ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 29 เข้าเมือง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ฉู่เหวินเจี๋ยผุดลุกขึ้นทันที รีบเดินเข้าไปหาหลินจ้ง หยิบภาพวาดในมือของเขาขึ้นมา ดูอย่างพิจารณาอีกครั้ง  

 

 

หลายปีก่อน เขานำทหารมายังชายแดน ตอนที่ทำการรบกับรัฐอิง ได้รบกับองค์ชายใหญ่ด้วย บัดนั้นองค์ชายใหญ่พระชนมายุได้สิบเจ็ดถึงสิบแปดพรรษา แต่ฝีมือการสู้รบแข็งกล้า จิตใจเด็ดเดี่ยว การสู้รบครั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะเขาระวังตัว คงจะแพ้แก่องค์ชายใหญ่เป็นแน่ ความทรงจำชัดเจน 

 

 

เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว คลับคล้ายคลับคลาขึ้นมา สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยไม่สู้ดีเท่าใด 

 

 

คนทั้งหมดจ้องมองเขา ต่างก็เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป อ๋องฉีเปิดปากพูด ถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ “องค์ชายผู้นี้เป็นคนเช่นไร” 

 

 

“ฝีมือการต่อสู้เก่งฉกาจ ฉลาดเฉลียวมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม จิตใจเด็ดเดี่ยว โหดเ**้ยม” หลินจ้งตอบ 

 

 

ใจของทุกคนหล่นฮวบลงที่พื้น หากเย่ว์เอ๋อร์ตกลงไปอยู่ในมือของคนเช่นนี้ หากคิดจะหนีออกมาคงเป็นไปไม่ได้เลย  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “โจวอัน สั่งให้องครักษ์เข้าไปสืบในจวนขององค์ชายใหญ่ ดูว่าเย่ว์เอ๋อร์อยู่ที่นั่นหรือไม่” 

 

 

โจวอันรับคำ รีบเดินออกไปสั่งการ 

 

 

หลินจ้งห้ามเอาไว้ “ซื่อจื่อ อย่างนี้เห็นทีจะไม่ได้ขอรับ” 

 

 

น้ำเสียงคาดโทษพร้อมความไม่พอใจของอ๋องฉีดังขึ้น “มีอะไรไม่ได้” 

 

 

หลินจ้งโน้มเอวลงคำนับ “ท่านอ๋องขอรับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่องครักษ์หน้าตาต่างจากคนรัฐอิงเป็นอย่างมาก และในยามที่ทั้งสองประเทศกำลังจะทำศึกกัน จะทำให้ถูกฆ่าเอาได้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นไส้ศึก ภาษาของคนรัฐอิงพวกเขาก็ไม่รู้จัก แล้วจะเข้าไปช่วยท่านหญิงน้อยได้อย่างไร” 

 

 

“อย่างนั้นต้องรอจนเย่ว์เอ๋อร์ตายหรืออย่างไร” แม้รู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริง แต่ความกังวลของอ๋องฉีมีมากกว่านั้น น้ำเสียงที่พูดออกมาเริ่มไม่สู้ดี  

 

 

“เรื่องนั้น…” หลินจ้งพูดไม่ออก 

 

 

“คนของเจ้ามีคนรู้ภาษาหรือไม่ ไปเรียกมาสักสองสามคน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างใจเย็น  

 

 

เพื่อความสะดวกในการติดต่อการค้าระหว่างกัน หลายปีมานี้ชายแดนมีการเปิดตลาด มีคนมาจากหลากหลายประเทศ เวลานานเข้าคนที่ชายแดนก็พอจะพูดภาษาต่างชาติได้บ้าง แต่ว่าถึงขั้นชำนาญนั้น น้อยเหลือเกิน หลินจ้งขมวดคิ้ว คิดถึงคนที่สามารถใช้งานได้ ส่ายหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ความสามารถของนาง นางสามารถแต่งหน้าให้องครักษ์ที่จะเข้าไปด้านใน ให้พวกเขาดูหน้าตาเหมือนคนรัฐอิงขึ้นมา แต่เรื่องของภาษานั้นทำไม่ได้ แค่พูดออกมาก็รู้ว่ามาจากที่ใด 

