ตอนที่ 865 ประทับรบอริยเทพ
ระหว่างทาง หลินสวินหลอมรวมแหล่งผลึกเจตะเม็ดนั้น

อย่ามองว่าของสิ่งนี้มีขนาดเท่าเล็บมือ แต่กลิ่นอายวิเศษที่บรรจุอยู่ในนั้นกลับเข้มข้นผิดธรรมดา ซ้ำยังมีพลังแปลกประหลาดวูบหนึ่งพาให้ปราณของหลินสวินถึงกับรุดหน้าเต็มกำลังไม่น้อย

หลินสวินตกใจทันควัน ผลลัพธ์ระดับนี้ช่างวิเศษเกินไปแล้ว มหัศจรรย์ยิ่งกว่ากินโอสถสมบัติหายากเสียอีก ทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อฐานมรรคของเขา

‘เรียกได้ว่าเป็นของวิเศษแห่งศุภโชคชัดๆ มีส่วนช่วยในการฝึกปราณถึงที่สุด หากได้รับมากกว่านี้ละก็ นั่นไม่ใช่ว่าจะทำให้ข้าทะลวงปราณขั้นถัดไปได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดหรอกหรือ!’

หลินสวินใจเต้นอย่างสมบูรณ์แล้วเช่นกัน

ตลอดทางหาได้สงบสุข มหันตภัยรอบด้าน ในโลกหิมะน้ำแข็งเวิ้งว้าง ไม่ทันไรก็มีนกปีศาจ สัตว์ปีศาจ อสูรวิญญาณต่างๆ นานาโผล่ออกมาบ่อยครั้ง… ต่างหลอมรวมมาจากหิมะน้ำแข็งทั้งสิ้น หาใช่สิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง

แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกลับน่ากลัวถึงขีดสุด เชี่ยวชาญวิชามรรค ฝีมือต่อสู้น่าตกใจ หากไม่ใช่เพราะจิตรับรู้ของหลินสวินแกร่งกล้าเพียงพอจนสามารถหลบเลี่ยงได้ก่อนหนึ่งก้าว ระหว่างทางมานี้ก็ไม่รู้จะเกิดการต่อสู้ขึ้นกี่ครั้ง

ถึงกระนั้นยังคงทำให้ชายหนุ่มชุดสีเข้มตกใจจนหน้าซีดเผือด ย้อนถามใจตนว่าหากไม่ได้ตามหลินสวินมา เกรงว่าเขาคงถูกคัดออกไปตั้งนานแล้ว!

“สหายยุทธ์เนี่ย เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงนั่นมีอะไรกันแน่”

หลินสวินซักถามระหว่างทาง

“นั่นคือสถานที่แห่งต้นกำเนิดผันแปรของแดนลี้ลับหิมะน้ำแข็งแห่งนี้ ทุกครั้งที่เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น บนเขาน้ำแข็งจะมีดอกบัวเพลิงเบ่งบานดอกแล้วดอกเล่า งดงามราวกับเปลวเพลิง”

“นี่ไม่ใช่ดอกบัวเพลิงธรรมดา แต่เป็นโอสถวิญญาณเจตะที่ผสมผสานกับวิชาเร้นลับ หากสามารถคว้ามาได้หนึ่งต้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับมรดกวิชามรรคส่วนหนึ่ง!”

ชายหนุ่มชุดเข้มมีนามว่าเนี่ยอี้อัน เป็นผู้สืบทอดจาก ‘สำนักยุทธ์ผสานคราม’ สำนักเก่าแก่ในแดนฐิติประจิม

“โอสถวิญญาณเจตะ?”

หลินสวินหวั่นไหว

“แต่สถานที่แห่งนั้นอันตรายมาก อีกอย่างคิดจะเก็บดอกบัวเพลิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสบางส่วนในสำนักยุทธ์ผสานครามของข้า เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงแห่งนั้นมีที่มาน่าตกใจถึงที่สุด…”

เนี่ยอี้อันเล่าทุกอย่างที่รู้

……

สองชั่วยามให้หลัง

ตูม!

ในสายลมหิมะเวิ้งว้าง เจตจำนงรบอันน่าสะพรึงกร้าวแกร่งสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา ท่วมท้นเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน เก่าแก่และพร่างพราว สะเทือนจักรวาล

นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ทั่วร่างเกร็งแน่นในทันใด เจตจำนงรบแกร่งกล้านัก!

“นี่คือกลิ่นอายของ ‘รอยประทับรบอริยเทพ’! พวกเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว!”

เนี่ยอี้อันส่งเสียงร้องอย่างดีใจ

ถึงเขาจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย แต่ก็เพิ่งเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเป็นครั้งแรก ยังไม่พบเจอกับตัวเองมาก่อน

รอยประทับรบอริยเทพ!

หลินสวินเพิ่งได้เข้าใจก็ตอนนี้ ตลอดทางเขาได้ยินเนี่ยอี้อันบอกว่า ตามข่าวลือบนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงมีรอยประทับรบสายหนึ่ง เป็นสิ่งที่อริยเทพมากสามารถผู้หนึ่งทิ้งไว้ตั้งแต่บรรพกาล ผ่านการกัดกร่อนแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่ไม่เคยหายไป!

เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่เวลานี้ตอนที่รู้สึกถึงเจตจำนงรบกร้าวแกร่งสายหนึ่งกลางลมหิมะนั่น เขาก็อดสะท้านสะเทือนไม่ได้

ประทับรบอริยเทพสายหนึ่ง ผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ แต่กลับคงอยู่ยาวนาน นี่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!

ทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการ ว่าต้องมีปราณน่าสะพรึงเพียงใดจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้

มุ่งหน้าต่อไป เจตจำนงรบที่ท่วมท้นฟ้าดินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เก่าแก่และดุดัน เจือกลิ่นอายโชกโชน ประดุจดาบไร้เทียมทานพาดข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา ส่องแสงพริบไหว ไม่เคยเน่าเปื่อย

ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็นำมาซึ่งอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเคลื่อนไหวของพวกหลินสวินสองคน ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไป แรงกดดันที่ร่างกายได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ยังดีที่ไม่นานนักพวกเขาก็มองเห็นเขาน้ำแข็งสีขาวหิมะซึ่งตั้งตระหง่านขึ้นฟ้า ปรากฏตัวกลางฟ้าดินอันเวิ้งว้าง

มันสูงตระหง่านถึงที่สุด ตลอดภูเขาเป็นสีขาวผ่องราวกับก่อขึ้นมาจากหินหยก ส่องแสงประกาย ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งเต็มฟ้า ปลดปล่อยความหนาวเหน็บบาดกระดูกออกมา

เจตจำนงรบอันเก่าแก่และน่าสะพรึงสายนั้นก็แผ่กว้างออกมาจากยอดเขาแห่งนี้

ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือหลังจากมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจตจำนงรบกลางห้วงอากาศกลับเปลี่ยนไปเป็นคล้ายมีแต่ไม่มี ปราศจากอานุภาพกดดันอย่างก่อนหน้า เสมือนถูกเก็บรวบไว้อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับพาให้พวกหลินสวินมาถึงเชิงเขาได้อย่างราบรื่นยิ่ง

นี่ก็คือเขาน้ำแข็งปทุมเพลิง!

หลินสวินเงยหน้าแหงนมองก็เห็นหิมะน้ำแข็งราวกับหยก หินผาหนาวเยือก สภาพภูเขาคล้ายเสากระโดงเสียดฟ้าที่งอกออกมาจากพื้นดิน สูงลิ่วไกลลิบ

“หืม? มีคนมาอีกแล้ว?”

ใกล้ๆ กับเชิงเขามีบรรดาผู้กล้ารุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยมาถึงก่อนแล้ว กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างกันไป เมื่อเห็นหลินสวินและเนี่ยอี้อัน ต่างฉายแววตื่นตัวออกมาไม่มากก็น้อย

“กฎแห่งการปรากฏตัวของปทุมเพลิงเอาแน่เอานอนไม่ได้ และมีจำนวนน้อยนิด ยิ่งมีคนมามาก การแข่งขันก็ยิ่งมีมากขึ้น”

มีคนเอ่ยเสียงขรึม

“น่าเสียดาย บนเขาน้ำแข็งแห่งนี้แน่นขนัดไปด้วยกลิ่นอายประทับรบอริยเทพ ยิ่งขึ้นสูงแรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้น ใช่ว่าพวกเราจะปีนขึ้นไปได้”

และก็มีบางคนถอนใจเบาๆ

หลินสวินสังเกตเห็นว่าบริเวณต่างๆ ตั้งแต่เชิงเขาถึงยอดเขา ถึงกับมีเงาร่างไม่น้อยยืนปักหลัก กำลังรอคอยอะไรอยู่

แต่ผู้ฝึกปราณที่เชิงเขามีมากที่สุด ยิ่งสูงขึ้นไปจำนวนผู้ฝึกปราณก็ยิ่งน้อย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ลดน้อยลง

‘สหายยุทธ์หลิน ภูเขานี้ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของประทับรบอริยเทพ ยิ่งรุดหน้าขึ้นไปแรงกดดันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ที่สอดคล้องกันคือ คุณภาพของดอกบัวเพลิงที่ได้กลับมาก็ยิ่งสูงขึ้น’

‘อย่างส่วนล่างเขาน้ำแข็งนี่จะได้รับแต่บัวเพลิงสองกลีบ สูงขึ้นไปอีกหน่อยก็จะได้รีบบัวเพลิงสามกลีบ สี่กลีบ ห้ากลีบ หกกลีบตามลำดับ’

‘ยิ่งคุณภาพสูงเท่าไร ก็หมายความว่าวิชามรรคที่ประทับในดอกบัวเพลิงก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น’

เนี่ยอี้อันที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตอธิบาย

หลินสวินพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

เขาทอดตาสำรวจกลับพบว่าบนเขาน้ำแข็งแห่งนี้เปลือยเปล่าทั้งแถบ ไม่เห็นดอกบัวเพลิงสักดอก จึงอดแปลกใจน้อยๆ ไม่ได้

เนี่ยอี้อันกล่าวว่า “ต้องรอคอย การปรากฏตัวของบัวเพลิงแต่ละดอกล้วนไม่มีกำหนดตายตัว มันอาจปรากฏบนยอดเขากลายเป็นดอกบัวเพลิงคุณภาพเยี่ยมเจ็ดกลีบดอกหนึ่ง หรืออาจปรากฏบนเชิงเขากลายเป็นบัวเพลิงสองกลีบธรรมดาดอกหนึ่งก็ได้ อยู่ที่ว่าใครจะคว้าไปได้”

หลินสวินเห็นแสงธรรมก็คราวนี้

“แต่ว่าความน่าจะเป็นที่บัวเพลิงจะปรากฏบนเชิงเขามีสูงกว่า แต่ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณภาพธรรมดา แต่ละแวกยอดเขานั่น โอกาสที่บัวเพลิงจะปรากฏแม้ว่ามีน้อย แต่ขอเพียงปรากฏ จะต้องเป็นบัวเพลิงชั้นสูงหกกลีบขึ้นไปอย่างแน่นอน”

“ดูท่า ที่นี่จะมีการแข่งขันมากไปหน่อย”

เนี่ยอี้อันยิ้มขื่นกล่าวว่า “ความมั่งคั่งมาพร้อมการเสี่ยงภัย นับประสาอะไรกับดินแดนแห่งวาสนาเช่นนี้ ย่อมเต็มไปด้วยการแข่งขันเป็นธรรมดา”

ตูม!

เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นการต่อสู้ปะทุโครมครามบริเวณกลางเขา ผู้กล้ากลุ่มหนึ่งเริ่มลงมือช่วงชิงดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งที่เพิ่งโผล่ออกมา!

