GGS:บทที่ 995 พื้นที่พิเศษอีกครั้ง

การที่จะใช้เครื่องยนต์ที่ซูจิ้งเก็บกู้มาจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศตำนานยอดทหารจ้าวนักรบเป็นเครื่องยนต์รถไฟฟ้านั้นเปรียบได้ดั่งการนำยอดแห่งดาบไปเชือดไก่กินจริงๆ
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าหุ่นยนต์เกราะเบานั้นถึงจะเป็นหุ่นขนาดเล็กแต่มันก็มีความสูงร่วมสิบเมตรเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าพวกมันจะบินไม่ได้แต่ก็มีความรวดเร็วประดุจดั่งสายฟ้าฟาด หุ่นเกราะเบาบางตัวนั้นทำได้แม้แต่การทยานไปบนอวกาศด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว
ด้วยความทรงพลังของเครื่องยนต์แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่ามันการนำยอดแห่งดาบไปไล่เชือดไก่

ต่อให้เป็นหุ่นยนต์เกราะเบารุ่นที่แย่ที่สุดก็ยังมีความสามารถเพียงพอต่อการเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างง่ายดาย นี่จึงถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าโลกใบนี้ไปอย่างหลายช่วงตัวเลยทีเดียว
หากนำไปเทียบกับเครื่องยนต์จากค่ายดังอย่างบีเอ็มดับบิว เมอร์ซิเดซเบนซ์ วอลโว่ จาร์กัวร์ หรือต่อให้นำเครื่องยนต์ของทุกค่ายมารวมกันได้ก็ยังทีว่าเป็นการรังแกบริษัทเหล่านั้นมากไปอยู่ดี
เจียงจือ เทาจง และนักวิจัยคนอื่นๆนั้นคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเลยสักนิดในเรื่องที่ว่าเครื่องยนต์นี้ไม่ใช่เครื่องยนต์ของยานพาหนะ เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นไม่รู้จักหุ่นเกราะเบาจึงคิดไม่ถึงว่านี่เป็นเครื่องยนต์ของหุ่นยนต์ก็เท่านั้น

“อืมมมม…ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นการใช้ยอดแห่งดาบไปเชือดไก่ไปสักหน่อย แต่หากสร้างมันขึ้นมาได้เองล่ะก็แน่นอนว่ามันย่อมเป็นสุดยอดโอกาสธุรกิจอย่างแน่นอนและกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของฉันจะกลายเป็นสุดยอดแบรนด์แห่งโลกนี้
เพียงแค่เครื่องยนต์นี้เครื่องเดียวนี่สามารถทำให้ฉันกำไรมากมายเลยต่อให้ผลิตเองได้แค่เครื่องเดียว ยิ่งถ้าฉันสร้างบริษัทเกี่ยวกับเครื่องยนต์ยานพาหนะล่ะก็ไม่นานก็ต้องขึ้นเป็นที่หนึ่งง่ายอย่างง่ายดาย
ยังไงก็คงต้องให้วิจัยเครื่องยนต์นั่นให้สำเร็จให้ได้ล่ะนะ ต่อให้มันพังยังไงก็ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมให้ได้อยู่ดี หึหึหึ หรือว่าฉันจะเก็บไว้ใช้คนเดียวดีล่ะ”
ซูจิ้งคิดแผนการใช้ประโยชน์จากเครื่องยนต์นี้ไว้อย่างมากมาย แต่สิ่งที่เขาคาดหวังอย่างที่สุดนั่นก็คือการนำไปใช้กับหุ่นยนต์เกราะเบาอยู่ดี

หากว่าเขานั้นสามารถมีหุ่นยนต์เกราะเบาเอาไว้เป็นกองกำลังสักตัวล่ะก็ เขาคิดไม่ออกเลยว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเพิ่มสูงขึ้นแค่ไหน
ต่อให้มันจะมีโอกาสที่ว่าการควบคุมหุ่นยนต์จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะ แต่ยังไงซะในห้วงเวลาฯตำนานสุดยอดทหารฯผู้ควบคุมหุ่นแต่ละคนเองก็มีวิธีการควบคุมที่แตกต่างกันไป และแต่ละวิธีก็ทำให้หุ่นยนต์แสดงศักยภาพที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน

เอาจริงๆแม้แต่คนธรรมดาก็ยังควบคุมมันได้เหมือนกัน แต่เมื่อควบคุมไปแล้วพวกเขานั้นมักจะไปทำให้พวกมันชนนู่นชนนี่ ทำให้พวกมันล้มบ้าง บางกรณีก็ทำให้พวกมันระเบิดไปเลยก็มี นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขานั้นต่างก็ถอดใจไป
แต่เขาเองก็ยังเชื่อว่ากับเรื่องนี้นั้นเขารับมือได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะเขานั้นมีทั้งร่างกาย สัมผัส การตอบสนอง พลังวิญญาณ และทักษะด้านอื่นๆที่เหนือกว่าคนทั่วไป นี่จึงเรียกได้ว่าพอเสียยิ่งกว่าพอ

ซูจิ้งนั้นยังคงทำการค้นหาชิ้นส่วนหุ่นยนต์จากขยะฯกองโลหะต่อไปและมุ่งเน้นเป็นพิเศษที่ชิ้นส่วนหุ่นยนต์เกราะเบา
หลังจากรื้อค้นไปสองถึงสามวันก็ดูเหมือนว่าในครั้งนี้เขานั้นจะไม่มีโชคจริงๆ เขานั้นได้พบเพียงชิ้นส่วนบางส่วนและอะไหล่พังๆอีกกองหนึ่ง
ต่อให้อัตราการฟื้นสภาพของหุ่นเกราะเบานี้จะสูงก็จริง และมีกระทั่งความสามารถซ๋อมแซมของเสี่ยวไป๋ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นการยากอยู่ดีที่จะประกอบชิ้นส่วนจากหุ่นคนละตัว
ขนาดพ่อของตัวเอกที่ได้รับฉายาว่าสุดยอดพ่อค้าและนักเก็บกู้ ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ในดาวขยะหลายปีกว่าจะได้ฉายานั้นมา
กับซูจิ้งตัวเขานั้นยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้สักเท่าไหร่นักแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องยากสักหน่อย
แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ายินดีอยู่บ้าง นั่นก็คือกลุ่มหนูที่เขาใช้ทดลองกินเนื้อของหนูยักษ์และซาลามานเดอร์แดงก่อนหน้านี้ ในช่วงสองสามวันมานี้พวกมันทั้งร้อยตัวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย
นอกจากนั้นพวกมันยังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกมันแข็งแรงขึ้น เร็วขึ้น และดวงตาของพวกมันกระจ่างใสกว่าเดิม พัฒนาการเหล่านี้เทียบได้ดั่งการที่พวกมันได้กินเนื้อสัตว์อสูรและปลาเขี้ยวหยก
โดยเฉพาะกับหนูที่กินซาลามันเดอร์แดงนั้นพวกมันเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าพวกที่กินหนูยักษ์เกือบสองเท่า เทียบเท่าได้กับการกินเนื้อของเสือแดนใต้

หนูที่ดื่มน้ำหวานจากต้นหญ้าลงไปไม่ได้ส่งผลอะไรกับร่างกายมากนักเพียงแค่ขนของมันนุ่มขึ้น และมีดวงตาที่แวววาวมากจนกลายเป็นน่ารักไป
เมื่อได้เห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงใช้เนื้อทั้งสองชนิดในการทำเป็นอาหารกลางวัน เขากินมันด้วยความสุขสุดยอดจนเกือบกินพวกมันจนหมดในครั้งเดียว
นึกไม่ถึงว่าหลังจากกินเข้าไปแล้วความแข็งแกร่งของเขาเองก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน และไม่เพียงสงผลดีต่อความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเท่านั้น
สารอาหารที่เขาได้รับนั้นสูงล้ำยิ่งกว่าข้าวสีน้ำเงิน มันก็จริงที่ว่าการที่เขาได้กินข้าวสีน้ำเงินบ่อยครั้งทำให้เขานั้นดูดซับสารอาหารได้น้อยลง
แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกมันนั้นต้องเสียเวลาบ่มเพาะในดินจอมเขมือบ ขนาดข้าวสีน้ำเงินต้องทำถึงขนาดนั้นถึงจะกินได้พร้อมสารอาหารที่พรั่งพร้อมก็ยังด้อยกว่าเนื้อของหนูยักษ์และซาลามันเดอร์แดงนับร้อยเท่า

