GGS:บทที่ 996 ตายแน่ๆ

ไม่เพียงแต่ชาวเน็ตที่พูดถึงเรื่องนี้ แม้แต่คนของเหล่าภัตตาคารชื่อดังทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องนี้ ผู้คนของที่นั้นก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
“หมอนี่คิดจริงๆเหรอว่าจะมีคนไปกินอาหารที่ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนเนี่ย”
“ขนาดภัตตาคารของเราได้มิชชาลินสามดาวยังอาหารแค่ไม่กี่จานที่ราคาถึงแสนหยวน แต่หมอนี่กลับคิดราคาขั้นต่ำที่แสนหยวน คิดอะไรอยู่กัน”
“กับอีแค่ชนะเลิศการทำอาหารแค่นี้แต่กลับคิดราคาสูงขนาดนี้ เขาคิดว่าตัวเองมีฝีมือจริงๆเหรอ ไอ้รายการนั้นมันก็แค่รายการโชว์ที่คนที่มีฝีมือจริงๆไม่ได้สนใจจะร่วมก็เท่านั้น”
“เขาทำอย่างกับคนอื่นเป็นคนโง่จริงๆ ฉันอยากรู้จริงๆว่าใครจะเป็นคนโง่ที่หลงเข้าไปกิน แต่ฉันว่าคงไม่มีใครหรอก”

จากข้อความเหล่านี้ก็พอจะบอกได้ว่าแม้แต่ภัตตาคารอาหารที่มีชื่อเสียงนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่ร้านที่มีอาหารราคาเกินหนึ่งแสนหยวน
ถึงแม้ว่าจะมีบางร้านที่ราคาขั้นต่ำอยู่ที่พันหยวนก็ถือว่าแพงมากแล้ว แต่นี่ราคาขั้นต่ำที่หนึ่งแสนหยวนนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
พวกเขาในตอนนี้ต่างก็รอที่จะได้เห็นซูจิ้งกลายเป็นตัวตลกของสาธารณชนกันถ้วนหน้า

ในตอนที่ตระกูลหวังได้ยินข่าวนี้ ในตอนแรกพวกเขาเองก็คิดว่าได้ยินข่าวมาผิดๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นมอบภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี้ให้กับซูจิ้งจัดการในตอนที่กิจการมีปัญหา แต่ในตอนนี้พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในเรื่อง
“เริ่มที่หนึ่งแสนหยวน เขาบ้าไปแล้วรึไง” หวังหยิงหมิงพูดออกมา
“ต่อให้เขานั้นมีทักษะการทำอาหารดีก็จริง แต่ฉันกลัวว่าราคาหนึ่งแสนหยวนนี่น่าจะไม่มีใครรับได้นะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่หากเราคิดถึงตอนที่เขาเปิดพื้นที่พิเศษในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นเป็นตัวอย่างล่ะก็ เรื่องนี้เรายังสรุปผลกันไม่ได้หรอกนะ” หวังซิวหลันพูดออกมา

“แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันต่างกันมากเลยนะ หากว่าคนป่วยนั้นยังไงก็ต้องรักษา ไม่ว่าจะต้องเสียเงินมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่นี่มันคืออาหาร หากไม่กินอาหารที่เขาทำก็ไม่กินที่อื่นก็ได้” หวังหยิงหมิงพูดออกมา
ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็เพราะว่าร้านอาหารตระกูลหวังนั้นโดยปกติแล้วจะได้กำไรมาจากการทำอาหารงานเลี้ยงต่างๆเป็นหลัก หากว่ามีอาหารจานราคาแพงแบบนี้ออกมาล่ะก็ ไม่ต่างอะไรเลยกับการฆ่าตัวตาย

หวังหยานที่ได้ยินดังนั้นเองถึงแม้จะคิดแบบเดียวกันแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เธอคิดเหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นที่ทำแบบนี้เพราะว่าอยากจะทำแบบคลีนิกพิเศษที่เขาเปิดที่โรงพยาบาลกังเฟิงแน่ๆ
แต่เธอก็คิดเหมือนกันว่าเขานั้นแยกความต่างของปัจจัยความสำเร็จของเรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่ออกรึไงกัน หรือเป็นไปได้ว่าเขานั้นรู้ดีแต่ก็ยังมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จไม่ต่างกัน

หากแค่มองการตัดสินใจของเขาอย่างผิวเผินนั้น การกระทำของเขาล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากขุดหลุมศพของตัวเองไว้เตรียมฝังตัวเองแทบทั้งสิ้น
แต่เธอเองก็ยังไม่กล้าจะด่วนสรุปแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าทุกเรื่องที่ซูจิ้งนั้นไม่สามารถตัดสินความสำเร็จได้โดยใช้เวลาอันสั้น หรือใช้ความคิดทั่วๆไปตัดสินได้
“หัวหน้า แน่ใจว่าเมนูนี้ที่หัวหน้าเขียนไว้ถูกแล้วน่ะ” พ่อครัววัยกลางคนที่ชื่อเหมาเว่ยเซียนที่ถือเมนูบนมืออยู่นั้น ทันทีที่เห็นชื่อเมนูแล้วมือไม้สั่นไปหมด

