แม้ว่าจะถึงขั้นนี้แล้ว แม่เล้าก็ยังคงกัดฟัน ไม่ปริปากแต่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย แสงสว่างสาดผ่านไป เสียงกรีดร้องของแม่เล้าดังขึ้น นิ้วมือนิ้วหนึ่งร่วงหล่นลงที่พื้น
นับตั้งแต่มาอยู่ที่หมู่บ้านชิงหยางมาเป็นแม่เล้าของชิงเฟิงโหลว นางกินอยู่สุขสบาย อยากได้อะไรก็ได้สมใจ มีแต่คนนับหน้าถือตาจนเคยชิน ไม่เคยได้รับการปฏิบัติไม่ดีจากใคร บัดนี้ถูกตัดนิ้วออกไปครึ่งหนึ่ง ความเจ็บปวดแผ่กระจายเข้ามา แม่เล้าเริ่มมีความคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว แต่น่าเสียดาย นางไม่รู้ว่าต่อให้นางอยากตายตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวงดงามมากภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ร่างของนางกลับเต็มไปด้วยความอำมหิต แม้กระทั่งชายฉกรรจ์ที่ถูกองครักษ์จัดการได้ ก็ยังคงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไร คิดดีแล้วหรือยัง จะพูดหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปกดร่างที่เจ็บปวดทุรนทุรายของแม่เล้า จ้องนางและถามด้วยรอยยิ้ม
แม่เล้าเจ็บเสียจนเหงื่อผุดเต็มตัว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับกัดฟันพูดว่า “มีปัญญาเจ้าก็ฆ่าข้าเลยสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมโบกมือ “ข้าไม่มีปัญญา ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ว่าข้าสามารถถอดอวัยวะบนร่างของเจ้าออกมาทีละชิ้นได้ และยังไม่ให้เจ้าตาย อย่างไร จะลองดูหรือไม่”
แม่เล้าตกใจ ร่างกายสั่นเทา หายใจหอพร้อมถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นคนของผู้ใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทนาง “เกี่ยวอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าลูกสาวของข้าอยู่ที่ใดก็เท่านั้น เรื่องอื่นข้าไม่สน”
ปากของแม่เล้าขยับ มองนางอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดโลกนี้จึงมีหญิงเช่นนี้อยู่ ครู่ใหญ่จึงได้พูดออกมาว่า “ที่นี่เป็นหอกามชาย ไม่มีลูกสาวของเจ้า”
“อย่างนั้นเด็กหนุ่มที่มาจากโรงเตี๊ยมไปอยู่ที่ใดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างบีบบังคับ
แม่เล้ากัดฟัน ไม่พูด
แสงสว่างสาดผ่านไปอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของแม่เล้าดังขึ้นทำลายความเงียบอีกครั้ง ทำเอาคนที่ได้ยินตัวสั่นไปตามๆ กัน
แม่เล้าเจ็บเสียจนจะเป็นลม แต่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้โอกาสนาง ยื่นมือไป กดลงบนนิ้วที่ขาดของนาง แม่เล้าเจ็บเสียจนไม่มีแรงจะร้อง หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมา
มือซ้ายกดนิ้วของนางเอาไว้ มือขวาหยิบมีดที่ไร้รอยเลือดขึ้นมาวางบนนิ้วที่เหลืออีกสามนิ้วของนาง “คนของข้าอยู่ที่ใด”
ปากของแม่เล้าขยับเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ที่แพ้หวงฝู่อี้เซวียน นอนราบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรงร้องห้าม “แม่เล้าเหลียน อย่าลืมนะว่านายท่าน…”
แสงสว่างสาดเข้ามา มีดสั้นของเมิ่งเชี่ยนโยวลอยออกไป ฝากรอยเลือดไว้บนลำคอของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็ลอยกลับเข้ามาในมือของนาง
คำของชายฉกรรจ์หยุดลง ดวงตาเบิกโพลง ร่างของเขาโอนเอนเล็กน้อย ตึง ล้มลงบนพื้น ไม่นานเลือดบนคอก็ไหลออกมา
แม่เล้าตกใจจนสติแตก ดวงตาหดลง
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลง มองนาง “อย่างไร คิดได้แล้วหรือยัง”
ในที่สุดแม่เล้าก็กลัวเสียที หลังจากปากสั่นหลายคราแล้ว จึงได้พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เขา เขา ถูกซื้อตัวไปแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ” เสียงของอ๋องฉีโกรธจัด ราวกับว่าจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็หายไปแล้ว ถามด้วยเสียงต่ำว่า “ถูกใครซื้อตัวไป”
ร่างของแม่เล้าถอยไปด้านหลังด้วยความกลัว ลิ้นพันกันยิ่งกว่าเดิม “ไม่ ไม่ ไม่รู้ เขาเป็นแขกประจำของร้านเรา จะมาที่นี่ทุกเดือน แต่ไม่เคยซื้อใครไปเลย ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงได้ซื้อตัวเด็กหนุ่มนั่นไปด้วย”
สายตาดุร้ายของเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องแม่เล้า ไม่คลาดสายตาจากสีหน้าของนาง ครู่ใหญ่ จึงได้ลุกขึ้น สั่งว่า “ไปหาหมึกกับพู่กันมา ให้นางวาดหน้าคนออกมา”
องครักษ์ตอบรับ ไปหาหมึกและพู่กันมา จากนั้นก็ยกโต๊ะและตั่งมาวางตรงหน้าแม่เล้า ยื้อร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของนางขึ้นมา วางลงบนเก้าอี้
ร่างของแม่เล้าโอนเอนเล็กน้อย ฝืนพยุงตัว หยิบพู่กันขึ้นมา กำลังจะยกพู่กันขึ้น แต่มือเจ็บจะขาดใจ หยาดเหงื่อก็ไหลย้อยลงมาไม่หยุด จนปัญญาหยิบพู่กัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบขวดดินเผาขึ้นมา โยนให้โจวอัน
โจวอันเปิดขวด เดินเข้ามา กดมือของแม่เล้า ราดยาลงบนนิ้วมือที่ขาดด้วนของนาง
ไม่นานเลือดก็หยุดไหล ความเจ็บปวดก็หายไปด้วย สีหน้าแปลกใจของแม่เล้ายังไม่ทันปรากฎขึ้น เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “เร็วเข้า”
ร่างของแม่เล้าสะดุ้งขึ้นตามแรงเสียง รีบยกพู่กันขึ้นมา เริ่มวาดรูปชายคนนั้นออกมาตามความทรงจำ
ชิงเฟิงโหลวเล็กๆ ที่หนึ่ง แต่ชายฉกรรจ์ที่นี่กลับฝีมือดีทุกคน สามารถสู้รบปรบมือกับองครักษ์ได้ หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกแปลกใจ จึงสั่งโจวอัน “ไปค้นทุกซอกทุกมุมในชิงเฟิงโหลว อย่าให้คลาดสายตา”
โจวอันตอบรับ โบกมือ เหล่าองครักษ์แยกทางกัน บางคนไปด้านบน บางคนไปด้านหลัง
หวงฝู่สือเมิ่งไม่เชื่อที่แม่เล้าพูด คิดว่าว่านางเอาหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปขังไว้ที่ใดที่หนึ่ง จึงได้ขอร้องกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านแม่ ข้าจะตามไปดู ไม่แน่ว่านางอาจจะซ่อนเย่ว์เอ๋อร์ไว้ที่ใดก็ได้ แต่โกหกว่านางถูกซื้อไป”
หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่สือเมิ่งเป็นฝาแฝดกัน อาจจะมีสัมผัสพิเศษถึงกันก็เป็นได้ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไปสิ ระวังตัวด้วย”
หวงฝู่สือเมิ่งเดินไปด้านหลัง หวงฝู่เฮ่าเดินตามติดไปด้านหลัง
เมิ่งชิงเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม “พี่โยวเอ๋อร์ ท่านพี่เขย…” เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ จ้องไปที่รูปที่แม่เล้าวาด
ด้านหน้าเกิดเสียงวุ่นวายขึ้นเพียงนี้ เหล่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะได้พักผ่อนตอนฟ้าสางก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครกล้าเอะอะ ต่างพากันมุดหลบใต้ผ้าห่มด้วยความกลัว ไม่กล้าขยับ
โจวอันนำทางองครักษ์เข้าไปด้านใน สั่งให้ไล่พวกคนเหล่านั้นออกมาให้หมด หลังจากค้นแล้ว ก็ไม่พบหวงฝู่เย่าเย่ว์
หวงฝู่สือเมิ่งมายังเรือนด้านหลัง หลังจากถามเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปในห้องของแม่เล้าทันที กลิ่นเครื่องหอมลอยเข้ามาแตะจมูก มาเอานางฉุนเสียจนต้องเอามือมาปิดจมูกเอาไว้ เดินออกมา ครู่ใหญ่ จึงสูดหายใจลึก ปิดจมูกของตนเดินเข้าไป
ด้านหน้า
ขณะที่รูปในมือแม่เล้าค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ใจของอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน เมิงเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงตระหนกขึ้น คนในรูปวาดตาคม จมูกโด่ง มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนรัฐอู่ หากเย่ว์เอ๋อร์ถูกเขาซื้อตัวไปจริงๆ คงเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรเป็นแน่
แม่เล้าวาดเสร็จ ก็วางพู่กันลงด้วยมือที่สั่นเทา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยเสียงน่ากลัวว่า “รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”
แม่เล้าส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ปกติแล้วคนที่มีความชอบแปลกๆ เช่นนี้จะเป็นคนรวยทั้งยังสูงศักดิ์ พวกเราไม่กล้าถามและไม่สามารถถามถึงสถานะของเขาได้”
“รูปนี้คล้ายมากเท่าใด”
“ครึ่งหนึ่งเห็นจะได้”
ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความหวังขึ้นมา สั่งอีกครั้งว่า “วาดรูปเด็กคนนั้นออกมา”
แม่เล้าตัวสั่น เสียงติดขัดยิ่งขึ้น “ไม่ ไม่ต้องหรอก”
“หืม? ”
แม่เล้าตกใจ ทรุดนั่งลงบนพื้นต่อหน้านาง “เด็กหนุ่มนั่นเพียงแต่ผิวดำไปเท่านั้น แต่หน้าตาเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนนั้นราวกับแกะ”
พูดจบ เท้าข้างหนึ่งยื่นเข้ามา เตะแม่เล้าจนล้มลงไปกระแทกกับเสาอีกด้านหนึ่งอย่างแรง และเด้งกลับมา ล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
แววตาของอ๋องฉีเกรี้ยวกราด เดินประชิดเข้ามา ยกเท้าขึ้น ถีบเข้าไปที่หัวของแม่เล้า
“เสด็จพ่อ เรายังต้องเก็บนางเอาไว้เพื่อหาเย่ว์เอ๋อร์นะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามเอาไว้
เท้าของอ๋องฉีที่เหยียบลงบนหัวของแม่เล้ากดไม่ปล่อย
แม่เล้าที่เหลือแรงอยู่ครึ่งเดียวตกใจเสียจนเป็นลมพับไป
หวงฝู่สือเมิ่งค้นห้องของแม่เล้าจนทั่ว แต่ก็ไม่พบสิ่งน่าสงสัย จึงได้บีบจมูกเดินออกมา
พวกของโจวอันเองก็ไม่พบสิ่งน่าสงสัย กลับมารายงานที่ด้านหน้า
“ปิดชิงเฟิงโหลว พาคนทั้งหมดที่นี่ไปยังชายแดน” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
เมิ่งชิงตอบรับ สั่งต่อไป
เมื่อเห็นอ๋องฉีแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดว่า “เสด็จพ่อ ท่านไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว เราพักที่เมืองชิงหยางกันก่อนค่อยไปที่ชายแดนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง” อ๋องฉีฝืนร่างกายเดินออกไปด้านนอก “ไปยังชายแดนเสียก่อน ให้หลินจ้งดูว่ารูปที่วาดนี่เป็นคนที่ใด แล้วเราค่อยส่งคนไปตามหา”
คนทั้งหมดเดินตามออกไป ขึ้นม้า มุ่งตรงไปยังชายแดน
อีกด้านหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่รู้เลยว่าเพื่อมาตามหานาง อ๋องฉีได้มาถึงชายแดนแล้ว ทำได้เพียงใช้โอกาสตอนที่เดินเล่นในเรือน แอบดูลักษณะของเรือนนี้ คิดหาวิธีที่ตนจะได้หนีออกไป
หลายวันมานี้ ฝ่ายรัฐอิงไร้วี่แวว ฉู่เหวินเจี๋ยรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้ไปยังกำแพงเมืองเพื่อเตรียมการณ์ให้เรียบร้อย ป้องกันการลอบโจมตีของรัฐอิง
เมื่อได้ยินว่าคนฝั่งอ๋องฉีเดินทางมาถึงแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยลงมาจากกำแพงเมือง ควบม้ากลับมายังค่ายทหาร
อ๋องฉีและคณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินสาวเท้ายาวเข้าไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น พูดขึ้นพร้อมกัน “ท่านน้า”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า หันไปคำนับอ๋องฉี “ท่านพี่เขย”
อ๋องฉีรับการคำนับ
หลินจ้งนั่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น สองมือกุมเข้าด้วยกัน “หลินจ้งคารวะท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”
“ยืนขึ้นเถิด”
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”
“หลินจ้ง เจ้าอยู่ที่ชายแดนมาหลายสิบปี คุ้นเคยกับเพื่อนบ้านดีหรือไม่” อ๋องฉีถามด้วยความร้อนใจ
หลินจ้งไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงได้ชะงักไปและถามว่า “ท่านอ๋องหมายถึง…”
อ๋องฉีโบกมือ โจวอันเดินเข้ามา เปิดรูปออกต่อหน้าหลินจ้ง ให้เขาเห็นคนในภาพวาดให้ชัดเจน
“เจ้าดูออกหรือไม่ว่าเป็นคนที่ใด” อ๋องฉีถามอีกครั้ง
หลินจ้งรับภาพวาดมา พิจารณาอย่างละเอียด พูดว่า “ตาคม จมูกเป็นสัน เป็นลักษณะเด่นขอคนรัฐอิง คนในรูปนี้มีประโยชน์อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำเขา ใจของคนทุกผู้ตรงนั้นก็หล่นลงไปอยู่ที่พื้น
บัดนี้รัฐอู่และรัฐอิงกำลังจะทำการรบกัน หากเย่ว์เอ๋อร์ถูกซื้อไปยังรัฐอิงจริงๆ หากถูกคนจับได้ว่านางเป็นใคร ผลลัพธ์คงยากจะคาดเดาได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนในรูปคือผู้ใด” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
หลินจ้งพิจารณาดูอีกรอบ ขมวดคิ้วลง “คนในรูปดูคลับคล้ายคลับคลากับองค์ใหญ่แห่งรัฐอิง ท่าป๋าหั่นมู่ขอรับ”