บทที่ 1307 ปรากฏการณ์น่าทึ่งของเย่ซิงเฉิน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลิงหยุนหยุดการดูดซับพลังจันทราไว้เพียงแค่นั้นและหันกลับมาสังเกตความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตนเอง ในขณะที่เย่ซิงเฉินยังไม่หยุด นางหยุดฝึกวิชาดาราคุ้มกายและหันมาฝึกวิชาสุญตาดูดดาวแทน!
  ร่างของเย่ซิงเฉินลอยขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆและเวลานี้ได้ลอยอยู่เหนือพื้นดินราวห้าสิบเมตรได้ พลังภายในร่างกายเริ่มหมุนวนรอบตัวเป็นรูปพายุหมุน และภายในกระแสพลังนั้นมีดวงดาวทอประกายระยิบระยับอยู่มากมาย แต่เพราะความเร็วของพลังที่หมุนอยู่ทำให้เห็นแสงดาวที่ทอประกายระยิบระยับนั้นทอดเป็นทางยาวแทน!
  ในขณะเดียวกันนั้นที่จุดซือไห่กลางหน้าผากของเย่ซิงเฉินก็ราวกับมีกระแสพลังหมุนวนอยู่ และเริ่มเปล่งประกายสว่างไสวราวกับมีดวงดารานับล้านๆดวงรวมตัวกันอยู่ด้านใน
  หลิงหยุนจ้องมองท่าทีแปลกประหลาดของเย่ซิงเฉินและได้แต่คิดว่าดูท่านางคงจะสามารถพัฒนาเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ตลอดเวลา หลิงหยุนจ้องมองด้วยความตื่นเต้น และได้แต่เฝ้าดูอยู่เงียบๆ
  คนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็ยืนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเพราะภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้พวกเขาอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!
  เวลานี้เย่ซิงเฉินไม่ได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้เหมือนเช่นเคยจึงเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดา ภาพที่นางนั่งขัดสมาธิอ้าแขนนั้นก็ดูราวกับกำลังโอบกอดจักรวาลไว้ทั้งใบ แม้กระทั่งชุดผ้าแพรไหมทองคำที่นางสวมใส่อยู่นั้น ก็ยังทอประกายระยิบระยับที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าดวงดาราบนท้องฟ้า!
  ในสายตาของทุกคนเวลานี้เย่ซิงเฉินจึงงดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ความงดงามของนางนั้นทำให้ทุกคนต่างก็ครั่นคร้ามจนมิกล้ามองเต็มสองตา
  แม้แต่หลิงหยุนเองยังจ้องมองด้วยความตกตะลึงและได้แต่คิดในใจว่า จะหาผู้ใดมีภรรยางดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์เช่นเขาไม่มีอีกแล้ว!
  จากนั้นพลังที่หมุนรอบตัวเย่ซิงเฉินนั้นก็เริ่มหมุนเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย จนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทั้งหมดของบริเวณยอดเขาเห็ด!
  ตูม!
  ในทันใดนั้นเองเย่ซิงเฉินก็เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) และจิตหยั่งรู้ก็ขยายรัศมีออกไปไกลถึงห้ากิโลเมตร!
  “เยี่ยมมาก!”
  หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจเขากำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น!
  และในเวลานั้นเองหลิงหยุนก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน..
  ฟิ้ว!   พู่กันจักรพรรดิพุ่งออกมาจากจุดซือไห่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนทันทีแต่กลับมิได้ขยายใหญ่และยังคงมีขนาดเท่าเดิม จากนั้นพู่กันจักรพรรดิจึงได้ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเย่ซิงเฉิน
  หลิงหยุนซึ่งยืนอยู่ด้านล่างนั้นไม่อาจรู้ได้ว่าพู่กันจักรพรรดิเข้าไปทำอะไรในนั้นแต่เย่ซิงเฉินนั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน!
  เวลานี้พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์อยู่ท่ามกลางจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเย่ซิงเฉินซึ่งมีกระแสพลังของดวงดาวหมุนวนอยู่ด้านใน และมีดวงดาวนับล้านกำลังทอประกายแสงเจิดจ้า..
  เวลานี้พู่กันจักรพรรดิกำลังหมุนวนอยู่รอบกระแสพลังพายุหมุนดวงดาวก่อนจะพุ่งเข้าจุดประกายดวงดาวทั้ง 108 ดวงภายในนั้น แล้วจึงพุ่งออกมากลับเข้าสู่จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนเช่นเดิม
  “ในวันข้างหน้าโลกจะต้องเผชิญกับหายนะหลิงหยุนจะต้องพึ่งพาเจ้าเพื่อต่อสู้กับคนผู้นั้น!”