ตอนนี้โลกภายนอกต่างก็ตกใจเรื่องราคาที่สูงล้ำกว่าหนึ่งแสนหยวน แต่หากพวกเขาเห็นเมนูนี่คงจะเผาร้านนี้ทิ้งเป็นแน่
“ไม่มีอะไรผิดพลาดน่า….” ซูจิ้งพูดออกมา
“แต่ราคามัน….” พ่อครัวอีกคนหนึ่งพูดออกมา
“เรื่องนั่นช่างมันเถอะน่า นายก็จัดการส่วนของนายก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาโดยเขานั้นจะรับผิดชอบเฉพาะพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเท่านั้น ส่วนชั้นล่างและชั้นสองนั้นก็ยังคงเปิดให้บริการแบบปกติอยู่อย่างเดิม
“ได้ครับ” ถึงแม้พนักงานที่นี่ทุกคนต่างก็ห่วงเรื่องชื่อเสียงของภัตตาคารจากการกระทำของซูจิ้งก็จริง แต่ยังไงซะพวกเขาเองก็ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดการที่นี่จึงทำอะไรไม่ได้
อีกอย่างไม่เพียงซูจิ้งจะเป็นหัวหน้าของพวกเขาแล้ว เขายังเป็นเทพเจ้าโรงครัวที่พวกเขานั้นไม่อาจเทียบฝีมือได้จึงไม่สิทธิ์เสียงจะคัดค้านได้เลย

เวลาสิบโมงเช้า ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ ก็ได้เปิดทำการตามปกติ และดั่งเช่นเคย ที่นี่มีลูกค้าในชั้นหนึ่งและชั้นสองเต็มอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้จะมีค่าอาหารที่สูงเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ด้วยรสชาติที่เหนือล้ำกว่านี่ก็ทำให้ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ค่อนข้างเป็นวันพิเศษสำหรับที่นี่ นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นวันแรกที่ซูจิ้งทำการเปิดพื้นที่พิเศษภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์
พวกเขาไม่ได้มาเพื่อที่จะกินแต่อย่างใด พวกเขามาเพียงเพื่อจะดูว่าใครหน้าไหนกันจะกล้ามากินอาหารที่ราคาแพงเทียมฟ้าขนาดนั้นได้
แน่นอนว่าในหมู่พวกเขานั้นมีนักข่าวซ่อนตัวอยู่ด้วย นั่นก็เพราะว่าด้วยชื่อเสียงของซูจิ้งในตอนนี้จึงเหมาะที่จะทำข่าวได้อย่างสบาย

“เฮ้ นายได้ยินรึเปล่าว่าชั้นสามของที่นี่เปิดเป็นพื้นที่พิเศษน่ะ”
“อื้มๆ ได้ยินอยู่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นพื้นที่พิเศษที่จะมีซูจิ้งเป็นพ่อครัวด้วยตัวเองเลยนะ เอาจริงๆฉันเองก็อยากจะลองดูนะแต่ราคาอาหารชั้นบนนี่ช่างแพงซะเหลือเกิน”
“ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนนี่คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะนะที่จะขึ้นไปกิน เอาจริงๆฉันว่าไม่น่าจะมีใครขึ้นไปกินนะ”
ในตอนนั้นเองก็ได้มีรถบีเอ็มดับบิวและออดี้เข้ามาจอดที่หน้าภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ และได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาดูดีคนหนึ่ง และสาวน้อยคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถ

พวกเขาก็คือถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยู หลังจากทั้งสามได้เข้ามายังภัตตาคารแห่งนี้ ทั้งหมดก็ได้ขึ้นไปยังชั้นสามในทันที ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็อึ้งกันไปเล็กน้อย พลางนึกขึ้นมาว่ามีคนมาจริงๆด้วยแหะ
หลังจากนั้นก็ได้มีปอร์เช่คันหนึ่งมาจอดที่ลานจอดรถแล้วชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็ได้ก้าวออกมา หลายๆคนต่างก็จำเขาได้

นั่นก็เพราะเขานั้นเป็นคนที่เข้าไปรับการรักษาจากซูจิ้งเพื่อเพิ่มความสูงที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและเช่นเดียวกันเขาตรงขึ้นไปที่ชั้นสาม
อีกสามนาทีต่อมา รถปอร์เช่อีกคันหนึ่งก็ได้เข้ามาจอด คราวนี้เป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่ก้าวออกมาและตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
ความจริงสองคนนี้ก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักเท่าไหร่นัก แต่ทั้งคู่นั้นเป็นลูกของผู้ป่วยที่มีอาการALSที่ซูจิ้งได้ช่วยเหลือเอาไว้

ในทำนองเดียวกัน เราคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งต่างก็เริ่มทยอยมาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นหวังจ้าว หวังซือหยา เฉียนชูเฟิง จ้าวจือ โจวเทียนรุย ผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสซี่ และคนอื่นๆที่มาถึงก็ตรงขึ้นไปชั้นสามเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้มีกลุ่มหนุ่มสาวนำมาโดยชายหนุ่มดูดีใส่แว่น อีกคนหนึ่งแต่งชุดสไตล์แฟชั่น และอีกคนหนึ่งเจาะหู ส่วนคนอื่นๆนั้นต้องกายปกติ และพวกเขาเองก็ได้ตรงขึ้นไปยังชั้นสาม

“นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่รึเปล่า ฉันคิดว่าจะไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นสามแล้วซะอีก นึกถึงเลยว่าจะมีคนขึ้นไปมากมายขนาดนี้ นี่เงินหนึ่งแสนหยวนนี่ไม่ได้มีค่าอะไรเลยรึไงกัน”
“นี่นายไม่ได้สังเกตุเลยรึไงว่าคนพวกนั้นเป็นเพื่อนไม่ก็เกี่ยวข้องกับซูจิ้งทั้งนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าซูจิ้งจะทำอะไรคนพวกนี้ก็ต้องสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม”
“เข้าใจล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”
“เหอะ เนี่ยนะลูกค้า หมอนี่ก็ทำได้แค่เท่านี้แหล่ะว้า… คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้ทุกคนได้เห็นเองว่าพื้นที่พิเศษอะไรนี่มันก็ไม่ต่างจากเรื่องหลอกลวงทั้งเพ”

นักข่าวที่แฝงตัวอยู่ได้แอบถ่ายภาพไว้ก่อนที่จะสร้างหัวข้อข่าวขึ้นและได้ใส่ไฟข่าวนี้อย่างไม่ยั้งมือ เนื้อหานั้นก็ประมาณว่าบังคับเพื่อนหรือไม่ก็คนไข้มาสร้างภาพหลอกประชาชนไปวันๆ
การเขียนข่าวแนวนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มเล็กๆ พวกเขานั้นไม่ได้สนใจความจริงแต่มักเขียนตามสิ่งที่เห็นและใส่สีตีไข่ให้น่าสนใจเท่านั้นก็พอ

คนพวกนี้จะเป็นคนคอยจูงจมูกให้ชาวเน็ตให้คิดแบบเดียวกับเขา หรือไม่ก็สร้างหัวข้อที่มันดูอ่อนไหวจนเกือบๆผิดกฎหมายเพื่อเชิญชวนให้ชาวเน็ตกฎเข้าไปดูทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย มันเหมือนกับการสร้างข่าวที่ว่าฟ้ากำลังถล่มทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ฟ้าคำรามธรรมดา
“เขาคิดว่าเราโง่รึไงกัน เพียงแค่หาคนที่มีสัมพันธ์อันดีมาแค่ไม่กี่คนมาก็คิดว่าเราจะเชื่อเขาแล้วเหรอ”

“ซูจิ้งจะทำเรื่องน่าไม่อายเกินไปแล้ว เขานั้นอยากจะทำให้ภัตตาคารของตัวเองสำเร็จเหมือนกับที่ทำแบบเดียวกับโรงพยาบาลกังเฟิง
แต่ดันไม่คิดไม่ออกเลยรึไงว่าที่พวกเขานั้นยอมจ่ายเงินที่โรงพยาบาลนั่นเป็นเพราะพวกเขานั้นจะเป็นที่จะต้องจ่าย เขาไม่คิดเลยรึไงว่าไม่มีใครยินดีที่จะจ่ายเงินแพงๆกับการกินอย่างแน่นอน ฉันเองก็นึกว่าเขานั้นจะมีไม้เด็ดอะไรซะอีก ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้เพียงแค่ใช้คนคุ้นเคยแบบนี้ น่าผิดหวังจริงๆ”
“หึหึหึ ฉันหวังว่าหลังจากเรื่องในครั้งนี้จะทำให้เขานั้นลดความอวดดีได้ซักทีนะ”
“นี่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ล่ะนะ ตัวอย่างเช่นดาราบางคนที่กำลังดังแล้วก็ทำทุกวิธีทางในการหาเงินโดยไม่สนใจว่าเรื่องพวกนั้นมันจะจริงหรือเหมาะสมหรือเปล่า
คนที่หน้ามืดตามัวนั้นมันไม่สนใจเรื่องพวกนี้กันหรอกน่า กว่าจะรู้ตัวก็เกิดหายนะจนชื่อเสียงหดหายหรือไม่ก็โดนขับไล่ออกจากวงการ
ถึงแม้จะมีบางคนที่พออยู่ได้แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีทางแม้แต่ทางเดินด้วยซ้ำ”
“โอ้….เป็นการยกตัวอย่างที่ดีจริงๆ”

ผู้คนในตอนนี้ต่างก็คุยกันเรื่องนี้อย่างสนุกปากราวกับว่าพวกเขานั้นเห็นปลายทางของซูจิ้งได้แล้วว่าจะล้มเหลวจนไม่มีทางยืนอยู่ในสังคมได้อย่างแน่นอน บางคนถึงกับได้สั่งสอนซูจิ้งเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว