ตอนที่ 499 นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง (3) โดย Ink Stone_Fantasy
“เหรอ? มีของดีแบบนี้ด้วยหรือ?”
หูหงเต๋อเมื่อได้ยินดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา กลิ่นที่เหม็นเน่ามากดูเหมือนจะไม่ได้เหม็นอะไรขนาด ทันใดนั้นจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้นายต้องเหลือไว้ให้ฉันหน่อยนะ สัตว์มีพิษในภูเขาฉางไป๋ซานก็มีอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดว่าพกสิ่งนี้ไปด้วยก็คงไม่มีอะไรมากวนใจ”
“ฝันไปเถอะ ปริมาณที่ผมมีใช้ได้แค่คนเดียว แต่รอให้จัดการเรื่องที่นี่เสร็จก่อน ก็สามารถกลั่นยาใหม่ได้อีกครั้ง”
เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินแล้วก็เบะปาก ขวดยาที่อยู่ในมือเขา มีเงินก็ซื้อไม่ได้ เมื่อมีของแบบนี้อยู่ในมือ ก็เหมือนกับเป็นกุญแจที่จะพาเข้าไปหาสมบัติล้ำค่าในภูเขาปีศาจได้
ตอนนั้นโก่วซินเจียเลือกให้ภูเขาปีศาจเป็นที่เก็บซ่อนทองคำ อีกทั้งไม่การทำอย่างไร้จุดประสงค์ แต่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจึงตัดสินใจทำแบบนี้
พื้นที่ของภูเขาปีศาจอยู่ลึกเข้าไปในรัฐฉาน ข้างหลังคือภูเขาที่ยาวเหยียดอย่างไม่ขาดสาย และทางเข้าของภูเขายังรูปร่างเหมือนตัวเอส ส่วนที่เหลือถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน ฮวงจุ้ยของสถานที่นี้ถือว่าเป็นดินแดนที่น่ากลัว ซึ่งความหมายว่าพลังแห่งความชั่วร้ายสามารถเข้าไปแต่ออกมาไม่ได้ จึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ก่อนที่จะนำคนเข้าไปในภูเขาปีศาจ โก่วซินเจียก็เคยเข้ามาในภูเขาปีศาจนี้ และเคยเห็นและรู้จักดอกไม้กินคนกับงูพิษชนิดต่างๆ แต่ว่าพวกมันก็ทำอะไรเขาไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ต่างมีความสามารถของตัวเอง หลังจากที่รวบรวมวัตถุดิบยาในภูเขาแล้ว เขาก็จัดการปรุงยาแล้วจึงสกัดใส่ขวดที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน
ถึงตอนที่เขาเพิ่งจะทาลงไป กลิ่นของยามีความเหม็นเน่ายากที่จะสูดดม แต่หลังจากผ่านไปปสิบนาทีกว่า กลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้นก็จะหายไปและไม่มีใครได้กลิ่น แต่ฤทธ์ของยากลับไม่ได้ลดลง ในภูเขาปีศาจนี้ไม่ว่าจะเป็นงูพิษยุงหรือแมลง หรือว่าดอกไม้กินคน เมื่อได้กลิ่นก็จะอ่อนข้อให้และถอยออกไปเก้าสิบลี้
ตอนนั้นหลังจากถูกคนของตระกูลคิตะมิยะลอบโจมตี อาวุธและอุปกรณ์ที่โก่วซินเจียพกมาสูญสิ้นไปทั้งหมด เหลือเพียงยาขวดนี้ขวดเดียวที่เขาซ่อนไว้ในตัว
หลังจากผ่านไปครึ่งศตวรรษ เดิมทียาปรุงที่เหลืออยู่เต็มขวด ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ครึ่งขวดแล้ว เยี่ยเทียนจึงพยายามทามันบนตัวอย่างระมัดระวัง และนี่คือสาเหตุที่เยี่ยเทียนเตรียมจะเข้าไปในภูเขาปีศาจเพียงลำพัง
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที หูหงเต๋อจึงลองดมกลิ่นอีกที แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ “เฮ้ย กลิ่นนี้มันไม่มีแล้วจริงๆ?”
“ฮิๆ เหล่าหู คุณดมจนติดใจแล้วใช่ไหม? ตอนนี้ไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นแบบนี้แล้วหรือ?” เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็สูดลมหายใจยาว ๆ
หูหงเต๋อยืดอกตรงแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียนถ้านายดมได้กลิ่นอยู่ แล้วฉันเหล่าหูจะดมไม่ได้เหรอ? เหม็นนิดหน่อยจะกลัวอะไรไป?”
