่ร่วมมือกันดึงดูดเข้ามานั้นส่องแสงจรัสเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม และสามารถดูดซับเอาพลังจันทราในบริเวณรอบๆตัวสองกิโลเมตรเข้ามาในร่างกายได้อย่างง่ายดาย
  ตูม!
  ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็สามารถเข้าสู่ดาราคุ้มกายด่านที่สองได้แต่กลับไปหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น  ปัง!
  จินเหยียวและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็สามารถพัฒนาขั้นของดาราคุ้มกายได้เช่นกันแต่เป็นเพราะพวกนางสองคนเพิ่งฝึกวิชาดาราคุ้มกายได้ไม่นาน จึงสามารถพัฒนาได้เพียงระดับย่อยเท่านั้น
  ส่วนตี้เสี่ยวอู๋นั้นเพิ่งจะพัฒนาเข้าสู่ดาราคุ้มกายด่านที่สองได้เวลานี้เขาจึงเพียงแค่อาศัยพลังจันทรารวบรวมพลังในขั้นนี้ให้เสถียรมั่นคงเท่านั้น
  “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมช่วงเวลาสำคัญกำลังใกล้จะมาถึงแล้ว!”
  หลังจากผ่านไปราวสิบห้านาทีหลิงหยุนก็ร้องตะโกนเตือนทุกคนให้เตรียมพร้อม..
  หวังชงเซียวได้แต่ยืนงงเหตุใดหลิงหยุนจึงพูดว่าช่วงเวลาสำคัญ ในเมื่อทุกคนเพิ่งจะพัฒนาขั้นกันไป
  แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ และเวลานี้ก็กำลังตกใจจนแทบช็อค!   หวังชงเซียวเห็นว่าจู่ๆก็มีหมอกควันสีเหลืองหนาพวยพุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของหลิงหยุนเพียงแค่เดี๋ยวเดียวก็ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณภายในค่ายกลที่เขาได้สร้างไว้ และได้ครอบคลุมร่างของชายหญิงทั้งหกรวมทั้งแวมไพร์ทั้งห้าตนไว้จนมิดชิด!
  “สวรรค์..นั่นมัน!!”
  หวังชงเซียวถึงกับอึ้งไปเขาเฝ้าครุ่นคิดและพยายามทำความเข้าใจว่าหมอกหนาสีเหลืองที่ปรากฏอยู่นั้น มันคือแสงอะไรกันแน่ หรือเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นใดกัน?
  แน่นอนว่ามันคือปราณอมตะเสวียนหวงหลิงหยุนได้สื่อสารกับดวงจิตในสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ และด้วยความช่วยเหลือของสมุดจักรพรรดิ เวลานี้แวมไพร์ทั้งสี่ก็ได้เข้าสู่ขั้นดยุคแล้ว!
  และนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่หลิงหยุนพูดถึง!
  พลังจันทราที่แก่กล้าและปราณอมตะเสวียนหวงนั้น เสมือนโอสถวิเศษสำหรับเหล่าแวมไพร์ทั้งสี่ ทำให้พวกมันรู้สึกสดชื่นและมีพลังอย่างล้ำลึก
  บูม!
  หลังจากที่ดูดซับเข้าไปอย่างเต็มที่ในที่สุดเจสเตอร์ก็เป็นแวมไพร์ตนแรกที่พัฒนาร่างเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุค ตามมาด้วยพอล เพียร์ซ และจอยซ์!
  ภาพของเหล่าแวมไพร์เวลานี้ไม่ต่างจากเทพเจ้าแห่งปีศาจเลยร่างของพวกมันต่างก็ขยายใหญ่ขึ้นและมีความสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตร ปีกทั้งสองข้างสยายออกได้ไกลนับสิบเมตร!
  เวลานี้ร่างของเหล่าแวมไพร์ทั้งสี่ได้กลายเป็นสีม่วงไม่ว่าจะเป็นดวงตา ปีก แม้กระทั่งผิวหนัง ทุกส่วนล้วนกลายเป็นสีม่วงเช่นเดียวกับเอ็ดเวิร์ด และนี่คือสัญลักษณ์ของแวมไพร์ชั้นสูง!
  ‘ไม่เลวทีเดียว!ข้ายังจะมอบสิ่งล้ำค่าให้กับพวกเจ้าอีก’   หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกดีใจและเวลานี้เขาก็เริ่มถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงให้กับเหล่าแวมไพร์ทั้งห้าทีละตน!
  หลิงหยุนเริ่มทำการหยดเลือดของตนลงไปในร่างของแวมไพร์ทั้งห้า..
  เวลานี้โลหิตของหลิงหยุนเสมือนสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งเพราะนอกจากจะมีปราณมังกรจักรพรรดิแล้ว ยังมีพลังอมตะสีม่วงอยู่ด้วย โลหิตของเขาในครั้งนี้จึงแตกต่างจากโลหิตที่เคยหยดใส่ร่างเอ็ดเวิร์ดในคราก่อน!
  บูม!
  แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้เวลานี้เหล่าแวมไพร์ทั้งห้าได้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นแกรนด์ดยุคแล้ว และร่างก็ได้ขยายสูงขึ้นมากกว่าสามเมตร ทุกส่วนของร่างกายเปลี่ยนจากสีม่วงธรรมดาเป็นสีม่วงทอง และปีกก็ขยายกว้างจากเดิมเป็นสิบสองเมตร!