  ทันทีที่พู่กันจักรพรรดิกลับเข้าไปในจุดซือไห่ของหลิงหยุนแล้วเขาก็พึมพำออกมาคล้ายรำพึงรำพันกับตัวเอง จากนั้นก็เงียบหายไป
  แม้หลิงหยุนจะได้ยินคำพูดของพู่กันจักรพรรดิได้ไม่ชัดเจนนักแต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าครั้งนี้พู่กันจักรพรรดิดูอ่อนล้ายิ่งนัก
  ‘นี่มันอะไรกันดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างพุ่งเข้าสู่จุดซือไห่ของข้า?’
  ท่ามกลางจุดซือไห่ของเย่ซิงเฉินเวลานี้มีดวงดาวทั้ง 108 ดวงได้ส่องสว่างเหนือดวงดาวอื่นๆนับล้านดวง มันทอประกายสว่างไสวอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เย่ซิงเฉินสามารถย้อนมองกลับเข้าไปดูภายในร่างกายของตนเองได้ และเมื่อพบเห็นสิ่งเกิดขึ้นกลางจุดซือไห่ของตน นางก็ถึงกับตกใจอย่างบอกไม่ถูก!   ไม่เพียงดวงดาวทั้ง108 ดวงถูกจุดประกายสว่างไสว เย่ซิงเฉินยังสัมผัสได้ว่าจิตหยั่งรู้ของตนเองนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมาก และเวลานี้รัศมีของมันก็ได้ขยายครอบคลุมถึงหกกิโลเมตรเลยทีเดียว!
  แต่ถึงกระนั้นกลับไม่มีเสินหยวนแม้แต่หยดเดียว มีเพียงดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน และเวลานี้ดวงดาวเหล่านั้นก็กำลังหมุนวนเป็นพายุหมุนอยู่ด้านใน
  แม้ไม่พบหยดเสินหยวนเย่ซิงเฉินก็ไม่นึกกังวลใจแม้แต่น้อย เพราะเหล่าดวงดารามากมายนับไม่ถ้วนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสินหยวนเลย นางสามารถนำมันมาใช้ควบคู่กับวิชาสุญตาดูดดาวเพื่อจู่โจมศัตรูได้ไม่ต่างกัน
  “ซิงเฉินเจ้าอย่าด่วนดีใจไปนัก ในเมื่อเจ้าเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่แล้ว ก็ต้องเตรียมตัวรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วต่อไป!”
  แม้จะตื่นเต้นดีใจมากเพียงใดหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนเย่ซิงเฉิน..
  นั่นเพราะการที่เย่ซิงเฉินเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) ย่อมหมายถึงว่านางได้เข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้ว ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วย่อมต้องมาเยือนไม่ช้าก็เร็ว!
  “ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วงั้นรึข้ายังไม่รู้สึกสัมผัสได้..”
  เวลานี้เย่ซิงเฉินกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมากกว่านางสัมผัสได้ว่าตอนนี้นางสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้โดยไม่ต้องอาศัยเหล่าดวงดาวมากมายพยุงร่างไว้เช่นเคย
  “อะไรนะนี่เจ้าไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆเลยงั้นรึ?”
  ครั้งนี้เป็นหลิงหยุนที่นึกแปลกใจและได้แต่แอบคิดว่าหรือเป็นเพราะเมื่อครู่ที่พู่กันจักรพรรดิเข้าไปกลางจุดซือไห่ของนาง ก็เพื่อเข้าไปช่วยปกปิดอำพรางขั้นไว้ให้
  การปกปิดสวรรค์ย่อมสามารถทำได้หากสามารถพบเจอผู้ที่มีฝีมือสูงส่ง หรือไม่ก็ต้องหาหนทางที่จะปิดบังขั้นของตนเองไว้ให้ได้ตลอด และเมื่อพร้อมที่จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เมื่อใดจึงค่อยเปิดเผยต่อโลก
  ในเมื่อพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ได้ฉกฉวยของกำนัลที่สวรรค์ประทานให้หนิงหลิงยู่ไปมากก็เป็นไปได้ที่ต้องการจะช่วยเย่ซิงเฉินปิดบังสวรรค์
  ความจริงแล้วสิ่งที่หลิงหยุนคาดเดานั้นก็ไม่ผิดนัก เพราะในขั้นของเขาเวลานี้คงยากที่จะคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของพู่กันจักรพรรดิได้
  หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ท้องนภาเวลานี้กลับไร้ซึ่งเมฆหมอก และไม่มีแม้แม้แต่ร่องรอยว่าทัณฑ์เมฆาจะปรากฏ
  “คงต้องรอดูต่ออีกสักพัก!”
