ตอนที่ 888 น้ำมันปิโตรเลียม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 888 น้ำมันปิโตรเลียม

กลิ่นฉุนเตะจมูกทำให้ผู้คนรู้สึกเวียนศีรษะเสียเหลือเกิน

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิรู้สึกวิงเวียนศีรษะเลยสักนิด ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้าง ๆ บึงดำแห่งนั้น

น้ำมันปิโตรเลียม !

สวรรค์ ทั้งหมดนี้คือน้ำมันปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ !

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นเต้นเสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เอื้อมมือไปแตะน้ำมันเหนียวหนืดสีดำขึ้นมาบริเวณจมูกเพื่อสูดดม

เจียงซั่งจ้องมองจักรพรรดิหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขามิอาจเชื่อได้เลยว่าองค์จักรพรรดิผู้เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของแคว้นจะเดินทางมาไกลเช่นนี้เพื่อดูของเหลวสีดำนี่

และเขาแทบมิอยากจะเชื่อเลยว่า องค์จักรพรรดิมิได้รังเกียจกลิ่นเหม็นฉุนของมันเลยสักนิด อีกทั้งยังเดินเข้าไปใกล้เพื่อสัมผัสมัน ลูบคลำมันด้วยพระองค์เองอีกด้วย

เมื่อเห็นสีพระพักตร์บ่งบอกถึงความดีอกดีใจของฝ่าบาท เจียงซั่งก็รู้สึกมิเข้าใจเอาเสียเลย ก็แค่น้ำมันที่สามารถเผาไหม้ได้เท่านั้นมิใช่หรือ ? เจ้าสิ่งนี้เกรงว่าจะเกิดขึ้นมานานนับร้อยนับพันปีแล้ว ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตซื่อหยางก็รู้จักมันเป็นอย่างดี แต่มิมีผู้ใดนำไปใช้ประโยชน์หรอก คาดว่าเป็นเพราะกลิ่นมิพึงประสงค์ของมันนั่นเอง อีกทั้งเมื่อเกิดการเผาไหม้จะมีควันสีดำลอยโขมงขึ้นมาทำให้ทั้งห้องครัวกลายเป็นสีดำ ดังนั้นท้ายที่สุดทุกคนจึงตัดสินว่าเจ้าสิ่งนี้ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง

เจียงซั่งคิดได้เพียงว่าจะนำเจ้าสิ่งนี้มาใช้ในการเผาไหม้เตาไฟ เนื่องจากมิต้องใช้เงิน คาดว่าต้นทุนจะน้อยลงมากโขเลยทีเดียว

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็มองไปยังบ่อน้ำมันเบื้องหน้านี้ เขาหันหลังไปจ้องมองขันทีเจี่ยด้วยความมุ่งมั่น “จงร่างพระราชโองการ ประการที่หนึ่ง ให้เฉินป๋อนำทหารดาบเทวะกองทัพที่สามเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ประการที่สอง ให้ฉินเฉิงเย่นำทุกคนในสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติเดินทางมาที่นี่ ประการที่สาม ให้กรมโยธาธิการประกาศรับสมัครคนงานเพิ่มทันที เพราะการสร้างถนนมายังหกรัฐแห่งเป่ยเซียวต้องเร่งดำเนินการ ขอกำชับว่าจงใช้ความเร็วสูงสุดในการส่งราชโองการทั้งสามฉบับของข้าออกไป ! ”

เจี่ยหนานซิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็รีบตอบรับและร่างพระราชโองการทั้งสามฉบับขึ้นมาทันที ฟู่เสี่ยวกวนได้ประทับตราประจำตำแหน่งลงไปในขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นก็ยื่นให้หนิงซือเหยียนใช้ม้าเร็วที่สุดส่งไปยังเมืองซื่อหยาง

เจียงซั่งจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีงุนงง ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญต่อเจ้าสิ่งนี้เป็นอย่างมาก หรือมันมิได้เป็นเพียงน้ำมันที่เอาไว้สำหรับจุดไฟเท่านั้น ?

แน่นอนว่ามันมิได้เป็นเพียงน้ำมันที่เอาไว้จุดไฟธรรมดา แต่เรียกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้ยุคสมัยนี้พัฒนาไปแบบก้าวกระโดดเลยล่ะ !

ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของเจียงซั่ง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจิ้นจะมอบคุณงามความดีชิ้นใหญ่นี้ให้แก่เจ้า”

เจียงซั่งลืมแม้แต่การคารวะขอบพระทัยในพระเมตตา เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท…น้ำมันนี้ยังมีประโยชน์อื่นใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“สิ่งนี้เรียกว่าน้ำมันดิบหรือน้ำมันปิโตรเลียม โดยมากมักพบอยู่ใต้ดิน จากความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของยุคสมัยนี้คาดว่าเป็นไปได้ยากหากต้องการนำมาใช้ หลังจากนี้เจ้าจะรู้เองว่ามันมีประโยชน์มากมายเพียงใด อย่าเพิ่งแตกตื่นไป พวกเราไปกันเถิด กลับเมืองซื่อหยางกัน”

น้ำมันดิบ ?

น้ำมันดิบคือสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ? ?

เจียงซั่งมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เขาก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงทราบเรื่องเหล่านี้

ในสายตาของเจียงซั่งจึงเห็นจักรพรรดิผู้อ่อนเยาว์ยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันใด

เดิมทีตนมากไปด้วยความมั่นใจ แต่บัดนี้ความมั่นใจเหล่านั้นได้สูญหายไปจนสิ้น ตนเคยได้ยินว่าฝ่าบาททรงรอบรู้ เดิมทีคาดว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา แต่จากวันนี้ที่ได้มองดูแล้วก็พบว่าองค์จักรพรรดิเปรียบได้ดั่งเทพบนสวรรค์ !

เนื่องจากฝ่าบาทมิเคยเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่พระองค์ทรงรู้จักมันได้ในทันทีที่พบเห็น

สิ่งนี้จะอธิบายได้เยี่ยงไร ?

เฉกเช่นเกลือขาวที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ในตอนแรกบนผืนปฐพีนี้หาได้มีเกลือขาวไม่ แต่เมื่อฝ่าบาทเสด็จไปยังชื่อเล่อชวนก็มีเกลือขาวปรากฏขึ้นมา

เช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงนำน้ำมันดิบนี้ไปเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งใดที่ทำให้ใต้หล้าต้องตื่นตะลึงอีกกัน ?

เจียงซั่งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

ขันทีเจี่ยก็ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาเช่นกัน เขารู้ดีว่าฝ่าบาทมิเคยพบเห็นน้ำมันดิบมาก่อน และเขาก็ทราบดีกว่าผู้ใดว่าฝ่าบาททรงมีวิธีการที่ชวนให้ประหลาดใจอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมิได้แตกตื่นสักเท่าใดนัก

ทั้งสามคนเดินกลับไปยังรถม้า ขันทีเจี่ยทำหน้าที่เป็นสารถีบังคับรถม้าออกจากบริเวณบึงดำ

ภายในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนและเจียงซั่งได้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน จะต้องใช้เวลานานถึง 3 วันกว่าจะถึงเมืองซื่อหยาง ในตอนแรกเจียงซั่งยังคงเกร็งอยู่บ้าง แต่บัดนี้ก็ลดลงมิน้อยแล้ว เพราะเขารู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นกันเองมากเพียงใด

“เจียงซั่ง ตำแหน่งนายอำเภอนี้ ข้าจะให้เจ้ามารับหน้าที่แทนก็แล้วกัน”

อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาทำให้เจียงซั่งสะดุ้งโหยง “ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้มีตำแหน่งขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือไปมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “จากหลายวันมานี้ที่ข้าได้สนทนากับเจ้า ทำให้ข้ารู้จักเจ้ามากขึ้นมิน้อย เรื่องตำแหน่งทางราชการนั้นเป็นช่องทางที่ถูกต้องก็จริง ทว่าบัดนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ เมื่อกลับไปยังเขตซื่อหยางแล้ว เจิ้นจะมอบตำแหน่งที่เทียบเท่าจิ้นซื่อให้แก่เจ้า”

“เมื่อครานั้น ข้าเองก็เป็นเพียงซิ่วไฉ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้มอบตำแหน่งที่เทียบเท่าจิ้นซื่อให้แก่ข้า จนข้าสามารถเดินบนเส้นทางขุนนางมาจนบัดนี้ได้”

ยศถาบรรดาศักดิ์ที่หล่นลงมาจากท้องนภาเช่นนี้ ทำให้เจียงซั่งรู้สึกมึนงงมิน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่าบาททรงเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้ฟัง นี่ย่อมหมายความว่าฝ่าบาทกำลังกระตุ้นเขาอยู่

เจียงซั่งรู้สึกว่าบ่าของตนแบกรับแรงกดดันไว้มากโขเลยทีเดียว หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ได้ยกมือขึ้นคารวะแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“หากเจ้าซาบซึ้งอย่างแท้จริง ก็จงดูแลเขตซื่อหยางให้ดี ข้าจะบอกเจ้าว่า เพียงแค่น้ำมันปิโตรเลียมนี้ก็สามารถทำให้เขตซื่อหยางพัฒนาได้มากเลยทีเดียว ข้าหวังว่าเจ้าจะมิทุ่มเททุกสิ่งอย่างมาที่น้ำมันปิโตรเลียมเท่านั้น ทว่าควรทุ่มเทไปที่พี่น้องราษฎรที่เจ้าเคยเอ่ยเมื่อคราได้พบข้า”