การต่อสู้ดุเดือดยิ่ง แสงดาบเงากระบี่เรืองรองศักดิ์สิทธิ์พาดผ่านห้วงอากาศ พาให้เมฆลมแปรปรวน

หลินสวินสังเกตเห็นว่านั่นคือบัวเพลิงห้ากลีบดอกหนึ่ง ฐานดอกมีขนาดเท่าปากชาม ก้านบัวและกลีบใบเขียวมรกตราวกับหยก ตัวดอกบัวประหนึ่งเปลวเพลิงลุกโชน สว่างจ้าพร่างพราว มหัศจรรย์หาใดเปรียบ

ท้ายที่สุดบัวเพลิงดอกนี้ก็ถูกชายชุดทองคนหนึ่งคว้าไป แต่ขณะที่ศึกนี้ปิดฉาก ผู้กล้าสามคนที่พ่ายแพ้ในการแข่งขันถูกคุกคามถึงชีวิต จึงถูกย้ายตัวคัดออกไปโดยตรง!

“การแข่งขันดุเดือดจริงๆ ด้วย…” นัยน์ตาสีดำของหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ

“เจ้าจะขึ้นไปหรือไม่” หลินสวินตั้งท่าจะเคลื่อนไหว

“ช่างเถิด ข้ารออยู่ด้านล่างแถวนี้ก็พอ” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเนี่ยอี้อันก็ถอนใจเบาๆ หนึ่งครา เลือกจะรออยู่แถวนี้

เขารู้ตัวดี อีกอย่างในการต่อสู้กับอสรพิษเหินเพลิงก่อนหน้ายังได้รับบาดเจ็บมาด้วย ไหนเลยจะกล้าไปแย่งชิงศุภโชคบนเขาน้ำแข็งนี่อีก

หลินสวินพยักหน้า แล้วยกเท้าเดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขาน้ำแข็งเพียงลำพัง

“จริงสิ ประทับรบอริยเทพที่ปกคลุมบนเขาน้ำแข็งนั่น ส่งผลวิเศษอันน่าเหลือเชื่อต่อการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์” เสียงเนี่ยอี้อันดังไล่หลัง

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาเอ่ยเตือนแม้แต่น้อย เมื่อเริ่มปีนเขาหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงรอยประทับรบเก่าแก่น่าหวาดกลัวสายหนึ่งกดดันเข้ามา

เจตจำนงรบนี้กว้างใหญ่ไพศาล เวิ้งว้างดั่งสมุทร น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด

ยิ่งอยู่สูงขึ้นมาแรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้น พาให้ผู้คนเดินเหินลำบากราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ปีนขึ้นมา ร่างกายและวิญญาณล้วนมีสัญญาณใกล้จะถูกกำราบอย่างหนึ่ง

หลินสวินไม่อาจไม่ขับเคลื่อนปราณต้านกับมัน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างพวยพุ่ง เลือดลมพลุ่งพล่านกว่าจะสลายแรงกดดันไปได้ไม่น้อย

แต่ขอเพียงเดินไปข้างหน้า พลังกดดันก็จะทบทวี พาให้หลินสวินไม่อาจไม่สำแดงพลังแท้จริงออกมาทีละก้าว

ในกระบวนการนี้ หลินสวินรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งและน่าสะพรึงของ ‘ประทับรบอริยเทพ’ สายนี้ พาให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อชัดๆ ว่านี่เป็นรอยประทับรบสายหนึ่งที่ประทับมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ช่างสะท้านโลกเกินไปจริงๆ

แต่เป็นอย่างที่เนี่ยอี้อันบอก ภายใต้ความกดดันของเจตจำนงรบสายนี้ เป็นประโยชน์ต่อการเคียวกรำวิถียุทธ์อย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

เจตจำนงรบนั้นบริสุทธิ์ ทั้งยังเก่าแก่ไพศาลดั่งไร้ขอบเขต เมื่อสังเกตและหยั่งรู้โดยละเอียด จะสามารถหยั่งถึงปริศนามากมาย