  แต่เมื่อผ่านไปอีกครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทัณฑ์เมฆาจะปรากฏ หลิงหยุนจึงได้มั่นใจว่าพู่กันจักรพรรดิจะต้องช่วยเย่ซิงเฉินปิดบังต่อสวรรค์!
  เย่ซิงเฉินคืนดวงดารากลับสู่ท้องฟ้าแล้วเหาะกลับลงมาไปยืนอยู่ด้านหน้าหลิงหยุนทันที
  “ข้าเหาะได้แล้วนะ!”
  เย่ซิงเฉินร้องบอกหลิงหยุนด้วยความภาคภูมิใจเรือนร่างของนางยังคงส่องสว่างงดงามอยู่ภายใต้แสงดาวส่องสว่าง ดูราวกับแม่มดเจ้าเสน่ห์ก็ไม่ปาน
  “หึ..เจ้าแค่เหาะได้ ไม่เห็นต้องโอ้อวดเสียงดังเช่นนี้เลย!”
  หลิงหยุนแสร้งทำเป็นหยอกเย้าเย่ซิงเฉินและทำเป็นอิจฉา แต่ความจริงแล้วเขารู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด!
  ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอิจฉานางเลยแม้แต่น้อยเพราะตราบใดที่เขาเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ จะเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นบ้างก็ยังไม่อาจรู้ได้..
  เวลานี้ทั้งหนิงหลิงยู่ไป๋เซียนเอ๋อ และเย่ซิงเฉินต่างก็เหาะได้กันหมดแล้ว แต่หลิงหยุนยังคงต้องใช้กระบี่เหินอยู่!
  เย่ซิงเฉินได้แต่หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข..
  เวลานี้แผนการที่หลิงหยุนได้เตรียมาการมานานในที่สุดก็สำเร็จได้ด้วยดี และเหนือความคาดหมายของเขาอย่างมาก
  ความจริงหลังจากที่สามารถพัฒนาขั้นกันได้หมดแล้วหลิงหยุนยังได้เตรียมวางแผนให้ทุกคนรวมทั้งตัวเขาเองแสร้งทำเป็นหมดเรี่ยวแรงเพื่อทดสอบหวังชงเซียว แต่ปรากฏว่าระหว่างสองชั่วโมงที่ผ่านมานั้น หวังชงเซียวก็เอาแต่ตกใจและไม่มีท่าทีจะคิดหักหลังเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนจึงได้ล้มเลิกแผนการนี้ไปเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
  อีกทั้งเวลานี้เขาก็เข้าสู่ระดับที่สิบเก้าซึ่งอยู่ในด่านที่สามของดาราคุ้มกายแล้วจึงนับว่ามีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง และสามารถจัดการกับหวังชงเซียวได้ด้วยมือเปล่า
  “เหล่าหวัง..เจ้าเข้ามานี่ ข้าจะถ่ายทอดเพลงหมัดให้กับเจ้า!”
  หลิงหยุนร้องตะโกนเรียกหวังชงเซียวให้เข้ามาหาและเริ่มถ่ายทอดเพลงหมัดปีศาจเถียนกังให้กับเขา
  หลิงหยุนเห็นว่าหวังชงเซียวถนัดที่จะใช้หมัดจู่โจมคู่ต่อสู้เขาจึงเลือกที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดปีศาจเถียนกังนี้ให้ และด้วยความสามารถของหวังชงเซียว เพียงแค่หลิงหยุนถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ เขาก็สามารถเข้าใจขั้นตอนการเดินลมปราณใช้กับเพลงหมัดได้ภายในเวลาชั่วพริบตา
  “คุณชายหลิงเพลงหมัดที่ท่านถ่ายทอดให้กับเข้า ช่วยให้ข้าสามารถใช้ความแข็งแกร่งจัดการกับศัตรูได้รุนแรงหนักหน่วงมากกว่าเดิม!”
  หวังชงเซียวทดลองพุ่งหมัดออกไปสองสามหมัดพร้อมกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น
  เวลานี้ไม่เหลือสิ่งใดให้หวังชงเซียวต้องตกใจอีกแล้วเพราะเขาตกใจมามากมายก่อนหน้านี้ และเริ่มชินชากับความรู้สึกเช่นนี้แล้ว
  ตอนนี้ต่อให้หลิงหยุนบอกกับเขาว่าหลิงหยุนจะเด็ดดวงจันทร์ลงมาจากฟากฟ้า เขาก็จะไม่ลังเลสงสัย และเชื่อว่าหลิงหยุนจะทำเช่นนั้นจริงๆ!