“แต่…เมื่อครู่ผมเพิ่งก็ลองปรับลมหายใจเข้าไปด้านใน จึงไม่ได้กลิ่นอะไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เยี่ยเทียนกลั้นไม่อยู่จริงๆ แล้วจึงขำก๊าก ทำให้หูหงเต๋อหน้าแดงก่ำ อยากจะให้เต้าหู้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วเอาหัวชนให้ตายไปเลย
“พอแล้ว เหล่าหู ผมจะเข้าไปแล้ว คุณให้พวกเขาเฝ้าตรงนี้ไว้ให้ดี ก่อนที่ผมจะออกมาผมจะให้สัญญาณลับ ถ้าหากไม่ใช่ผม พวกคุณก็เอาปืนยิงไปที่หัวของมันได้เลย”
สงครามใกล้เข้ามาแล้ว ผ่อนคลายแบบนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีผลงานการรบเอาชนะด้วยจำนวนที่น้อยกว่าก็ตาม แต่อีกฝ่ายเป็นลูกหลานที่เก่งกาจของตระกูลคิตะมิยะ ในใจของเขาจึงมีความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง การล้อเล่นเมื่อครู่ กลับทำให้อารมณ์ที่ตื่นเต้นของเยี่ยเทียนค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง
“วางใจเถอะ นี้ฝืมือในการยิงปืนของเหล่าหูอย่างฉันไม่ด้อยไปกว่าพวกฝรั่งตาน้ำข้าวพวกนั้นหรอก” หูหงเต๋อพูดอย่างหยิ่งยโส ระหว่างทางทารีบมาภูเขาปีศาจนี้ หูหงเต๋อไม่ได้เสียลูกกระสูนเลยสักนิด จึงอยากหาความรู้สึกบางอย่างในตอนนั้นกลับมา และหารใช้ปืนของในกองทัพแบบนี้เขาก็ใช้จนมีความชำนาญเป็นอย่างมาก
“โอเค อย่างนั้นผมไปแล้วนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางคิดว่ามีหูหงเต๋อคนเก่าแก่ของยุทธภพอยู่ด้วย บวกกับและพรรคพวกมาราไกย์ที่มีประสบการณ์มากมายในการทำสงครามยุคปัจจุบัน ถึงแม้ทางออกของภูเขาปีศาจนี้จะไม่ใช่กำแพงเมืองแข็งแกร่งมั่นคงยากที่ภายนอกจะตีเข้ามาได้ แต่ใช่ว่าเขาจะบุกฆ่าคนทั้งหนึ่งร้อยคนได้เด็ดขาด
หลังจากที่เปลี่ยนเป็นชุดอำพรางเรียบร้อย ร่างกายของเยี่ยเทียนก็เลือนรางขึ้นมาทันที หูหงเต๋อขยี้ตามองอย่างละเอียดอีกที จึงเห็นว่าเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับหายไปกลางอากาศไม่เหลือแม้แต่เงา
“เฮ้ย เยี่ยเทียน นายไปฝึกวิชานินจาของเจ้าพวกผีน้อยมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
หูหงเต๋อไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนจะมีพลังวิเศษ ทำให้นึกถึงความสามารถที่มีชื่อเสียงโด่งดังของนินจาญี่ปุ่นเป็นอย่างแรก นั้นก็คือการอำพรางตัว จึงอดตะโกนพูดใส่กลางอากาศอย่างช่วยไม่ได้
“วิชานินจาบ้าบออะไร วิชานินจาของพวกญี่ปุ่นก็คือดัดแปลงมาจากวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยของจีน หลักพื้นฐานทางทฤษฎีก็มาจาก “ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ”ของประเทศของเรา และทฤษฎีของหยินหยางก็คือหัวใจของลัทธิเต๋า ผมถึงจะเป็นวิชาอำพรางตัวดั้งเดิมอย่างแท้จริงต่างหาก…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหูหงเต๋อ เสียงของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นมา จากแนวคิวด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคสงครามจนถึงปัจจุบัน นอกจากการร่วมประเวณีที่มั่วซั่วระหว่างพ่อแม่ลูกและอุตสาหกรรมหนังโป๊ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว มีอะไรบ้างที่ไม่ได้เรียนรู้ไปจากประเทศจีน? หากจะพูดว่ากลุ่มการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งแรกของโลก ประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะไร้ยางอายนี้สมควรได้รับฮายาเป็นอย่างยิ่ง
แต่วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนใช้นั้น คือหนึ่งในวิชาของฉีเหมินตุ้นเจี่ยของจีน เขาเขียนยันต์กลางอากาศทำค่ายกลออกมา ทำให้ชี่ก่อนกำเนิดรอบร่างกายเกิดความผิดปดติ ทำให้ดวงตาของมนุษย์เกิดภาพลวงตา แล้วจึงบรรลุผลของการอำพราง
“ยังมีวิชาแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าใช้วิชานี้ก็ไร้คู่ต่อสู้แล้วน่ะสิ? พอเจอญี่ปุ่นหนึ่งคนก็ลงมือฆ่าคนหนึ่ง?” หูหงเต๋อได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย และอยากให้วิชาของเยี่ยเทียนย้ายมาอยู่บนตัวของตัวเองจริงๆ จากนั้นก็เข้าไปในภูเขาปีศาจตามหาพวกคนญี่ปุ่นเพื่อสร้างความหายนะให้กับพวกมัน
เยี่ยเทียนถลึงตามองหูหงเต๋ออย่างไม่พอใจ พลางหัวเราะและพูดเหน็บแนมว่า “ฝันไปเถอะ ถ้าวิชานี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ ผมยังต้องเสียแรงเปล่าให้พวกคุณเฝ้าทางเข้าภูเขาอยู่ทำไม?”