  “พวกเราพร้อมต่อสู้แล้ว!”
  หลังจากที่พอลกับเจสเตอร์เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นแกรนด์ดยุคพวกมันก็กระพือปีกใหญ่ยักษ์ไปมาพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม!
  “ห๊ะ!”
  เวลานี้แม้แต่หลิงหยุนเองยังถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเพราะทั้งพอลและเจสเตอร์เวลานี้กลับมีปีกงอกขึ้นมาถึงสองคู่ ทั้งสองตนกลับพัฒนานำหน้าแวมไพร์ตนอื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
  ในขณะที่แวมไพร์อีกสามตนแม้แต่เอ็ดเวิร์ดยังคงมีปีกเพียงแค่คู่เดียวเท่านั้นแวมไพร์ที่เหลือทั้งสามตนมองพอลกับเจสเตอร์ด้วยความอิจฉา
  แม้ในวันที่หลิงหยุนได้หยดเลือดใส่ร่างเอ็ดเวิร์ดครั้งแรกนั้นมันจะอยู่ในขั้นมาร์ควิสแล้วก็ตาม แต่พอลกับเจสเตอร์นั้นได้รับเลือดของเขาไปก่อนหน้าเอ็ดเวิร์ดนานกว่า อีกทั้งพอลกับเจสเตอร์ก็ได้ติดตามหลิงหยุนมากนาน จึงสามารถฝึกฝนได้ก้าวหน้าเร็วกว่าแวมไพร์อีกสามตน  “เจ้านายที่เคารพ..พวกเราฟื้นคืนชีพอย่างสมบุรณ์แล้ว!” เจสเตอร์ร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
  “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้วไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องอยู่ในนี้อีกแล้ว!”
  หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่งและหลิงหยุนเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นกับเหล่าแวมไพร์ทั้งห้าอีกแล้ว เขาจึงไล่ให้ทั้งหมดออกไปด้านนอก
  แวมไพร์ทั้งห้าบินออกจากค่ายกลหลุมพลังตามคำสั่งของหลิงหยุนทันทีเพราะพวกมันได้ดูดซับเอาปราณอมตะเสวียนหวงเข้าไปอย่างมากมายแล้ว และไม่สามารถพัฒนาได้มากกว่านี้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่ทั้งหมดจะต้องอยู่ข้างในอีก
  หลังจากที่แวมไพร์ทั้งห้าบินออกไปด้านนอกแล้วฉินตงเฉี่วยก็กระโดดออกตามออกมาทันที เวลานี้นางได้เข้าสู่ดาราคุ้มกายระดับสิบสองเรียบร้อยแล้ว และคงไม่สามารถพัฒนาขึ้นสูงกว่านี้ได้อีกภายในช่วงเวลาสั้นๆ
  จากนั้นจินเหยียวกับเหมี่ยวเสียวเหมาก็กระโดดตามออกมาเช่นกันภายในค่ายกลหลุมพลังเวลานี้จึงเหลือเพียงแค่ตี้เสี่ยวอู๋ เย่ซิงเฉิน และหลิงหยุนเท่านั้น
  เวลานี้ด้วยอานุภาพของปราณอมตะเสวียนหวงทำให้ตี้เสี่ยวอู๋สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 จิตหยั่งรู้มีรัศมีครอบคลุมถึงสามกิโลเมตร และสามารถกลั่นเสินหยวนได้นาทีละสามหยด เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!
  เหตุผลก็คือ..ร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋นั้นมีธาตุทองและธาตุไม้โดดเด่น ปราณอมตะเสวียนหวงที่สมุดจักรพรรดิปลดปล่อยออกมานั้นจึงมีผลดีต่อร่างกายของเขาอย่างมาก เช่นเดียวกับที่พลังชีวิตธาตุไม้จากหลิวเทวะวิญญาณมีผลที่ดีกับร่างกายของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั่นเอง
  “เสี่ยวอู๋เจ้าเองก็ออกไปได้แล้ว!”
  หลิงหยุนรู้ว่าคืนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ไม่สามารถที่จะพัฒนาไปได้กว่านี้อีกแล้วเขาจึงไล่ให้ออกไปนอกค่ายกลหลุมพลังอีกคน
  และเวลานี้ภายในค่ายกลหลุมพลังก็เหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินสองคนเท่านั้นทั้งคู่ได้เข้าสู่ระดับห้าในด่านที่สาม (ระดับสิบเก้า) ของดาราคุ้มกายแล้ว
  คืนพระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้มีเพียงปีละครั้งเท่านั้นการจะพัฒนาเข้าสู่แต่ละระดับย่อยของดาราคุ้มกายนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก ต่อให้พวกเขาสองคนใช้เวลาฝึกเป็นครึ่งปี ก็ยังยากที่จะสามารถผ่านสองระดับย่อยไปได้
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับในเวลานี้มากแล้ว เวลานี้หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาได้เปลี่ยนไปมาก ภายในคล้ายมีพลังอัดแน่นอยู่ และรู้สึกว่าเพียงแค่หมัดเดียวของตนก็สามารถจัดการกับหวังชงเซียวได้อย่างง่ายดาย