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันอยู่นั้น หลินหันเยียนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา  

 

 

อ๋องฉีหรี่ตามองนาง  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 

 

 

หลินจ้งร้อนใจ ถลึงตาใส่นางไม่หยุด สั่งให้นางอย่ามาสร้างความวุ่นวายตอนนี้  

 

 

หลินหันเยียนไม่ได้มองเขา แต่กลับเดินตรงไปยังตรงหน้าทุกคน หลังจากทำความเคารพทุกคนแล้ว หันหลัง พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ซื่อจื่อเฟย ข้าคุ้นเคยกับภาษารัฐอิงดี ไม่ทราบว่าจะใช้ได้หรือไม่เจ้าค่ะ” 

 

 

มาอยู่ชายแดนหลายสิบปีแล้ว มีแค่สองปีแรกที่หลินหันเยียนเอาแต่คิดถึงเรื่องราวในเมืองหลวง เอาแต่ร้องไห้ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดได้ ปล่อยวาง และก้าวเดินออกจากเรื่องราวเหล่านั้น เริ่มมาช่วยหลินจ้งแบ่งเบาภาระในจวน และมักไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของ เวลานานเข้า มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเป็นเวลานาน นางเองก็พอพูดภาษาของพวกเขาได้บ้าง  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองไปที่หลินจ้ง  

 

 

หลินจ้งขยับปาก อยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูด  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดึงสายตากลับมา เผยแววตาเป็นมิตร “แม่นางหลิน ขอบคุณท่านมาก แต่ว่าเรื่องรัฐอิงนั้น ค่อนข้างอันตราย พวกเราไม่รบกวนแม่นางหลินดีกว่า” 

 

 

“ซื่อจื่อเฟยลืมไปแล้วหรือ หันเยียนเองก็มีวิชาต่อสู้ แม้ว่าจะสู้ซื่อจื่อเฟยมิได้ แต่ว่าสำหรับการป้องกันตัวแล้วก็เพียงพอมาก” หลินหันเยียนไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดต่อ  

 

 

หลินจ้งเองก็ปรามด้วย “เยียนเอ๋อร์ ไปรัฐอิงครั้งนี้อันตรายนัก เจ้าอย่ามีความคิดเช่นนี้เลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ผู้บัญชาการพูดถูก ขอบคุณน้ำใจของแม่นาง” 

 

 

เมื่อได้ยินคำของนาง หลินจ้งโล่งใจขึ้นมา แต่อ๋องฉีกลับพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสามารถใช้ภาษาเจรจากับพวกเขาหรือไม่” 

 

 

“เรียนท่านอ๋อง ได้เจ้าค่ะ หลายสิบปีมานี้เยียนเอ๋อร์ติดต่อกับพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นชำนาญในภาษาพวกเขา แต่ว่าก็พอพูดได้เกินครึ่งเจ้าค่ะ” 

 

 

“เช่นนั้น ก็รบกวนเจ้าด้วย รอจนเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว จวนอ๋องจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม” 

 

 

“หันเยียนไม่กล้ารับเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว ท่านอ๋องอย่าใส่ใจเลย” 

 

 

อ๋องฉีโบกมือ “กลับไปเก็บของเถิด ใกล้ออกเดินทางแล้วจะไปบอกเจ้า” 

 

 

หลินหันเยียนตอบรับ “เจ้าค่ะ” หลังทำความเคารพทุกคนแล้วเดินจากไป 

 

 

ในห้องเงียบไปชั่วขณะ 

 

 

ใจของหลินจ้งไม่สงบ พวกเขาและจวนอ๋องอุตส่าห์ตัดความสัมพันธ์กันได้ หากน้องเล็กช่วยท่านหญิงออกมาได้จริง ไม่รู้ว่าจะมีข้อต่อรองอะไรกับอ๋องฉีเพิ่มหรือไม่ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงข้อนี้เช่นกัน จึงได้ปฏิเสธ แต่ว่าอ๋องฉีอยากช่วยหลานสาว จึงตอบตกลง นางเองไม่สามารถห้ามหลินหันเยียนได้อีกต่อไป 