“เจ้าหนูจักรวาลนี่เจ๋งกว่าหนูทั่วไปจริงๆแหะ แต่ว่านิสัยนี่เหมือนกันอย่างกับแกะเลย….อืม….หากว่าเมื่อถึงฤดูกาลพวกมันเองก็น่าจะจับคู่ผสมพันธุ์และออกลูกออกหลาน
หนูจักรวาลที่เหลืออยู่ตอนนี้เองก็มีตัวผู้และตัวเมียอัตราส่นเกือบอย่างล่ะครึ่งฉันเองก็คงไม่ต้องกังวัลว่าพวกมันจะหมดล่ะนะ
แต่เจ้าซาลามันเดอร์แดงนี่สิเหลือแค่ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่งเท่านั้น เฮ้อ…. เอานะ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่จะเพาะพันธุ์พวกมันอยู่”
ซูจิ้งใช้ความคิดของตัวเองเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์หนูจักรวาลและซาลามันแดงอย่างจริงจัง ถึงแม้เนื้อของพวกมันเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อสูรจะยังเทียบไม่ได้ แถมยังไม่เหมาะสมจะทำให้เป็นกำลังรบของเขา
แต่เนื้อของสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้กลับอร่อยแบบสุดๆ เพียงเท่านี้ก็มีค่าเพียงพอแล้ว ต่อให้เขานั้นเลิกกินมันแต่เขาก็ยังใช้ประโยชน์จากการเพาะพันธุ์ได้อยู่ดี

เขาพลางนึกไปถึงหมูป่าและอสูรเสือที่เคยได้พบ ในตอนนั้นด้วยความที่กระทันหันไปทำให้เขานั้นควบคุมมันไม่ทันทำให้จะเป็นต้องฆ่ามันตายไป
หากในตอนนั้นเขาสามารถชุบเลี้ยงและเพราะพันธุ์สัตว์ทั้งสองได้เขาและสัตว์เลี้ยงก็คงมีเนื้อดีๆกันอย่างไม่จำกัดไปแล้ว

“ฉันจะใช้เจ้าสองชนิดนี้เพิ่มเงินและค่าการใช้ประโยชน์ยังไงดีนะ” ซูจิ้งพยายามนึกหาหนทางอยู่พักหนึ่งแต่ก็หยุดคิดเรื่องนี้ไปแต่อีกสักพักเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำดีกว่า
เหตุผลก็เพราะว่าหากเวลาผ่านไปแล้วเขาขายเนื้อของสัตว์ทั้งสองออกไปจริงๆล่ะก็ ด้วยการที่พวกมันนั้นไม่เพียงรสชาติดี แต่พวกมันนั้นยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายอีกด้วย
หากมีใครสักคนที่กินพวกมันไปแล้วแข็งแกร่งพอที่จะก่อปัญหาให้เขาได้ล่ะก็คงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก ต่อพอมาคิดดูอีกทีแล้วระดับแค่นี้ไม่ใช่เรื่องเหนือกว่าเขาจะควบคุมได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจจะขายเนื้อนี้ดู
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว ซูจิ้งก็ได้ติดต่อไปยังภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เพื่อให้ช่วยจัดพื้นที่ชั้นสามของภัตตาคารเป็นพิเศษ หลังจากตกแต่งเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยเขาก็ใช้พื้นที่ชั้นสามเป็นพื้นที่พิเศษ

หลังจากนั้นซูจิ้งได้สร้างโพสต์ในไมโครบลอกของเขา ทันทีที่เขาโพสต์ลงไป ทั้งแฟนคลับของเขาและชาววเน็ตเองก็ได้เพียงแต่มองโพสต์ไปอย่างอึ้งๆ
“ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เปิดพื้นที่พิเศษเหรอ ซูจิ้งจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“เขาพึ่งจะหันไปสนใจผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รอดูระบบประสาทเทียมและโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่แต่เขายังมาทำอะไรแบบนี้อีกเหรอเนี่ย หรือว่าผลิตภัณฑ์ของเขาล้มเหลวกัน”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาได้สร้างโรงงานผลิตไปแล้วและกำลังผลิตอยู่”
“นี่เขาจะปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกี่อย่างเนี่ย มีใครพอรู้บ้าง”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ที่สำคัญกว่านั่นก็คือพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์มีราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน”
“ห้ะ นี่มันจูงเกาะเข้าห้องเชือดชัดๆ เขาจะไปมีอารมณ์กินหลังจากที่เสียเงินไปเปล่าหนึ่งแสนหยวนกัน แถมจากนิสัยของหมอนี่ แน่นอนว่าหนึ่งแสนหยวนนี่เป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเท่านั้น ฉันว่าอาหารพวกนั้นต้องมีราคามากกว่าหนึ่งแสนหยวนอย่างแน่นอน”
“ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นหมอเทวดาและคนไข้รวยๆยินดีที่จะประเคนเงินค่ารักษาให้ก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันหรอกนะ
มันไม่เหมือนกับการรักษาคนไข้ที่ไม่รักษาก็จะตายแต่กับเรื่องกินนี่มันคนละเรื่องกันไปเลย ต่อให้ไม่กินมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสักนิด ดีไม่ดีหากจ่ายเงินขนาดนี้เพื่อกินล่ะก็ คนพวกนั้นคงโดนคงตระกูลไล่เฆี่ยนตีเป็นแน่”

ด้วยการที่หลายวันก่อนนั้นมีเรื่องหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเกิดขึ้นจนเป็นที่ตกใจไปกันทั้งโลก ทำให้ผู้คนนั้นต่างก็สนใจในตัวซูจิ้งมากขึ้น
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นกลับพบว่าซูจิ้งไม่ได้จะสนใจแต่เพียงเรื่องการแพทย์เพียงอย่างเดียว เขานั้นได้เริ่มก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยี และมาตอนนี้เขายังกลับมาเปิดพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเสียอีก
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่าเขานั้นเฆี่ยนตีลาด้วยค้อนยักษ์ที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องใหญ่ให้มันดูเล็กน้อยเสียจริงๆ
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนบ้าเงินและทะนงตัวอย่างมาก และต่อให้เขาบ้าที่จะเสี่ยงก็จริงแต่การทำแบบนี้ก็มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่เพิ่งจะรู้สึกดีกับความเก่งกาจของซูจิ้งต่างก็กลับตาลปัตรความคิดของพวกเขาที่มีต่อซูจิ้ง พวกเขานั้นเริ่มรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นน่ารำคาญและทำอะไรก็ได้เพียงเพื่อผลักดันตัวเองให้เป็นที่พูดถึงเท่านั้น
หากว่าผิดพลาดไปล่ะก็จะทำให้เขานั้นหล่นลงมาจากฟากฟ้าจมธรณีในทันที

มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ยังเชื่อมั่นในตัวซูจิ้งราวกับหมาน้อยที่ภักดี เหมือนต้นไม้ที่คอยลู่ไปตามลม
แต่ก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่ยิ้มกว้างนั่นก็เพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อิจฉาซูจิ้งอย่างหมดหัวใจ
หากซูจิ้งผิดพลาดไปแม้เพียงสักเล็กน้อยจนเซ พวกเขานั้นก็จะยินดีเตะตัดขาซูจิ้งให้ล้มจริงๆก่อนที่จะเหยียบให้มิดอย่างรวดเร็ว