ตอนที่ 887 อัปยศ !

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 887 อัปยศ !

ราชโองการสองฉบับของฟู่เสี่ยวกวนถูกส่งไปยังเมืองกวนหยุนที่อยู่ห่างออกไป 800 ลี้ด้วยความเร่งรีบ

ในยามที่สำนักเสมียนกลางได้รับราชโองการสองฉบับนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ออกเดินทางจากเขตซื่อหยางเพื่อไปยังบึงดำได้ 2 วันแล้ว

ทันทีที่ท่านราชเลขาจัวอี้สิงกวาดสายตาอ่านราชโองการก็มิอาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป

“ที่ปรึกษาหนานกง ใต้เท้าเมิ่ง พวกเจ้าดูนี่เถิด”

ราชโองการสองฉบับถูกวางลงเบื้องหน้าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสอง สีหน้าของเมิ่งฉางผิงมืดครึ้มไปแล้ว

“น่าอัปยศ ! มารดามันเถิด ! เรียกคนมา จงไปเรียกคนมา ไปเรียกเสนาบดีกรมขุนนางเหวินซือหยวนมาพบข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”

องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู๋ บัดนี้คาดมิถึงว่าจะดำรงตำแหน่งนายอำเภออยู่ที่เขตซื่อหยาง ณ หกรัฐแห่งเป่ยเซียว !

นี่แทบจะเป็นการตบหน้าพวกตนฉาดใหญ่เลยก็ว่าได้ !

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ?

ก็หมายความว่าพวกตนจัดการได้มิทั่วถึง มิทราบด้วยซ้ำว่านายอำเภอเขตซื่อหยางเป็นพวกเบาปัญญาไร้ความสามารถ !

ผู้ใต้บังคับบัญชาไร้ความสามารถ ย่อมหมายความว่าพวกตนก็ไร้ความสามารถด้วยเช่นกัน !

เมิ่งฉางผิงโกรธจนเคราสั่น สองตาเบิกกว้าง องค์จักรพรรดิไปเป็นนายอำเภอ เกรงว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของชาวราชวงศ์อู๋ !

แน่นอนว่าราษฎรเหล่านั้นย่อมมิได้หัวเราะเยาะองค์จักรพรรดิ แต่พวกเขาจะหัวเราะเยาะขุนนางเยี่ยงพวกตนที่ทำหน้าที่ได้มิดีพอ

หนานกงอี้หยู่ถอนหายใจยาว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่าควรเรียกรวมขุนนางทั้งหมดมารวมกัน และเปิดประชุมใหญ่ในท้องพระโรงซวนเต๋อได้แล้ว”

“เรื่องนี้ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่เขตซื่อหยาง ทว่าพวกเราต้องทำความเข้าใจราชโองการทั้งสองฉบับนี้ให้ดีเสียก่อน อย่างเช่นยังมีขุนนางเยี่ยงนี้อยู่ที่ใดในราชวงศ์อู๋อีกหรือไม่ ? ข้าคิดว่ายังมีอยู่และคาดว่ามีจำนวนมิน้อยเลยทีเดียว”

“การปรับปรุงการทำงานส่วนท้องถิ่นคือเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งลงมือก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จกลับมา เพราะหากรอให้ฝ่าบาทเป็นผู้เสนอการปรับปรุงแผนงานส่วนท้องถิ่นขึ้นมาเอง การที่พวกเรามาเป็นขุนนางก็ไร้ซึ่งความหมายแล้ว”

จัวอี้สิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที “ที่ปรึกษาหนานกงเอ่ยได้มีเหตุผล นี่คือการมองจากจุดเดียวแต่เห็นภาพรวมทั้งหมด หากฝ่าบาทเสด็จประพาสไปยังรัฐหรือเขตอื่นแล้วพบเจอขุนนางเยี่ยงนี้อีก พวกเรายังคู่ควรต่อความไว้วางพระทัยอยู่อีกหรือ ? ”

เมิ่งฉางผิงพยักหน้าเห็นด้วย “เยี่ยงนั้นก็เรียกรวมขุนนางทั้งหมดแล้วทำการปรับปรุงการทำงานส่วนท้องถิ่นเถิด ! หากเสนาบดีกรมขุนนางทำเรื่องเล็กน้อยให้ดีมิได้… ข้าจะลงไปชี้แนะด้วยตนเองให้รู้แล้วรู้รอด ! ”

เสนาบดีอาวุโสทั้งสามสำนักแห่งราชวงศ์อู๋ จึงร่วมกันเปิดการประชุมฉุกเฉินขึ้น ณ ท้องพระโรงซวนเต๋อ

เหล่าขุนนางมิทราบว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น แต่เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเสนาบดีอาวุโสทั้งสามที่นั่งอยู่ด้านล่าง ก็ตระหนักได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่

ตั้งแต่ที่ปรับปรุงท้องพระโรงซวนเต๋อแล้วเสร็จ ในช่วงสามเดือนแรกฝ่าบาททรงเป็นประธานในการประชุมใหญ่ประจำราชสำนักอยู่อีกสามครา

หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ได้เสด็จประพาสออกจากเมืองกวนหยุน แต่มิมีผู้ใดทราบว่าเสด็จไปที่ใด

เสนาบดีทั้งสามสำนักก็ได้เปิดการประชุมขึ้นที่นี่หลายครั้งหลายครา โดยประกาศเกี่ยวกับนโยบายท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ ทว่าการประชุมที่เรียกระดมขุนนางในเวลาอันสั้นเยี่ยงตอนนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน

หรือฝ่าบาทจะทรงเผชิญกับเรื่องมิดีอันใดระหว่างเสด็จประพาสแบบส่วนพระองค์กัน ?

ในยามที่เหล่าขุนนางกำลังคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา เมิ่งฉางผิงก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า

“บัดนี้ฝ่าบาททรงดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภออยู่ที่เขตซื่อหยาง ณ หกรัฐแห่งเป่ยเซียว ! ”

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกไปก็ได้บังเกิดเสียงดังกระหึ่มทั่วทั้งท้องพระโรง

“ได้เยี่ยงไรกัน ? ฝ่าบาทดำรงตำแหน่งนายอำเภออยู่ที่เขตซื่อหยางเยี่ยงนั้นหรือ ? แล้วนายอำเภอคนก่อนไปที่ใดแล้วเล่า ? ”

“นี่มันระเบียบแบบแผนอันใดกัน ? พระองค์เป็นจักรพรรดิ แล้วจะไปเป็นนายอำเภอได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“หุบปาก ! ” เมิ่งฉางผิงตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงต้องดำรงตำแหน่งนายอำเภอเยี่ยงนี้ด้วยเล่า ? ”

สีหน้าของเขาเดือดดาลเป็นอย่างมาก เขาขบกรามแน่นจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “น่าอัปยศ ! เป็นความอัปยศที่แสนใหญ่หลวงนัก ! ”

“นายอำเภอป๋ายชิวเชิงปกครองเขตซื่อหยางมานานถึง 4 ปี ! แต่มิสามารถตอบคำถามเรื่องการบริหารต่อฝ่าบาทได้ ! ข้าจึงอยากไถ่ถามกรมขุนนางว่า เหวินซือหยวน เจ้าเป็นเสนาบดีกรมขุนนางเยี่ยงไร ? การประเมินของกรมขุนนางในทุกปีมีการทดสอบเยี่ยงไรบ้าง ? ”

ใบหน้าของเหวินซือหยวนเขียวคล้ำขึ้นมาทันใด เขารีบยกมือขึ้นคำนับอย่างรีบร้อนพลางเอ่ยว่า “เรียนใต้เท้าเมิ่ง นี่ นี่…”

“นี่กับผีอันใดมากมายนัก ข้าเพียงแค่มองก็ทราบแล้วว่า ถามอันใดไปเจ้าก็คงมิทราบสักอย่าง ! ”

“ใต้เท้า…ข้าน้อยขาดตกบกพร่องเรื่องการตรวจสอบไปขอรับ” เมื่อเอ่ยจบ เหวินซือหยวนก็ได้หันไปหาต้วนชูเหวินชื่อหลางกรมขุนนางที่นั่งอยู่ด้านบน “ต้วนชื่อหลาง เจ้ารับผิดชอบการประเมินของกรมขุนนาง เหตุใดถึงเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นได้อีก เจ้าลงมาหาข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”

ต้วนชูเหวินตื่นกลัวจนใบหน้าขาวซีด เขาเดินลงมาด้านล่างด้วยขาอันสั่นเทา จากนั้นก็หยุดอยู่เบื้องหน้าของเหวินซือหยวน

“บัดนี้เจ้าจงตอบข้าต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก ว่าการประเมินของกรมขุนนางเป็นเพียงแค่การแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้นหรือ ? ”

ต้วนชูเหวินรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “เรียนใต้เท้า ที่เขตซื่อหยางอยู่ไกลจนเกินไป เกรงว่าการประเมินเมื่อปีที่แล้วจะตกหล่นไปขอรับ”

“เหลวไหล ! ” เหวินซือหยวนตะโกนเสียงดังลั่นจนต้วนชูเหวินตื่นกลัว เขาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “การประเมินเมื่อปีที่แล้วมีตกหล่นด้วยหรือ ? เห็นได้ชัดแล้วว่าป๋ายชิวเชิงโง่เขลาเบาปัญญาและเขาก็เป็นนายอำเภอมาถึง 4 ปี เจ้ากลับบอกว่าปีที่แล้วมีการตกหล่น แต่ข้ามิคิดเช่นนั้น ข้าคิดว่าเจ้าทำมันตกหล่นทุกปีต่างหาก ! ”

เหวินซือหยวนชี้ไปทางต้วนชูเหวินด้วยความเดือดดาลอย่างถึงที่สุด “ฝ่าบาททรงเน้นย้ำคราแล้วคราเล่าว่าการประเมินของกรมขุนนางสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องไปถึงเหล่าราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครอง ! คาดมิถึงว่าเจ้าจะกล้าหลอกลวงฝ่าบาทจนทำให้บัดนี้พระองค์ต้องดำรงตำแหน่งนายอำเภออยู่ที่เขตซื่อหยาง เจ้ามันโง่เขลามิมีผู้ใดเทียบได้เลยจริง ๆ ! ”

เหวินซือหยวนหันกลับมาคำนับเมิ่งฉางผิง “ข้าน้อยมีข้อเสนอแนะว่าควรมอบต้วนชูเหวินผู้นี้ให้กรมราชทัณฑ์ตรวจสำนวนและตัดสินคดี ข้าน้อยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ต้วนชูเหวินจะรับสินบนจนมองข้ามความผิดของป๋ายชิวเชิงไปขอรับ”

“ใต้เท้าได้โปรดเมตตาด้วย ! ” ต้วนชูเหวินตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ตนจะทราบได้เยี่ยงไรว่ารับสินบนมาจากป๋ายชิวเชิง ?

แม้ตนจะได้รับสินบนจำนวนมากก็จริง ทว่ามิรู้ของใครเป็นของใครบ้างก็มิรู้ ทำให้จดจำป๋ายชิวเชิงอันใดนั่นมิได้จริง ๆ

“ข้าคิดว่าข้อเสนอแนะของเสนาบดีเหวินจำเป็นอย่างยิ่ง กวนซานเฉียน…จงนำตัวต้วนชูเหวินผู้นี้ไปที่กรมราชทัณฑ์ ให้ตรวจสำนวนและตัดสินคดีต้วนชูเหวินด้วยตัวเจ้าเอง จำต้องกำจัดแมลงที่จะมาทำลายระบบให้สิ้นซาก ! ”

กวนซานเฉียนเสนาบดีกรมราชทัณฑ์กุมมือคำนับ “ข้าน้อยรับคำสั่ง ! พวกเจ้าจงถอดชุดขุนนางของต้วนชูเหวินผู้นี้ออก จากนั้นก็คุมตัวไปที่กรมราชทัณฑ์ ประเดี๋ยวข้าจะไต่สวนด้วยตนเอง ! ”

ต้วนชูเหวินเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น เขาเป็นถึงชื่อหลางขั้นสี่แห่งกรมขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในยามนี้กลับโดนลากออกไปราวกับสุนัขไร้ค่าก็มิปาน

เหวินซือหยวนยังเอ่ยอีกว่า “ข้าน้อยมีโทษที่ตกสำรวจ ข้าน้อยยินยอมรับโทษโดยการงดรับเบี้ยหวัด 1 ปี และข้าน้อยจะออกไปตรวจสอบการปกครองท้องถิ่นโดยละเอียดด้วยตนเองขอรับ ! ”

“สำหรับโทษของเจ้า รอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับมาตัดสินพระทัยเถิด ทว่าเรื่องการตรวจสอบการปกครองระดับท้องถิ่นโดยละเอียดมิอาจรีรอได้ ! ”

จัวอี้สิงกวาดสายตามองเหล่าขุนนางด้วยท่าทีจริงจังอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “บัดนี้ฝ่าบาทยังคงเป็นนายอำเภอของเขตซื่อหยางอยู่ ข้าจะล่วงหน้าไปด้วยตนเอง โจวถงถงมิได้อยู่ในราชสำนัก มีราชโองการอีก 1 ฉบับมอบให้ฝ่ายตรวจการ เนื่องจากฝ่ายตรวจการอยู่ในความดูแลของฝ่าบาท ดังนั้นพวกเขาจะทราบดีว่าต่อจากนี้ควรทำเยี่ยงไรต่อไป”

“ข้าขอบอกอันใดพวกเจ้าสักหน่อยเถิดว่า พระทัยของฝ่าบาทนั้นกว้างขวางยิ่ง พระองค์สามารถทนรับข้อผิดพลาดของพวกเจ้าได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งเดียวที่มิอาจทนรับได้ก็คือคนที่มิรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง ! ”

“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดีว่าฝ่าบาททรงเป็นบุคคลที่มีอุดมการณ์กว้างไกลและสูงส่ง พระองค์จะนำพาราชวงศ์อู๋ไปได้สูงอย่างมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่หากพวกเจ้ารวมถึงตัวข้ามิสามารถไล่ตามความก้าวหน้าของพระองค์ได้ จนเป็นการฉุดรั้ง ถึงขั้นไปขวางทางฝ่าบาทเข้าก็จงลาออกไปเสีย ! ”

“เรื่องที่ข้าจะเอ่ยก็มีเพียงเท่านี้ ทุกท่านจงจัดการอย่างรอบคอบด้วยเถิด ! ” เมื่อเอ่ยจบ จัวอี้สิงก็ได้สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

หนานกงอี้หยู่ชำเลืองมอง จากนั้นก็เอ่ยกับเมิ่งฉางผิงว่า “ข้าต้องไปดูเช่นกัน ดังนั้นเรื่องการปรับปรุงของกรมขุนนางนี้ยกให้ใต้เท้าเมิ่งดูแลก็แล้วกัน”

หนานกงอี้หยู่ก็ได้สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปเช่นกัน เมิ่งฉางผิงรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก ตาเฒ่าทั้งสองหนีได้ไวยิ่งนัก เยี่ยงไรเสียกรมขุนนางก็อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของสำนักเสนาบดีอยู่แล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องภายในของเขาโดยตรง เช่นนี้เขายังจะสามารถปฏิเสธได้อยู่อีกหรือ ?

“บัดนี้ ข้าขอสั่งให้ขุนนางทุกคนในกรมขุนนางไปตรวจสอบการปกครองท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่โดยละเอียด ! ”

การดำเนินการแก้ไขที่น่าตกตะลึงไปทั่วทั้งราชวงศ์อู๋จึงได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนและเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการมากเช่นกัน

และเขาในยามนี้เพิ่งเดินทางมาถึงบึงดำ…บึงน้ำที่มืดสนิทจนมองมิเห็นเส้นขอบ !