 

 

“ได้คนแล้ว ขั้นต่อไปจะทำอย่างไร” อ๋องฉีไม่สนใจความคิดของคนรอบข้าง เงยหน้าถามเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดความคิด ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ลูกพอจะรู้วิชาพรางหน้าบ้าง สามารถแต่งหน้าให้คนที่จะไปรัฐอิงให้หน้าตาเหมือนคนรัฐอิงได้เจ้าค่ะ” 

 

 

แววตาของอ๋องฉีเปล่งประกาย “หากเป็นเช่นนั้นดียิ่ง เริ่มจากตัวข้าก่อนเลย” 

 

 

สิ้นคำของเขา ทั้งหมดชะงักไป เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าอ๋องฉีจะพูดเช่นนี้ออกมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจ พูดว่า “เสด็จพ่อ ต่อให้พวกเราไปกันเอง ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนจึงจะไปได้ ท่านเหนื่อยมาตลอดทางเช่นนี้ ใช้โอกาสนี้พักผ่อนเสียหน่อยดีกว่า รอให้เตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราค่อยไปเรียกท่าน” 

 

 

เดินทางติดกันมาหลายวัน อ๋องฉีรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทน เพียงแต่เพราะว่ายังหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พบ จึงได้ฝืนร่างกายอยู่เช่นนี้ เมื่อได้ยินคำของหวงฝู่อี้เซวียนเช่นนี้ จึงได้เงยหน้ามองสีท้องฟ้า เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เวลานี้ไม่สามารถขยับตัวได้อีก จึงไม่ขัดข้อง พยักหน้า ยืนขึ้น  

 

 

หลินจ้งรีบนำทาง “ท่านอ๋องเชิญทางนี้ขอรับ” 

 

 

อ๋องฉีเดินตามเขามายังห้องรับรองแขก 

 

 

เมิงเชี่ยนโยวยืนขึ้น เดินไปข้างโต๊ะในโถง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการ หยิบขึ้นมา พูดว่า “ท่านน้า รบกวนท่านส่งคนไปซื้อของพวกนี้มาให้หมด” 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งการต่อไป พลทหารนายหนึ่งเข้ามา รับรายการนั้นและเดินจากไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง หวงฝูอี้เซวียกพูดขึ้น “ท่านน้า อีกครู่เมื่อข้าและโยวเอ๋อร์เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราจะไปยังรัฐอิงทันที ส่วนทางเสด็จพ่อนั้น ฝากท่านช่วยพูดอีกทีนะขอรับ” 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยชะงักไป ขมวดคิ้ว “เจ้าทั้งสองจะไปกันเองอย่างนั้นหรือ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทั้งสองมีวิชาต่อสู้ หากพบเรื่องอันตรายจะพาแม่นางหลินหลบหนีมานั้นไม่มีปัญหา แต่หากมีคนเพิ่มขึ้น ไม่แน่แล้วขอรับ” 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งได้ยินดังนั้น จึงได้เดินไปหาทั้งสอง ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไปกับพวกท่าน” 

 

 

หวงฝู่เฮ่าก็เดินเข้ามา “ท่านลุง ท่านป้า เฮ่าเอ๋อร์ขอไปด้วยคนขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “พวกเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “ให้พวกเขาไปเถิด พวกเราจะได้ปลอมตัวเป็นครอบครัวเดียวกัน เช่นนี้จะได้เข้าไปผสมกับกลุ่มผู้คนได้” 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยไม่เห็นด้วย “หากพวกเจ้าไปกันหมด แล้วหากเกิดเรื่องอันตรายขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพูดกับท่านอ๋องได้อย่างไร” 

 

 

“ท่านน้าอย่างกังวลไปเลย วิชาต่อสู้ของเมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์ถือว่าดี สามารถป้องกันตัวได้ไม่มีปัญหา” 

 

 

ท่าทางของทั้งสองมั่นใจ ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่มีอะไรพูด อนุญาตทั้งสองไปกลายๆ  

 

 

เมื่อซื้อของมาได้ครบแล้ว เมิงเชี่ยนโยวก็เริ่มแต่งหน้าให้หวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

เมื่อจัดการที่พักให้อ๋องฉีเรียบร้อยแล้ว หลินจ้งกลับมาเห็นภาพตรงหน้า ตกใจมาก หากมิใช่เห็นกับตาของตน เขาคงมองไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าคือหวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยเองก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่รู้เลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเองมีฝีมือการแต่งหน้าเช่นนี้ 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่า ทั้งสองต่างนับถือนางเพิ่มขึ้นทันที 

 

 

“ท่านแม่ รอช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาได้ กลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะเรียนวิชาการแต่งหน้ากับท่าน” หวงฝู่สือเมิ่งขอร้องด้วยความตื่นเต้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ 

 

 

แต่งให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นิดหน่อย 

 

 

หลินจ้งสั่งคนไปเรียกหลินหันเยียนมา 

 

 

เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน หลินหันเยียนชะงักลงทันที ถามด้วยความแปลกใจว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านผู้นี้คือ…” 

 

 

หลินจ้งรีบพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ นี่คือซื่อจื่อ” 

 

 

หลินหันเยียน เบิกตาโพลง มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างพิจารณา เริ่มเห็นเค้าหน้าของเขาออก ยิ้มออกมา “ดูคลับคล้ายกับคนรัฐอิงเหลือเกิน หากไม่ใช่ว่าข้ารู้จักกับซื่อจื่อมาก่อน ทั้งยังมองอยู่นาน ไม่เช่นนั้นคงมองไม่ออกเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

นางพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยววางใจไม่น้อย หลังจากแต่งหน้าให้หลินหันเยียนอย่างละเอียด สั่งให้คนไปเอากระจกมาให้ตน จากนั้นแต่งหน้าให้ตัวเอง 

 

 

ทั้งหมดยืนขึ้น ดูเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันไม่มีผิด เมิ่งเชี่ยวโยวแบ่งสถานะให้แต่ละคน ชี้มาที่หวงฝู่อี้เซวียนและตน พูดว่า “พวกเราเป็นพ่อแม่ เมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์เป็นพี่สาวและน้องชาย แม่นางหลินเป็นน้า พวกเราจะไปเยี่ยมญาติในเมือง แต่ว่าญาติของเราย้ายไปหมดแล้ว พวกเราไม่มีที่ไป จึงได้มาพักที่โรงเตี๊ยม” 

 

 

เวลาบ่ายคล้อยแล้ว ทั้งหมดไปยังรัฐอิง ฟ้าได้มืดลงแล้ว การค้างแรมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ก่อนเข้าไปเริ่มนัดคำพูดกันเสียก่อน เพื่อไม่ให้พูดไม่ตรงกัน 

 

 

แววตาของหลินหันเยียนขยับเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “ซื่อจื่อเฟย เช่นนี้ดูจะไม่เหมาะเท่าใด อายุข้าสามสิบกว่าปีแล้ว บัดนี้ออกเดินทางมากับพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่ไม่มีลูกของตน คงไม่มีใครเชื่อ หันเยียนขอร้อง ว่าให้คุณชายใหญ่ปลอมเป็นลูกชายของข้า เช่นนี้ผู้คนจะเชื่อมากขึ้น” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง 

 

 

หลินหันเยียนไม่ไม่หลบสายตา มองนางกลับ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและอ้อนวอน 

 

 

หลินจ้งตกใจ กำลังจะออกปากห้าม  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดึงสายตากลับ พยักหน้าช้าๆ  

 

 

หลินหันเยียนดีใจ ดวงตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้น “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพียงแค่การปลอมตัวเท่านั้น” 

 

 

“เท่านี้หันเยียนก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ความไม่สบายใจของหลินจ้งเพิ่มพูนขึ้น สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น  

 

 

ไม่ว่าใจของหลินจ้งจะไม่สบายใจหรือเป็นห่วงเช่นไร หลังจากห้าคนได้สวมใส่เสื้อผ้าของคนรัฐอิงแล้ว ควบม้าออกจากชายแดน มุ่งหน้าไปยังรัฐอิงทันที