“จงนำเมล็ดพันธุ์ข้าวและมันเทศเข้ามาเพื่อให้ราษฎรเพาะปลูกและมีกินอย่างอิ่มท้อง จากนั้นก็นำเซียงจูอวี๋ห้าวเข้ามาเลี้ยง เดิมทีตระกูลเจียงของเจ้าก็เป็นตระกูลมีชื่อเสียงในเขตซื่อหยางอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องการศึกษาที่สืบทอดกันมาก็จงดำรงรักษาเอาไว้”

“สำนักศึกษาที่เซี่ยซานโจวใกล้ก่อตั้งขึ้นมาแล้ว ข้าคาดว่าภายในปีนี้ก็คงจะสร้างเสร็จ ทว่ายังขาดอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้อยู่ เจ้าสามารถเชิญคนจากตระกูลเจียงไปเป็นอาจารย์ที่นั่นได้”

เจียงซั่งยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองด้านนอกหน้าต่างรถม้าพลางคิดในใจว่าการดำรงชีวิตของผู้คนที่เจียงซั่งมิได้มีจุดเด่นอันใด เขาสามารถสัมผัสได้จากวาจาของอีกฝ่ายว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของชาวบ้านได้ดีเป็นอย่างมาก เขาต้องการเดินทางไปร่วมสอบชิวเหวยในปีนี้เพื่อวางแผนเข้ารับตำแหน่งขุนนาง เพื่อที่จะได้มีโอกาสปกครองบ้านเมืองอย่างสมฐานะในอนาคต

ขุนนางที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงถึงเพียงนี้ กอปรกับเขตซื่อหยางที่จะมีอุตสาหกรรมหลักเป็นน้ำมันปิโตรเลียม เพียงแค่สามารถจัดการปัญหาเรื่องอุปโภคบริโภคของราษฎรชาวซื่อหยางได้สำเร็จ แน่นอนว่าเขตซื่อหยางย่อมพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว

ต่อไปในภายภาคหน้าสถานที่แห่งนี้ก็จะมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัย

หากมีผู้คนก็จะสามารถเปิดตลาดได้ จากนั้นก็จะมีความรุ่งเรืองตามมาโดยเริ่มจากบรรดาพ่อค้าที่มาเปิดตลาด ชาวบ้านมีโอกาสในการค้าขายเนื้อหมูและสิ่งอื่นได้อย่างเสรี

ทหารดาบเทวะกองทัพที่สามจำนวน 100,000 นายได้ตั้งค่ายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อคุ้มกันแหล่งน้ำมันดิบ ในขณะที่พวกเขาทำการฝึกฝนไปด้วยก็สามารถช่วยเป็นหูเป็นตาไปด้วยในตัว

สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติมีเจ้าหน้าที่หลายพันคน พวกเขาจะก่อตั้งศูนย์ค้นคว้าและวิจัยขึ้นมาใหม่รอบบ่อน้ำมันแห่งนี้

สถานที่แห่งนี้ต้องทำการก่อสร้างอาคาร ดังนั้นต้องใช้คนจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังต้องทำการสำรวจหาแร่บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องใช้แรงงานจากผู้คนทั้งสิ้น

“เจียงซั่ง ต่อจากนี้ข้าจะให้กรมคลังนำเงินทุนจำนวนหนึ่งมายังเขตซื่อหยาง เงินก้อนนี้ให้นำไปใช้ด้วยกัน 2 แห่ง แห่งแรกคือการสร้างและขยายเมืองซื่อหยางตามแผนรองรับประชากร 200,000 คน”

เจียงซั่งตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “ทูลฝ่าบาท บัดนี้ทั้งเมืองซื่อหยางมีประชากรเพียง 30,000 คนเท่านั้น อีกทั้งยังพากันอพยพจากไปมิขาดสาย แล้วจำนวน 200,000 คนนี้…จะมาจากที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“พวกเขามาแน่ ทว่าจงรออีกสักครึ่งปีเถิด แล้วเจ้าจะรู้เอง”

เจียงซั่งมิเข้าใจเอาเสียเลย เดิมทีเขาคิดว่าทหารดาบเทวะจะเข้ามาพักอาศัยอยู่ในเมืองเสียอีก แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเอ่ยว่า “แห่งที่สอง จงไปรวบรวมจำนวนประชากรที่ทำอาชีพเกษตรกรมา หลังจากจบฤดูเก็บเกี่ยวให้สำนักงานเขตออกหน้าด้วยตนเองเพื่อเดินทางไปซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวและมันเทศ จากนั้นก็นำมาแจกจ่ายให้กับครอบครัวเกษตรกรในปีหน้า สนับสนุนให้พวกเขาดูแลพืชผลไร่นาของตนให้ดี”

“ที่เขตซื่อหยางนี้ขาดแคลนน้ำ ดังนั้นเรื่องของน้ำพวกเราต้องเจาะหาน้ำจากใต้ดิน เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าด้วยเช่นกัน จงไปหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาขุดบ่อและต้องให้เพียงพอต่อความต้องการด้านชลประทานด้วยล่ะ”