มือของชายผู้นั้นกำลังจะมาถูกชายเสื้อของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางขืนตัว เตรียมพร้อมจะต่อกรกับเขา
ขณะเดียวกัน เสียงเคาะประตูหนักแน่นก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มหยุด ถามเสียงดังว่า “นั่นผู้ใดกัน”
คนนอกประตูฟังความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขาออก ชะงัก พูดด้วยเสียงเบาและเร็วว่า “คุณชายขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
ผู้ติดตามรู้จักเขาดี หากไม่มีสถาณการณ์จำเป็นแล้ว จะไม่มีทางมารบกวนเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มเก็บมือลง พูดว่า “เข้ามาได้”
ประตูถูกเปิดออก นอกจากบ่าวรับใช้สองคนเมื่อครู่แล้ว ก็มีชายฉกรรจ์มาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชายหนุ่มหมดความอดทน ขมวดคิ้ว ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
คนที่มาส่งข่าวมองหวงฝู่เย่าเย่ว์เล็กน้อย ตัดสินใจไม่พูด
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ สั่งว่า “พูดมาสิ”
ชายฉกรรจ์ไม่ลังเลอีกต่อไป เดินเข้ามา พูดด้วยเสียงเบาว่า “ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่านแม่ทัพฉู่เหวินเจี๋ยแห่งรัฐอู่ได้สั่งให้คนมาสืบค้นทุกหมู่บ้านตั้งแต่ในเมืองชิงหยางเป็นต้นมา ไม่นานก็จะมาถึงหมู่บ้านชิงหยางแล้ว หากคุณชายยังคงอยู่ที่นี่จะมีอันตรายเอาได้”
ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์มีความหวัง
ชายคนนั้นหรี่ตาลง ถามเสียงเบาว่า “สืบรู้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยได้ยินคนงานมารายงานเช่นนี้ ก็รีบมารายงานท่านทันที คุณชาย พวกเรารีบออกจากที่นี่ไปเสียดีกว่า”
สายตาของชายหนุ่มมองไปทางหวงฝู่เย่าเย่ว์ เห็นว่านางก้มหน้าเงียบๆ ราวกับว่าไม่รู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาพูดกัน เขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด แต่หากให้ฉู่เหวินเจี๋ยพบเข้า ให้รู้ว่าเขามีความผิดปกติ ไม่คุ้มค่าเลย
นึกถึงตรงนี้ โบกมือ บ่าวรับใช้นายหนึ่งหยิบชุดมาสวมใส่ให้เขา จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
เมื่อพ้นจากความอันตรายแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบโล่งใจ หันไปมองชายผู้นั้น จากนั้นก็คาดเดาสถานะของเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นั้นหันกลับมาเช่นกัน สายตาของนาง สำหรับชายหนุ่มแล้วกลับกลายเป็นความอาลัยและรอคอย จึงเปลี่ยนใจ สั่งบ่าวรับใช้ว่า “เอาตัวเขาไปด้วย”
ชายฉกรรจ์ที่มารายงานหวังจะห้าม “คุณชายขอรับ นี่…”
“มีอะไร คำพูดของข้ามันไม่มีผลแล้วหรือ” ชายหนุ่มมองเขา ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ชายฉกรรจ์รีบพูดว่า “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
หน้าผากของชายฉกรรจ์มีเหงื่อผุดออกมา
ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ถอยหลังไปอย่างลืมตัว ใบหน้าตื่นกลัว กำลังจะเปิดปากพูด บ่าวรับใช้นายหนึ่งอาศัยช่วงที่นางไม่ได้ตั้งตัว ทุบที่คอของนาง ทำให้นางสลบไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่นขึ้นเพราะแรงกระแทก ลืมตาขึ้นก็มองเห็นเพดานรถ จึงได้รีบลุกขึ้นมาทันที ร่างกายขยับไปมาตามแรงวิ่งของม้า
“ตื่นแล้วหรือ”
เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้น
ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์แข็งทื่อ ค่อยหันหัวกลับไป มองชายข้างๆ ตน
ขาข้างหนึ่งของชายหนุ่มชันขึ้น อีกข้างยืดตรง นั่งพิงรถม้าอย่างเกียจคร้าน ขณะนี้กำลังจ้องมองนางตาไม่กระพริบ
ปฏิกิริยาแรกของหวงฝู่เย่าเย่ว์คือก้มลงมองเสื้อผ้าของตน เมื่อพบว่ายังอยู่ในสภาพดี จึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของนาง จึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนใจคนสลบดอกหนา”
ได้รับการกดดันจากเขา จึงได้ถดไปด้านหลังเล็กน้อย ห่างจากเขาออกมา จากนั้นก็กลืนน้ำลาย ถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเดียงสาและเกรงกลัว ถามว่า “เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
“รัฐอิง” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่เร่งร้อน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา พูดด้วยเสียงติดขัดว่า “รัฐ รัฐ อิงหรือ”
ปฏิกิริยานี้อยู่นอกเหนือการคาดเดาของชายหนุ่ม ชายหนุ่มชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงทุ้ม “ข้าจะได้ซื้อเจ้ามาแล้ว จากนี้ไป เจ้าเป็นของข้า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปากค้าง ราวกับเสียสติไปแล้ว พูดอะไรไม่ออก
ชายหนุ่มถูกท่าทางเช่นนี้ของนางยั่วยวน ลำคอกลืนน้ำลายหลายหน เก็บขาที่ยืดเหยียดเข้ามา เขยิบเข้ามาด้านหน้า ยื่นมืออกไปหวังจะคว้าตัวนางมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติ ร่างของนางถดถอยหลังไปหลายก้าว อีกนิดก็จะตกรถม้าแล้ว
ชายหนุ่มคว้าอากาศ มองนางด้วยความสนใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกเขาจ้องเสียจนขนลุกไปทั่วตัว แอบกำมือแน่น เตรียมพร้อมหากเขาเข้ามาใกล้นางจะหนีอย่างสุดชีวิต
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับอีก แต่กลับเอนตัวพิงผนังรถ หัวเราะเบาๆ “ดูท่าทางคล่องแคล่วดีจริง ตอนใช้งานคงจะให้ความรู้สึกดีไม่น้อย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายของเขา มองเขาด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึดหดหู่ใจ ก้มหน้าลง ในใจกำลังคิดว่ามีความเป็นไปได้มากเพียงใดที่ตนจะหนีออกไปได้
ณ เมืองหลวง
องครักษ์สองนายควบม้าไม่หยุด เดินทางข้ามวันข้ามคืนไปยังเมืองหลวง จนถึงหน้าจวนอ๋อง จึงได้ลงจากม้า เกือบจะเป็นลมไป พยุงร่างที่ใช้งานหนักเดินเข้าไปในจวน เดินตรงไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว
ชิงหลวนอยู่ที่หน้าประตู เห็นทั้งสองพยุงกันเดินเข้ามา จึงตกใจ รีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
องครักษ์นายหนึ่งหายใจหอบเล็กน้อย น้ำเสียงร้อนรน “ยังหาตัวท่านหญิงน้อยไม่พบ ท่านแม่ทัพฉู่สั่งให้เรานำจดหมายมาให้”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ชิงหลวนถามเสียงดัง
ม่านประตูถูกเปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยสีหน้าซีดเผือด “เกิดอะไรขึ้น”
องครักษ์หยิบจดหมายออกมา มอบให้นางอย่างนอบน้อม “นี่เป็นจดหมายที่ท่านแม่ทัพส่งให้ท่านขอรับ”
เมิงเชี่ยนโยวรับมาด้วยมือสั่นเทา รีบเปิดดู อ่านอย่างรวดเร็ว สั่งชิงหลวนว่า “รีบไปเรียกซื่อจื่อมาเดี๋ยวนี้”
ชิงหลวนตอบรับและจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งองครักษ์สองนายว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด”
ทั้งสองตอบรับ และขอบคุณ
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนได้รับข่าวแล้ว ก็ทิ้งงานในมือและกลับจวนอ๋องทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวนำจดหมายของฉู่เหวินเจี๋ยมอบให้เขา
หวงฝู่อี้เซวียนดูจบ ก็ถอนหายใจ เรียกโจวอันมา สั่งให้เขาส่งตัวองครักษ์ลับสามสิบนายออกไปตรวจตรา สืบค้นทุกเมือง
เมื่อได้ยินว่ายังหาตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พบ โจวอันเองก็ตกใจไม่น้อย ได้ยินดังนั้น ก็รีบไปที่หน่วยของตน
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดว่า “เจ้าไปเก็บของ เราจะไปชายแดนกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แล้วเสด็จพ่อและเสด็จแม่…”
“ข้าจะไปพูดเอง เจ้าไปเก็บของก็พ่อ” พูดจบ ก็หันหลังเดินไปยังเรือนของอ๋องฉีและพระชายาทันที
ตั้งแต่หวงฝู่ฉือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าจากไปนั้น อ๋องฉีและพระชายาก็โทษว่าเป็นความผิดของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว บัดนี้ไม่อยากพบหน้าพวกเขา เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา อ๋องฉีจึงทำเสียงไม่พอใจราวกับเด็กๆ กลอกตาลง ไม่สนใจเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปาก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ข้าและโยวเอ๋อร์มีธุระต้องไปชายแดนขอรับ”
อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นทันที
พระชายาเองก็แปลกใจยิ่งนัก ถามเสียงสั่นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากเล็กน้อย กลืนคำที่ติดอยู่ที่ปากลงไป เปลี่ยนเป็น “ชายแดนมีเรื่องด่วนขอรับ ท่านน้ารับมือไม่ไหว ฝ่าบาทจึงได้ส่งตัวข้าไป”
พระชายาเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น จึงได้เป็นกังวล “น้าเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
แต่อ๋องฉีกลับไม่เชื่อ จึงได้หรี่ตาลง ขมวดคิ้ว ยืนขึ้น เดินไปด้านนอก สั่งหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ตามข้าไปยังห้องหนังสือ”
“เสด็จแม่วางใจเถิด ท่านน้าไม่เป็นอะไรขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ จากนั้นก็รีบเดินจากไป
เรื่องการรบเป็นเรื่องของผู้ชาย พระชายาไม่เข้า จึงไม่ยุ่งเกี่ยว เมื่อได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่เป็นอะไร จึงโล่งใจ ไม่มีใจคิดจะไปถามไถ่
ในห้องหนังสือ อ๋องฉียืนมือไพล่หลัง จ้องหวงฝู่อี้เซวียน มองทุกสีหน้าของเขา “พูดมา ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง “ไม่มีข่าวของเย่ว์เอ๋อร์เลยขอรับ นางหายตัวไป”
ประโยคนี้ ราวกับว่ามีฟ้าผ่าลงกลางใจของอ๋องฉี เขาเซไปหลายก้าว
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเข้าไปพยุง
อ๋องฉีปัดมือเขาออก พยุงโต๊ะข้างกายแทน สูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงสั่นว่า “เรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“หลังจากกองทัพจากไปได้สองวัน เมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์ หาเย่ว์เอ๋อร์ไม่พบ ท่านน้าคิดว่านางน่าจะเจอปัญหาเข้า จึงได้ส่งองครักษ์มาบอกข่าว”
ตาของอ๋องฉีปิดลงเล็กน้อย ตั้งแต่วันที่กองทัพออกเดินทางจนวันนี้ได้ผ่านมายี่สิบกว่าวันแล้ว บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเย่ว์เอ๋อร์ ก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ทันใดนั้น ความคิดแง่ลบทั้งหลายก็ผุดขึ้นมา ร่างกายสั่นเทามากกว่าเดิม
“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขาเบาๆ
อ๋องฉีมองเขา
“เย่ว์เอ๋อร์จะไม่เป็นขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจอย่างไร พูดออกมาได้เพียงนี้
อ๋องฉีมองเขาโดยไม่พูดอะไร
ในห้องหนังสือเงียบสนิท
ครู่ใหญ่ อ๋องฉีถอนหายใจยาวเหยียด พยุงร่างของตน พูดเสียงต่ำว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“หากเสด็จพ่อไปแล้ว เสด็จแม่จะต้องสงสัยเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่า…” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
“เรื่องเสด็จแม่ของเจ้าข้าจะไปพูดเอง เจ้าไปสั่งการว่าอีกหนึ่งก้นธูปพวกเราจะเดินทางกัน”
พูดจบ ก็เดินออกไป ฝีเท้ามีความมุ่งมั่นไม่ถดถอย
หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกไป
อ๋องฉีกลับเข้ามาในเรือนของพระชายา เก็บสีหน้าร้อนรน และตื่นตระหนกไป สีหน้ากลับมาเป็นปกติ เดินเข้าไปพูดกับพระชายาว่า “เจ้าเก็บของให้ข้าที ข้าจะไปชายแดนกับพวกเซวียนเอ๋อร์”
พระชายาตกใจยิ่งนัก ความคิดไม่ดีต่างๆ ผุดขึ้นมาให้หัว จึงถามด้วยความร้อนรนว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับเหวินเจี๋ยหรือเมิ่งเอ๋อร์หรือเพคะ”
“คิดไปถึงไหนกัน เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าวันแล้ว ข้าคิดถึงเหลือเกิน จึงได้อยากจะไปพร้อมพวกเขา จะได้พาตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาพร้อมกัน มาอยู่กับพวกเราเสียที”
สีหน้าของเขาเป็นปกติ เสียงก็ปกติ พระชายาฟังไม่ออกว่ามีอะไรไม่เข้าทาง ความสงสัยในใจจึงได้หายไป เมื่อคิดว่าสิบกว่าปีมานี้ อ๋องฉีรักเด็กสองคนนี้เสียยิ่งกว่าตน จากกันนานเพียงนี้จะคิดถึงก็คงไม่แปลก จึงได้ยิ้มและพูดล้อว่า “ไม่รู้ว่าใครกันตอนที่โยวเอ๋อร์เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ เมื่อรู้ว่าเป็นลูกสาว ก็เสียสติไปหลายวัน”