นางพูดถึงเรื่องในอดีต อ๋องฉีเริ่มเหนียมอายขึ้นมา แสร้งเป็นถลึงตาใส่นางด้วยความโกรธ “เรื่องมันผ่านไปแล้วจะพูดถึงอีกใยกัน รีบไปเก็บของเร็ว”
พระชายายิ้มตอบรับ ยืนขึ้น เดินไปยัง**บเสื้อผ้า เปิดออก หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้เขา สั่งว่า “หากท่านเจอสองคนนั้นแล้วอย่าดุหลานเป็นอันขาด เดี๋ยวพวกนางขวัญเสียกัน”
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบรับ มองนางนำเสื้อผ้าใส่ไปจนเต็มกระเป๋า ก็ได้ปรามนางว่า “ใส่ไปสองสามชุดเป็นพอ อีกไม่กี่วันข้าก็กลับแล้ว”
“ได้อย่างไรกันเพคะ ได้ยินมาว่าชายแดนพายุทรายพัดแรง ออกจากบ้านทีก็ต้องเปลี่ยนชุดที ไม่เอาไปเยอะๆ ได้อย่างไรกัน” พระชายาไม่ฟังเขา เก็บของต่อไป
อ๋องฉีเม้มปาก ไม่ห้ามนางอีก
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว ก็นำเงินไม่น้อยมาใส่ไว้ในแขนเสื้อของอ๋องฉี พระชายาสั่งอย่างไม่วางใจว่า “เด็กๆ เพิ่งเคยออกจากบ้าน ก็คงต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา อยากเที่ยวเล่นสองสามวัน หากพวกนางไม่อยากกลับมา ท่านก็อยู่เที่ยวเล่นกับพวกนางสักหน่อยเถิด เปิดหูเปิดตาบ้าง อย่าทำเหมือนข้า ชีวิตนี้คงไม่มีทางเดินออกไปจากเมืองหลวงได้”
อ๋องฉีอ้าปาก อดไม่ได้ที่จะชวนนางไปด้วยกัน แต่เมื่อคิดได้ว่ายังไม่แน่ใจว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นเช่นไร หากพระชายารู้ความจริงเข้า ก็คงจะรับไม่ได้ ดังนั้นคำที่อยากพูดก็ถูกกลืนลงไป
เก็บของเสร็จ พระชายาส่งเขาออกจากจวนไป เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ด้านหน้าแล้ว
หลังจากสั่งเสียเรียบร้อยแล้ว ยืนดูพวกเขาขึ้นรถม้าจากไป รอยยิ้มแห้งเหือดบนใบหน้าของพระชายาหายไป หันหลังกลับเข้าไปพร้อมความครุ่นคิด
อ๋องฉีนอยู่ด้านหน้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง ด้านหลังตามด้วยโจวอันที่นำเหล่าองครักษ์ติดตามมาด้วย คนกลุ่มนั้นไม่นานก็ออกจากเมืองหลวงไป มายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง อ๋องฉีหยุดม้า หันไปพูดกับทั้งสองคนว่า “ที่นี่ติดกับเมืองหลวง ผู้คนใช้ได้ ไม่มีใครทำอะไรเย่ว์เอ๋อร์หรอก ข้าว่า อย่างน้อยก็ต้องร้อยลี้ขึ้นไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝูอี้เซวียนก็คิดเช่นนี้ พยักหน้า สั่งโจวอันว่า “พวกเราไปหมู่บ้านที่ห่างออกไปร้อยลี้ก่อน เจ้าสั่งการไปว่า ให้องครักษ์ทุกคนตรวจค้นอย่างละเอียด อย่าให้เล็ดลอดไปแม้แต่น้อย”
โจวอันตอบรับ โบกมือเรียกองครักษ์นายหนึ่ง ให้เขาไปส่งข่าวให้องครักษ์ในหมู่บ้าน คนที่เหลือให้เดินทางต่อ เดินทางเลียบชายแดนไป ค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
ณ ชายแดน
ฉู่เหวินเจี๋ยรอไปแล้วสองวัน ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นั่งไม่ติด จึงได้โยกย้ายทหารสองร้อยนายออกจากเมืองค้นหาเลียบทางกลับเมืองหลวงเป็นต้นไป ไม่รู้เลยว่าการกระทำครั้งนี้ของเขาได้คลายความร้อนใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ได้
ตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง ตั้งแต่ความเย็นสดชื่นในยาวเช้า จนถึงความร้อนระอุในยามเที่ยง ไม่รู้ว่ารถม้าเดินหน้ามาเท่าไรแล้ว แต่ในที่สุดก็หยุดลงเสียที
ใจที่ไม่เป็นสุขของหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นสุขยิ่งกว่าเดิม จับเสื้อผ้าของตนไว้แน่น มองชายตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาสนใจมาตลอด หากไม่ใช่เพราะรถม้าแล่นอยู่ คงจะจับ ‘เขา’ กินไปเสียนานแล้ว
รถม้าหยุดลง ม่านรถถูกเปิดออก เมื่อเห็นชัดว่าด้านในมีชายผิวดำเพิ่มมาคนหนึ่ง ผู้มาเยือนจึงชะงักไป พูดกับชายหนุ่มด้วยความนอบน้อมว่า “องค์ชายใหญ่ เสด็จมาถึงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อึ้ง เบิกตาโต มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
ชายหนุ่มเก็บสีหน้ายิ้มแย้ม แผ่ความรู้สึกสูงศักดิ์ออกมา ไม่ได้ตอบอะไร ลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเย็นชา ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาทเรียกท่านให้รีบกลับวังพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้มาเยือนปล่อยม่านรถลง คำนับ และตอบกลับมา
“ส่งคนนี้กลับจวนไป ส่งคนมาดูแลอย่างดี อย่าให้ขาดตกพร่อง” องค์ชายใหญ่สั่งเสียงดัง
พูดจบ ก็เดินขึ้นไปบนม้าที่เตรียมไว้นานแล้ว ควบม้าไกลออกไป
ผู้มาเยือนโล่งใจ หันหลังกลับ เปิดม่านรถออกอีกครั้ง ด้วยความดูแคลน ดูหมิ่นและอิจฉา พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “ยังไม่ลงมาอีก จะรอให้ข้า ‘เชิญ’ เจ้าลงมาหรืออย่างไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปากตัวเอง ลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้า นั่งโคลงเคลงมานาน กระดูกทั้งร่างแทบแหลกสบาย เท้าแตะพื้น ขาก็อ่อนแรงลง แทบจะทรุดลงกับพื้น รีบจับคันรถไว้เพื่อพยุงตัว จึงไม่ล้มลง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางผู้มาเยือนจึงได้ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ ไม่พูดไม่จา หันหลังเดินเข้าจวนไป
ใช้โอกาสนี้มองไปรอบๆ เห็นว่าประตูมีชายฉกรรจ์จำนวนไม่น้อยคอยดูแลอยู่ ทุกคนร่างสูงกำยำ ไม่ต้องพูดถึงหลายคน เพราะแม้แต่คนเดียวนางก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ ความคิดที่อยากหนีจึงได้หายไป ทำตัวดีๆ เดินตามเข้าไปด้วยความหวาดกลัว
ผู้มาเยือนหันหลังมาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง จึงได้ทำเสียงไม่พอใจอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยิน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงต้องไม่ชอบนางเช่นนี้
เดินก้มหน้ามาตลอดทาง จนมาถึงเรือนที่เงียบสงบ ผู้มาเยือนหยุดฝีเท้าลง พูดกับบ่าวที่เฝ้าประตูด้วยความไม่พอใจว่า “นี่คือคนที่องค์ชายใหญ่พามาด้วย พวกเจ้าต้องดูแลให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระวังองค์ชายใหญ่จะถลกหนังพวกเจ้าออกมา”
บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างเกรงกลัว
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังเดินกลับไป
บ่าวรับใช้เดินนำหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในเรือน เปิดม่านประตูออก เชิญนางเข้าไป พูดอย่างนอบน้อมว่า “นี่เป็นที่พักของท่าน ต้องการสิ่งใดก็ขอให้สั่งพวกเราเจ้าค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าเล็กน้อย โบกมือ
บ่าวรับใช้ออกไป ปิดประตูเบาๆ ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า
ในที่สุดหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็โล่งใจเสียที ความรู้สึกกดดันผ่อนคลายลงมา นั่งลงบนเก้าอี้ กลัวแต่จนปัญญา นางคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะเป็นองค์ชายใหญ่ของรัฐอิง ส่วนนางก็ตกอยู่ในมือของเขาไม่รู้ว่าจะมีทางหนีออกไปได้หรือไม่
พวกของอ๋องฉีทั้งสามคนควบม้าไม่พักจนออกมาได้ไกลร้อยลี้ จากนั้นจึงได้หยุดอยู่ข้างคูน้ำที่กองทัพเคยมาพัก รอข่าวจากองครักษ์ลับที่มาถึงก่อนแล้ว
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง อ๋องฉีก็ลงจากม้า เดินเข้าไปด้านใน มายังโต๊ะเก็บเงิน ถามว่า “เถ้าแก่ หลายวันมานี้มีเด็กผู้หญิงที่มีสำเนียงเมืองหลวงมาที่นี่บ้างหรือไม่”
เถ้าแก่ส่ายหน้า ตอบ “ไม่เคยเห็นเลย”
อ๋องฉีหันหลังเดินออกมา ไปยังอีกโรงเตี๊ยมหนึ่ง ถามมาตลอดทาง คำตอบที่ได้คือไม่มี สีหน้าซีดเซียวถึงขีดสุด ทำให้องครักษ์ที่จะมารายงานต้องหลบไปอีกทาง เดินไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน “ท่านอ๋อง ไปถามมาหมดแล้วขอรับ ไม่มีวี่แววของท่านหญิงน้อยเลย”
สีหน้าของอ๋องฉีดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม ไม่พูดอะไร หันหลังขึ้นม้า ตรงไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้น จึงได้เดินเข้ามาดึงเชือกไว้ เงยหน้า มองสายตาโกรธของอ๋องฉี “เสด็จพ่อขอรับ เดินทางติดกันมาหลายวัน หากเดินทางต่อไป ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว พวกเราไปพักผ่อนที่กลางเมืองกันก่อนดีกว่า วันพรุ่งค่อยไปอีกที่หนึ่ง”
“ออกไป! ” อ๋องฉีตะคอก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมปล่อยเชือก “เสด็จพ่อ เย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กของจวนอ๋อง กล้าหาญและฉลาดกว่าเด็กคนอื่น ข้าเชื่อว่านางจะต้องไม่เป็นอะไร”
“อย่าเซ้าซี้!” อ๋องฉีพูดคำหยาบเป็นครั้งแรก “บัดนี้ไม่รู้ว่าเย่ว์เอ๋อร์กำลังเจอปัญหาอยู่ที่ใด พวกเราต้องรีบหาตัวนางให้เจอ เช่นนี้นางถึงจะไปลำบากน้อยลง”
“เมืองหลวงห่างจากชายแดนหลายพันลี้ ท่านคิดจะไม่กินไม่นอนเช่นนี้ ตามหานางไปเรื่อยๆ หรือ หากพบนางแล้ว แต่ท่านล้มลง ท่านหวังจะให้เย่ว์เอ๋อร์เห็นภาพเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาด้านใน ย้อนถามเขา
อ๋องฉีไม่มีอะไรจะพูด ลงจากม้าด้วยความโกรธ หันหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด ตบโต๊ะเก็บเงิน พูดกับเถ้าแก่ว่า “เอาห้องที่ดีที่สุดให้ข้า! ”
เถ้าแก่ตกใจ ลูกคิดในมือเกือบร่วงลงพื้น รีบคว้าเอาไว้ มองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินตามมา จึงได้ยิ้มต้อนรับ “ได้เลยขอรับ ข้าจะพาท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งรอในห้องจนมืด กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูของบ่าวรับใช้ พูดว่า “นายท่าน ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ นางกินข้าวไปมื้อเดียว หวงฝู่เย่าเย่ว์หิวแล้ว จึงได้กดเสียงต่ำพูดว่า “ยกเข้ามาได้เลย”
สาวใช้เปิดประตู ก้มหน้า วางอาหารลงบนโต๊ะโดยไม่กล้ามอง พูดว่า “นายท่านหากกินอิ่มแล้ว เรียกพวกเราได้เลยเจ้าค่ะ พวกเราจะรีบมาเก็บถ้วยชาม”
“เข้าใจแล้ว ออกไปเถิด”
สาวใช้ออกไป ปิดประตูเบามือ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินไปข้างโต๊ะ กินอาหารตรงหน้าอย่างมูมมาม ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นครั้งแรกที่นางกินเร็วเช่นนี้ ประการหนึ่งก็เพราะนางหิว อีกประการหนึ่งก็เพราะนางหวังว่าจะรีบกินเสร็จแล้ว จะให้บ่าวไปหาของบางอย่างให้ตน
ที่ชายแดน ทุกคนรอคอยข่าวของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างร้อนใจ พร้อมกับคุยกันว่าจะเปิดศึกกับรัฐอิงอย่างไร ไม่รู้ว่าเพราะรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยนำทัพมาแล้ว หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐอิง หลายวันมานี้รัฐอิงนิ่งเงียบ ไม่เหมือนหลายคืนก่อนที่คอยท้าทายอยู่ตลอด
ฉู่เหวินเจี๋ยใช้โอกาสให้ทหารได้พักผ่อน เดินทางติดต่อกันหลายวัน พลทหารเหนื่อยล้าไม่น้อย
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่งไม่ติด นอนไม่หลับ สิ่งที่ทำในทุกวันคือการติดตามทหารสองร้อยนายไปตามข่าวหวงฝู่เย่าเย่ว์
ไม่นานก็มาถึงเมืองชิงหยาง วิธีการเหมือนกับอ๋องฉี เดินถามทุกโรงเตี๊ยม ว่ามีเด็กผู้หญิงสำเนียงเมืองหลวงมาบ้างหรือไม่
ถามทุกร้าน จนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมที่หวงฝู่เย่าเย่ว์เคยพักมาก่อน
เมื่อเถ้าแก่ได้ยินคำที่หวงฝู่สือเมิ่งถาม แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “เมืองชิงหยางอยู่ห่างเมืองหลวงนัก ยากที่คนจากเมืองหลวงจะมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียว หากมาที่นี่ข้าจะต้องจำได้เป็นแน่”
คำตอบจากที่พักและเถ้าแก่เหมือนกัน หวงฝู่สือเมิ่งหมดหวังอีกครั้ง หลังจากขอบคุณแล้วก็จากไป แต่ขณะที่กำลังหันหลังกลับนั้นก็เห็นของคุ้นตาสิ่งหนึ่ง จึงหันกลับ ชี้ไปที่ของสิ่งนั้นถามเสียงดังว่า “เถ้าแก่ ของนั้นท่านได้มาจากที่ใดกัน”