  “คืนนี้ยังมีสงครามใหญ่รออยู่หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ข้าจะสอนวิชาอื่นให้กับเจ้าอีก”
  หลิงหยุนบอกกับหวังชงเซียวยิ้มๆในเมื่อหวังชงเซียวผ่านการทดสอบ เขาก็ยินดีที่จะถ่ายทอดวิชาให้เช่นกัน!
  “นี่แหวนพื้นที่ของเจ้า!”
  ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้ยื่นแหวนพื้นที่ซึ่งหวังชงเซียวใฝ่ฝันอยากได้นักหนาส่งให้..
  หวังชงเซียวมีสีหน้าดีใจอย่างที่สุดเขาถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับร้องตะโกนออกมา “หวังชงเซียวขอบคุณคุณชายหลิงยิ่งนัก ที่ได้มอบทั้งโอสถ ถ่ายทอดวิชา แล้วยังมอบสมบัติล้ำค่าอย่างแหวนพื้นที่วงนี้ให้กับข้าอีก! นับจากนี้ไป ข้า – หวังชงเซียวจะขอติดตามรับใช้คุณชายหลิงด้วยความจงรักภักดี หากข้าคิดคดทรยศเมื่อใด ขอให้ข้าตายด้วยคมหอกคมดาบ หรือถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ภายในสามวันเจ็ดวัน!”
  หวังชงเซียวพูดออกไปเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขาตื่นเต้นดีใจที่ได้รับแหวนพื้นที่ แต่เพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่า เมื่อครู่หลิงหยุนเพียงแค่ต้องการทดสอบตนเองเท่านั้น เวลานี้เขาก็ได้ผ่านบททดสอบและได้รับความไว้วางใจจากหลิงหยุนแล้วต่างหาก!
  “เจ้าลุกขึ้นได้!”
  หลิงหยุนสั่งให้หวังชงเซียวลุกขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้ด้วยความยินดีและในระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารของหลิงหยุนก็ดังขึ้น และเมื่อหยิบออกมาดูจึงรู้ว่าเป็นข้อความจากโม่วู๋เตา
  –หลิงหยุนนี่เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบมาอีก งานชุมนุมชาวยุทธกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แล้วข้าก็เริ่มจะทนฟังคำพูดของพวกมันต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว!-
  ทันทีที่หลิงหยุนได้อ่านข้อความของโม่วู๋เตาแววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที คนที่ไม่ใส่ใจอะไรอย่างโม่วู๋เตา หากส่งข้อความเช่นนี้มาย่อมหมายความว่ากำลังโกรธมากทีเดียว!
  หลังจากที่จัดการเก็บของที่เรียกออกมากลับเข้าไปในแหวนจักรวาลหมดแล้วทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางจากยอดเขาเห็ดไปยังหุบเขาหลงเฟยในเวลาสามทุ่มตรง!
  …..
  ในค่ำคืนนี้หาใช่หลิงหยุนกับทุกคนขนเขาเห็ดเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แม้แต่เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงภายในคฤหาสน์เองก็เช่นกัน ทุกคนต่างก็สามารถพัฒนาระดับขั้นของดาราคุ้มกายได้
  ในขณะที่บนยอดเขาหยุนเมิ่งนั้นมีเรือนร่างงดงามกำลังยืนจ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
  เรือนร่างงดงามนั้นคือหนิงหลิงยู่ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสิบเก้าซึ่งอยู่ในด่านที่สามของดาราคุ้มกายเช่นเดียวกับหลิงหยุน  เวลานี้จิตหยั่งรู้ของนางได้ขยายรัศมีครอบคลุมถึงหกกิโลเมตรเช่นกันรอบกายนางนั้นมีดอกบัวสีทองแปดสิบดอกหมุนลอยอยู่รอบๆ พลังอมตะสีม่วงรองรับอยู่ที่ฝ่าเท้า ทำให้ฝ่าเท้าของนางไม่สัมผัสกับพื้นผิวของหินด้านเลยแม้แต่น้อย และเวลานี้ร่างของหนิงหลิงยู่ก็ได้ลอยสูงจากพื้นกว่าสามฟุต ดูราวกับเทพธิดาที่เหาะลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน!