ตอนที่ 1360 โน้มน้าว (2) โดย Ink Stone_Fantasy
ในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนต่างสบตากันด้วยสีหน้าสับสน ยกเว้นแต่เพียงเฟยอวี่หานเท่านั้น นี่ทำให้โรแลนด์แอบรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนในตอนที่เขาไม่รู้ตัว อีกฝ่ายคงรู้เรื่องโลกอีกโลกหนึ่งและความเป็นมาของเขามาบ้างแล้ว
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ร็อคจึงพูดขึ้นมาอย่างคร่ำเคร่งว่า “โลกแห่งความฝัน…หมายความว่ามันสามารถหายไปได้ทุกเมื่อเหมือนความฝันอย่างนั้นเหรอ?”
“เปล่า มันเป็นแค่คำเรียกที่ผมเรียกอยู่บ่อยๆ เท่านั้น เพราะว่าผมจะเข้ามาที่โลกนี้ได้เฉพาะตอนที่ผมนอนหลับ” โรแลนด์ตอบอย่างสบายๆ “ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนกับความฝัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้เจอในโลกนี้ได้เปลี่ยนแปลงความคิดของผม พวกคุณเองจะเรียกโลกที่ผมอยู่ว่าโลกแห่งความฝัน แล้วเรียกที่นี่ว่าโลกแห่งความจริงก็ได้ ผมเชื่อว่าในตอนที่ความรู้เกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ของทั้งสองโลกพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง การเชื่อมต่อของทั้งสองโลกก็จะก้าวขึ้นไปอีกระดับ”
หางตาของเขามองเห็นเฟยอวี่หานกำลังยิ้มมุมปาก
ถึงแม้จะไม่พูดอธิบายต่อ แต่คนที่อยู่ที่นี่ก็สามารถเข้าใจความหมายของเขาได้
นั่นคือสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองโลกจะหายไป
ผู้คนจะสามารถข้ามไปมาระหว่างทั้งสองที่ได้
“นั่นมันก็ต้องรอให้กลายเป็นจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชายอาวุโสคนหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นมา “ปัญหาตอนนี้ก็คือพวกเรายังไม่มีวิธีพิสูจน์คำพูดของคุณได้ เรื่องที่คุณพูดมามันน่าเหลือเชื่อเกินไป ขอโทษด้วยที่ผมไม่อาจเชื่อได้จริงๆ!”
“คุณโรแลนด์ ผมไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าคุณนะ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่คุณได้มาล้วนแต่มาจากเทวทูตที่ทรยศ ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกมันมีอะไรแอบซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า?” มีคนรีบพูดสำทับต่อขึ้นมาทันที “แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าคืออะไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับปิดบังข้อมูลตรงนี้เอาไว้เพราะกลัวพระเจ้าจะรู้เรื่อง นี่มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดมันคือพลังของพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อมันสามารถทำลายโลกนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ลงมือซักที? ไม่แน่หากพวกเราทำอะไรผลีผลามไป มันอาจจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้มันทำลายโลกจริงๆ ก็ได้”
ทันทีที่มีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คำถามต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาราวกับหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก
“แต่ผมกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้เลย จากคำพูดของเทวทูต ถ้าหากเราไม่ทำอะไร โลกก็จะพังทลายลง แต่ถ้าเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าแล้วสู้แพ้ โลกของเราก็จะถูกทำลายอยู่ดี เช่นนั้นปัญหามันก็ออกมาแล้ว คุณโรแลนด์ คุณคิดว่าตัวคุณมีโอกาสที่จะเอาชนะพระเจ้าเหรอ?”
“คำพูดของเทวทูตจะเชื่อถือได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ผมว่านะ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่นักล่าคนนี้แต่งขึ้นมาเพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการยกสถานะของตัวเองก็ได้? แน่นอน พวกยุคเก่าเองก็น่าสงสัยเหมือนกัน”
“คุณว่าอะไร? อย่าลืมสิว่าฝ่ายที่สนับสนุนเขามากที่สุดคือดาราที่เป็นฝ่ายยุคใหม่ของพวกคุณนะ!”
ห้องประชุมที่ตอนแรกยังปรึกษาหารือกันเริ่มค่อยๆ กลายเป็นสนามรบ โรแลนด์เองก็ไม่พูดแทรกอะไร หากแต่ยกแก้วชาขึ้นมาแล้วนั่งพิงไปบนเก้าอี้ พร้อมกับมองดูทุกคนถกเถียงกันอย่างเงียบๆ
เขาคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องมีเหตุการณ์แบบนี้
กลับกันถ้าเป็นตัวเขาได้ยินเรื่องแบบนี้ การตอบสนองของเขาก็คงไม่ดีไปกว่าคนเหล่านี้เท่าไร ซึ่งข้อสงสัยของคนเหล่านี้เขาเองก็เคยคิดเอาไว้แล้ว อย่างเช่นการที่เทวทูตที่ทรยศให้เบาะแสมาเพียงนิดหน่อย แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามออกมาตรงๆ มันน่าเชื่อถือแค่ไหน แล้วก็หลังเจอพระเจ้าแล้ว เขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง คำถามเหล่านี้โรแลนด์ไม่เพียงแต่จะตอบไม่ได้ ต่อให้ไปถึงตอนนั้นแล้ว เกรงว่าเขาก็ยังไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจปิดบังเรื่องที่ว่ามิสต์คือเทวทูตที่ทรยศเอาไว้
แบบนี้ตอนที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมทะเลาะกัน พวกเขาจะได้ไม่โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่อาจารย์ของการ์เซีย
ส่วนสุดท้ายผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เขาไม่ได้หวังอะไรเอาไว้มากนัก
คนที่มีความมุ่งมั่น พอตัดสินใจแล้วก็จะพุ่งไปข้างหน้าเหมือนอย่างเฟยอวี่หานนั้นกลับกลายเป็นตัวประหลาด
การทำให้โลกแห่งความฝันรับรู้ได้ถึงวิกฤติที่กำลังคืบใกล้เข้ามาได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้แล้ว
โรแลนด์ดื่มชาจนหมด ในขณะที่เขากำลังจะหันหน้าไปบอกเฟยอวี่หานว่าตัวเขาจะออกไปก่อน จู่ๆ เธอกลับยกมือขวาขึ้นมา
จากนั้นแสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุง่ออกมาจากปลายนิ้วของเธอ
“เฮ้ย…”
โรแลนด์อยากจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน ลำแสงผ่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าขาดเป็นสองส่วน!
แก้วชาที่อยู่บนโต๊ะถูกตัดออกเป็นสองส่วน ก่อนจะตกลงไปที่พื้น เสียงแก้วแตกดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
พริบตานั้นเอง สายตาทุกคนหันไปมองดูเธอ
“พวกคุณลืมไปแล้วเหรอว่าเจตจำนงเดิมในการตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมาคืออะไร?”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่มันกลับแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“ในช่วงเวลานับพันปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกยุทธ์รวมตัวเข้าด้วยกันโดยมีเป้าหมายร่วมกันคือต่อสู้กับการกัดกิน เพื่อปกป้องไม่ให้โลกนี้ถูกฟอลเลนอีวิลกลืนกิน! ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร? มีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าฟอลเลนอีวิลปรากฏตัวขึ้นมาจากการกัดกิน เมืองปริซึมถูกทำลายลงในพริบตา ผู้คุมฟิวเรียสเฟลมถูกฆ่าตาย อาศัยแค่ผู้ตื่นรู้นั้นไม่สามารถสู้กับมันได้ ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าวิกฤติเช่นนี้ แต่พวกคุณกลับมัวแต่เถียงกันว่าโลกอีกใบหนึ่งมันน่าเชื่อถือหรือไม่ พวกคุณไม่คิดว่าน่าตลกเหรอ?”
“คุณเฟยอวี่หาน อย่าลืมสถานะของคุณ!” ชายแก่คนนั้นหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที
ร็อคเข้าไปห้ามเขาเอาไว้ ก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าเรื่องนี้มันไม่สำคัญ?”
“ถูกต้อง” เฟยอวี่หานพูดอย่างไม่ลังเล “ฉันมองเห็นแค่เรื่องเดียว — นั่นคือผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีทางเอาชนะเทวทูตได้ แต่โรแลนด์ทำได้ อย่างนั้นในเมื่อเราปกป้องโลกนี้ไม่ได้ เราก็ควรจะช่วยคนที่สามารถปกป้องโลกนี้ได้ไม่ใช่เหรอ! ทุกคนอย่าได้เข้าใจผิดไป การที่เขาอธิบายเรื่องพลังเวทมนตร์กับอีกโลกหนึ่งนั้นก็เพื่อที่จะคลายความอยากรู้อยากเห็นของพวกคุณเท่านั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะใช้มันมาเป็นข้ออ้างในการสงสัยเขาได้!”
“พูดอีกอย่างก็คือต่อให้โรแลนด์เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ขอเพียงเขาสามารถฆ่าเทวทูตที่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถกำจัดได้ เช่นนั้นสมาคมก็ควรจะให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แล้วก็ให้ความสำคัญกับเขาในระดับเดียวกับผู้ปกป้องโลก นี่ต่างหากถึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์เดิมของสมาคมเรา ไม่อย่างนั้นพวกเราจะยังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ปกป้องโลกนี้อยู่อีกเหรอ?”
“แล้วก็เป็นเพราะว่าเรายากที่จะเอาชนะพระเจ้าได้ พวกเราต้องได้ต้องการความร่วมมือกันของทั้งสองโลก การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว!”
“บางทีอาจจะยังมีคนสงสัยเรื่องที่ว่า ‘ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถสังหารเทวทูตได้’ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ฉันเองก็เข้าใจพวกคุณเหมือนกันที่จะคิดแบบนั้น เพราะคนที่อยู่ตรงนั้นในตอนนั้นมีแค่ฉันกับซีโร่ แต่ฉันก็พร้อมยินดีที่จะให้ทุกท่านได้พิสูจน์—“ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทั่วทั้งร่างของเฟยอวี่หานพลันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน แม้แต่น้ำเสียงก็เบาลงไม่น้อย “ขอเพียงพวกคุณสามารถสู้กับฉับแบบตัวต่อตัวแล้วทำให้ฉันบาดเจ็บแบบนั้นได้ ฉันก็จะถอนคำพูดที่พูดไปทั้งหมด ว่าไง?”
เธอกวาดตามองทุกคน สายต่อเธอแหลมคมเหมือนดั่งคมมีด ส่วนคนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นไม่ว่าจะเป็นอายุหรือว่าตำแหน่งก็ล้วนแต่อยู่สูงกว่าเฟยอวี่หาน แต่พวกเขากลับไม่มีใครที่จะรับคำท้าของเธอเลย
“สมแล้วที่เป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่…” ร็อคพลันหัวเราะขึ้นมา เขาปรบมือแล้วพูดว่า “ฉันไม่ควรจะไปสนใจเรื่องอื่นจนลืมไปสิ่งที่สมาคมให้ความสำคัญอยู่จริงๆ ในตอนนี้ เธอพูดถูก ไม่ว่าคุณโรแลนด์จะมาจากไหน แต่เขาก็ทำประโยชน์ให้กับสมาคมเอาไว้มาก ไม่ว่าจะในฐานะที่เป็นตัวอย่างของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ หรือว่าผลงานในการกำจัดฟอลเลนอีวิลก็ล้วนแต่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาคมอย่างมาก เพียงแค่จุดนี้ ทุกคนก็ไม่ควรจะไปตั้งแง่และมองเขาในแง่ร้าย”
ผู้คุมมองไปทางทั้งสองคน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “นับตั้งแต่ที่เมืองปริซึมถูกโจมตี ฉันก็เคยสงสัยว่ามนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการกัดกินได้หรือไม่ บางทีสถานการณ์ในตอนนี้มันอาจจะเลวร้ายกว่าที่ฉันคิด แต่อย่างน้อยทุกคนก็ยังมีเป้าหมายที่มองเห็นได้ ส่วนโลกอีกใบหนึ่ง เอาไว้พวกเรารอดพ้นจากวิกฤตินี้ไปแล้วค่อยมาสำรวจมันดูก็ได้ ทุกท่านคิดว่ายังไงบ้าง?”
“นี่…ถือเป็นวิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้เล้ว”
“ใช่ ควรจะพุ่งเป้าไปที่การเอาชนะศัตรูจากการกัดกินก่อนดีกว่า
“ฉันเห็นด้วย”
เสียงของคนที่เห็นด้วยค่อยๆ กลบเสียงของคนที่สงสัย
เพราะการกำจัดการกัดกินต่างหากถึงจะเป็นภารกิจด่วนของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ หากอยากจะล้มข้อสรุปนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือผ่านด่านเฟยอวี่หานไปให้ได้เสียก่อน
ใครก็ตามที่รู้เรื่องการลอบโจมตีบนสะพานทางด่วนว่ามีความรุนแรงขนาดไหนล้วนแต่เข้าใจว่าการก้าวออกมาในเวลานี้นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน
ต่อให้เอาชนะได้ มันก็เป็นแค่การประลองเท่านั้น
แม้แต่ชายแก่คนนั้นก็ยังหุบปากลงไปอย่างไม่เต็มใจ
เฟยอวี่หานเก็บพลังแห่งธรรมชาติแล้วนั่งลงไปเหมือนเดิม จากนั้นเธอหันมายิ้มๆ ให้โรแลนด์ “เห็นไหม ฉันทำตามที่รับปากนายเอาไว้ได้แล้ว”
โรแลนด์กุมขมับ วิธีการของมันฝ่ายมันออกจะวุ่นวายไปเสียหน่อย ถึงแม้แบบนี้มันจะทำให้เมืองปริซึมมีความเป็นที่ตรงกัน แต่มันจะทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่พอใจได้ เธอไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ในจุดนี้ แต่ดูแล้วเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจในจุดนี้แม้แต่นิดเดียว “ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย?”
“เพราะว่า…” เฟยอวี่หานมองไปยังมือที่ถูกพันแผลเอาไว้ สีหน้าดูซึมๆ “สิ่งที่ฉันทำได้ ก็มีแค่เรื่องนี้่เท่านั้น”
…………………………………………………………………….