ถึงแม้วิชาแบบนี้จะสามารถหลบการมองเห็นของสายตาได้ชั่วคราว แต่ทันทีที่คนแสดงวิชานี้เคลื่อนไหวตัว ค่ายกลที่อยู่รอบตัวก็จะพังโดยที่ไม่มีการโจมตีใดๆ ถึงแม้จะเป็นเยี่ยเทียนแต่ก็ไม่มีวิธีปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะมันไกลเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้
แน่นอนว่า วิชาแบบนี้ไม่สามารถใช้ต่อสู้กับศัตรูได้ แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังคงมีฝีมือวิธีอื่น หลังจากอธิบายให้หูหงเต๋อฟังแล้ว ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงร่างเงาที่อยู่ในท้องฟ้ายามเย็น ล่องหนเข้าไปในภูเขาปีศาจที่เป็นดั่งปากเสือ
…
“ท่านฟูจิโอะ ท่านสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ไหมครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนเข้าไปในภูเขาปีศาจ คิตะมิยะ ฟูจิโอะที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงถ้ำประมาณสามสี่ชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดเดินและยืนตัวตรง บนใบหน้าที่แก่หง่อมจึงดูไม่ออกถึงสีหน้าทางอารมณ์ใดๆ ของเขา ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
อาการช้ำในของคิตะมิยะ ฮิเดโอะค่อยๆ กำเริบขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะออกจากของตระกูลและเข้าสู่คริสตจักรเพรสไบทีเรียนยามแก่ตัวและก็จะตายในไม่ช้า แต่ก่อนจะจากไปนั้น เขาก็อยากหาสมบัติของตระกูลกลับมาให้ได้ก่อน เพื่อพิสูจน์พฤติการณ์ที่ตัวเองกระทำปิตุฆาต แก่งแย่งความเป็นเจ้าบ้านของตระกูล ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของตระกูลทั้งนั้น
คิตะมิยะ ฟูจิโอะส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ แม้ว่าภูมิประเทศของภูเขาปีศาจจะไม่สูง แต่ก็อันตรายและน่ากลัว อีกทั้งมันไม่ใช่สถานที่ดีในการเก็บซ่อนหรือรวบรวมพลังของฮวงจุ้ย โก่วซินเจียทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสนามฮวงจุ้ยที่ยิ่งใหญ่ เมื่อผ่านการสะสมพลังพิฆาตมากว่าสิบปี เกรงว่าถ้าเขามาด้วยตัวเองก็ไม่มีวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้ได้เช่นกัน”
ถึงแม้คิตะมิยะ ฟูจิโอะจะไม่เชียวชาญเกี่ยวกับค่ายกล แต่เขาก็พอเข้าใจหลักทฤษฎีของหยินหยาง และสถานที่แห่งนี้คือหยินเข้มแข็งหยางอ่อนแอ บวกกับความตั้งใจโน้มนำของโก่วซินเจีย จึงฉุดดึงพลังหยินพิฆาตที่อยู่ในภูเขาปีศาจนี้ ทำให้พลังหยินเกือบจะอยู่ในจุดสูงสุด จึงไม่ใช่พลังของมนุษย์ที่จะสามารถทำลายได้
“อย่างนั้น…อย่างนั้นจะทำยังไงดีครับ? หรือตระกูลคิตะมิยะของเรา ยังคงต้องตกต่ำต่อไปเช่นนั้นหรือครับ?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสฟูจิโอะ ใบหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เผยสีหน้าของความสิ้นหวังออกมา คิตะมิยะ ฟูจิโอะคือหนึ่งเดียวในตระกูลที่มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกลวิชาฉีเหมินของจีน ถ้าเขาไม่สามารถทำลายได้ เกรงว่าคนในญี่ปุ่นทั้งหมดก็ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้เช่นกัน
ได้เห็นท่าทางเสียใจของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ผู้อาวุโสฟูจิโอะก็พูดขึ้นมาทันที “ฮิเดโอะ ถึงฉันจะไม่สามารทำลายมันได้ แต่ยังมีวิธีอื่นสามารถบุกทะลวงเข้าไปได้”
“จริงหรือครับ? ผู้อาวุโสฟูจิโอะ ต้องทำยังไง ท่านพูดมาเลยครับ…” เมื่อคิตะมิยะ ฮิเดโอะได้ยินก็ตกตะลึงเป็นอย่างแรก จากนั้นก็แสดงสีหน้าความตื่นเต้นดีใจออกมา แล้วจึงจับมือที่แห้งเหี่ยวของคิตะมิยะ ฟูจิโอะ เหมือนกับลูบคลำมือของรักกัน
“แค่กๆ…”
ถึงแม้คิตะมิยะ ฟูจิโอะจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชอบหรือสนใจอะไรพวกนั้น หลังจากสะบัดมือออกจากของคิตะมิยะฮิเดโอะด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแล้วจึงพูดว่า “วิธีนี้ง่ายมาก รวบรวมปืนไฟทั้งหมดของตระกูล เพราะพลังหยางสามารถเอาชนะพลังหยินได้ หลังจากยิงปืนไฟเข้าไป ก็สามารถกำจัดพลังหยินพิฆาตที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว…
หลังจากรอให้พลังหยินพิฆาตหายไปแล้ว จากนั้นพวกเราพวกเราก็ทยอยเข้าไป ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ก่อนที่แสงไฟจากปืนไฟจะหมดลง ก็น่าจะนำสมบัติล่ำค่าเหล่านั้นออกมาได้แล้ว”
วิธีนี้ของคิตะมิยะ ฟูจิโอะ คือใช้ทฤษฎีปัญจธาตุ (อู่สิงเซียงเค่อ) เดิมทีหยินหยางคือพลังที่อยู่ตรงข้ามกัน พลังชั่วร้ายก็เป็นเหมือนกับพลังหยิน และเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูง จึงเกิดพลังหยางเป็นธรรมดา ถึงแม้จะยังไม่เคยทดลองทำมาก่อน แต่ว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เผยสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจออกมาแล้ว
เวลานี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะรอไม่ไหวแล้ว หลังจากออกคำสั่งนำเปิดหลอดไฟนับสิบดวง ส่องไฟสว่างเข้าไปในถ้ำ ถึงแม้แสงนี้จะสว่างจ้าไม่เหมือนเปลวไฟ แต่มันก็สามารถเพิ่มหยางได้อยู่บ้าง
ถึงแม้ในถ้ำจะมีพื้นที่กว้างมาก แต่ก็ไม่สามารถจุคนจำนวนมากให้เดินเข้าไปพร้อมกันได้ คนที่ถือปืนไฟสิบสองคนยืนเป็นสองแถว ทุกแถวจะแบ่งเป็นหกคน
หลังจากที่ออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว แถวหน้าทั้งหกคนเหนี่ยวไกปืน จากนั้นลำแสงทั้งหกทางของเปลวเพลิงรูปเสาก็เหมือนมังกรกำลังพ่นไฟเกิดเสียงดังจิ๊ดจิ๊ด พุ่งเข้าไปในพื้นที่ตรงหน้าหน้าสิบกว่าเมตรอย่างกำเริบเสิบสาน ที่สถานที่ที่เปลวเพลิงรูปเสาผ่านไป ทำให้อากาศดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเปลี่ยนไป
หลังจากรอให้เปลวเพลิงรูปเสาค่อยๆ สลายหาย เดิมทีผนังถ้ำสีเขียวจึงกลายเป็นสีดำ มีคราบน้ำมันที่กำลังไหม้หลงเหลือเป็นบางจุด กลิ่นของเชื้อเพลิงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
แต่สิ่งที่ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะรู้สึกดีใจระคนความตื่นเต้นก็คือ หลังจากที่เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่มีการเผาไหม้ กลิ่นอายที่เย็นชาและมืดครึ้มนั้นได้หายไปทันที ซึ่งหมายความว่าแผนการของผู้อาวุโสฟูจิโอะนี้ใช้ได้ผลจริงๆ
คิตะมิยะ ฮิเดโอะทอดมองไปด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงรีบออกคำสั่งให้สมาชิกทั้งสองหน่วยฉีดพ่นไฟสลับกัน และขบวนที่เดินทางอย่างยากลำบากที่ติดอยู่ที่นี่เกือบทั้งวัน ในที่สุดก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า
…….