“หืม? เจ้าหมอนั่นเป็นใคร ถึงกับก้าวสู่ตำแหน่งกลางเขาแล้ว นั่นเป็นสถานที่ที่มีแต่เหล่าผู้กล้าแนวหน้าจึงจะเข้าไปได้เชียว”

ผู้ฝึกปราณบางส่วนสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของหลินสวิน ต่างพากันตกใจไม่หยุด

เพียงแต่ใบหน้าหลินสวินแปลกตายิ่ง พาให้พวกเขาไม่อาจระบุตัวตนและที่มาได้

“มีคู่แข่งร้ายกาจเพิ่มมาอีกคนแล้ว”

เหล่าผู้กล้าที่อยู่ตำแหน่งกลางเขาต่างเฝ้าระวังขึ้นมา ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ พวกเขารู้ดี ผู้ที่สามารถมาถึงบริเวณนี้ได้ไม่มีคนทั่วไปสักคน

“ไอ้หนู เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว ทางที่ดีเชื่อฟังสักหน่อย รอพวกเราคว้าดอกบัวเพลิงได้ทุกคนค่อยถึงตาเจ้า หากเจ้ากล้าบุ่มบ่าม ข้าเชื่อว่าสหายยุทธ์ทั้งหลายในที่แห่งนี้คงไม่ยินยอมแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างเย็นชาและข่มขู่

คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า สายตาเย็นเยียบ เต็มไปด้วยบรรยากาศข่มขู่และกล่าวเตือน

“ไอ้พวกงั่ง” ที่เชิงเขา เนี่ยอี้อันหัวเราะร่วน ถึงกับกล้าข่มขู่เทพมารหลิน ไม่กลัวเขาจะระเบิดอานุภาพดุร้าย ฉีกพวกเจ้าทั้งเป็นหรือไร

หลินสวินก็อึ้งงันไปเล็กน้อยเช่นกัน ปรายตามองเจ้าพวกนี้ปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แข่งกับพวกเจ้าหรอก”

บรรดาผู้กล้าเหล่านี้ต่างโล่งใจไม่เบา สายตาที่มองไปทางหลินสวินก็เจือแววเหยียดหยามเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคิดว่าหลินสวินยอมศิโรราบแล้ว

แต่ครู่ต่อมา พวกเขาก็อึ้งงันอยู่ตรงนั้น

ภายใต้ยตาพวกเขา หลังจากหลินสวินมาถึงตำแหน่งกลางเขาแล้วถึงกับเริ่มปีนขึ้นไปข้างบนต่อ!

สิ่งนี้พาให้พวกเขาเบิกตาโพลงทันใด รู้สึกตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง

ตลอดทางหลินสวินเอาสองมือไพล่หลัง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์โบกสะบัดกลางลมดังพรึ่บ ถึงแม้จะก้าวไม่เร็ว แต่เป็นต่อที่ความมั่นคง ก้าวขึ้นไปราวกับเดินทอดน่องในลานเงียบสงบ

บรรดาผู้กล้าที่อยู่กลางเขาเหล่านั้นต่างงงเป็นไก่ตาแตก สีหน้าไหววูบไม่นิ่ง เมื่อนึกถึงคำเตือนและการข่มขู่ที่พวกเขาเพิ่งทำไปเมื่อครู่ ใบหน้าก็ถูกเหมือนถูกตบเข้าบ้องหูอย่างไร้รูปหนหนึ่ง รู้สึกอึดอัดร้อนวูบวาบ

ขณะเดียวกันในใจพวกเขาก็หวาดหวั่นน้อยๆ ก่อนหน้านี้หากยั่วยุจนเจ้าหมอนั่นลงมือ ผลที่ตามมาต้องยากจินตนาการแน่!

อย่างไรเสียเจ้าคนที่สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปหาเรื่องได้แม้แต่น้อย!