หนึ่งชั่วยามแห่งการเดินทางอันเร่งรีบ ไม่นานก็มาถึงเขตแดนของรัฐอิง ขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังจะทำศึกกัน การตรวจคนมักเข้มงวดกว่าเดิมมาก เมื่อเห็นคนทุกผู้สวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนผู้อื่น ทั้งทุกคนยังมีม้าเป็นของตน ทำให้ดึงดูดความสนใจจากทหารลาดตระเวนเป็นอย่างมาก หลินหันเยียนอยู่ด้านหน้า พูดคำที่ตระเตรียมไว้ออกมา
ทหารมองพิจารณาทั้งห้าคน จากนั้นก็ตรวจค้นของในกระเป๋าจนสิ้น เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงได้พูดกับพวกเขาว่า “ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตึงเครียด การค้าช่วงนี้ของพวกเจ้ายิ่งออกจากเมืองน้อยเท่าไรยิ่งดี ระวังจะไม่มีชีวิตได้ใช้เงิน”
หลินหันเยียนพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง ยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือของทหาร “พวกข้ารู้แล้ว นี่ก็เก็บของจากรัฐอู่มาแล้วอย่างไรล่ะ นี่เป็นชุดแรก ที่เหลือจะทยอยขนย้ายมาในสองสามวันนี้ ต่อไปไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว หวังว่าภายหน้าท่านจะให้ความสะดวกกับพวกเราได้”
แม้ว่าจะไม่ใช่เงินตราของรัฐอิง แต่ว่ามีตลาดชายแดน เงินพวกนี้สามารถซื้อของจากทางนั้นกลับมาได้ ทหารดีใจมาก กำไว้ในมือ โบกมือให้คนที่เหลือ “ไปเถิด”
หลินหันเยียนเดินจูงม้า นำเข้าไปก่อน คนทั้งสี่เดินติดตามไปด้านหลัง
เมื่อเข้าสู่ชายแดนของรัฐอิง ฟ้าได้มืดสนิทแล้ว คนแปลกที่แปลกทาง ไม่รู้ว่าวังของรัฐอิงอยู่ห่างจากชายแดนมากเท่าใด ทุกคนไม่กล้าเดินหน้าต่อ จึงได้หาโรงแรมชั้นสูงเพื่อพักผ่อน
เมื่อได้ห้องหรู สั่งอาหารมามากมาย หลังสั่งให้คนงานมาส่งเข้าห้อง ทั้งหมดก็เดินตามคนงานมาพักที่ชั้นสอง
ณ ในชายแดน
อ๋องฉีตื่นขึ้นมา พบว่าฟ้าได้มืดลงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นนั่ง สั่งว่า “ใครก็ได้มานี่ที”
บ่าวรับใช้ที่รอรับใช้อยู่ด้านนอกเดินเข้ามา จุดไฟ จากนั้นถามด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กี่ยามแล้วหรือ”
“เรียนท่านอ๋อง ตอนนี้ยามสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออ๋องฉีได้ยินดังนั้น ชะงักไป รู้สึกว่าตนแก่ขึ้นแล้ว นอนครั้งหนึ่งใช้เวลาหลายชั่วยามนัก
“พวกซื่อจื่อเล่า กำลังพักผ่อนอยู่หรือ”
บ่าวรับใช้ชะงักเล็กน้อย รายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกส่งตัวมารับใช้ท่าน เรื่องทางด้านซื่อจื่อข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเอาน้ำมา ข้าจะล้างหน้าเสียหน่อย”
บ่าวรับใช้ตอบรับ นำน้ำมา
หลังจากท่านอ๋องล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเปิดปากถาม ด้านนอกมีเสียงของหลินจ้งลอยเข้ามา “ท่านอ๋อง ตื่นแล้วหรือขอรับ อาหารเย็นพร้อมแล้วขอรับ”
อ๋องฉียืนขึ้น เดินออกไป
หลินจ้งคำนับ ทำท่าเชื้อเชิญ “ท่านอ๋อง เชิญขอรับ”
อ๋องฉีเดินนำ หลินจ้งเดินตามมาจนถึงห้องอาหาร เห็นเพียงฉู่เหวินเจี๋ยอยู่ด้านใน
อ๋องฉีเดินเข้าไปในห้องอาหาร นั่งลงถามว่า “เซวียนเอ๋อร์เล่า ยังไม่ตื่นอีกหรือ”
คนไม่อยู่ที่นี่แล้ว คงปิดบังไปได้ไม่นาน ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ปิดบังอีกต่อไป บอกเขาไปตามตรงว่า “เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์พาเด็กทั้งสองคน พร้อมทั้งแม่นางหลินไปยังรัฐอิงแล้วขอรับ บัดนี้คงถึงที่นั่นนานแล้ว”
อ๋องฉีชะงักไป จากนั้นได้สติกลับมา โกรธจนล้มโต๊ะด้านหน้า “ดี รู้จักโกหกข้า ต่อหน้าทำเป็นพูดดี แต่กลับอาศัยช่วงที่ข้าหลับอยู่ไปรัฐอิงกัน”
หลินจ้งและบ่าวรับใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องอาหารตกใจกลัวเสียจนทรุดลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียง
ใจของฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่นไม่น้อย หลายปีแล้ว ไม่เห็นอ๋องฉีโมโหเช่นนี้มาก่อน
ล้มโต๊ะก็แล้ว แต่อ๋องฉียังไม่สะใจ เดินไปเดินมาในห้องด้วยไฟโกรธ
คนทั้งหมดไม่กล้าหายใจแรง ขณะนั้นในห้องเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าเขาโกรธจนสามารถเหยียบคนตายได้
ครู่ใหญ่ ฉู่เหวินเจี๋ยแกล้งไอ “ท่านพี่เขย พวกเขาต่างทำเพื่อท่าน ท่านอายุมากแล้ว หากติดตามไปรัฐอิงด้วย ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว…”
หากเขาไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อพูดกลับทำให้อ๋องฉีโกรธยิ่งขึ้น เดินเข้ามาหาอ๋องฉีด้วยความโกรธ ชี้หน้าตนเอง ถามว่า “ข้าแก่? ”
รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากเขา ฉู่เหวินเจี๋ยตกใจเสียจนเบิกตาโพลง กำลังจะยืนขึ้น อ๋องฉียื่นมือขึ้นมา กำคอเขาเอาไว้ ลากออกไปด้านนอก “เรามาสู้กันดู ดูทีว่าข้าแก่จริงหรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยถูกเขาลากเดินออกไปอย่างทุลักทุเล ไร้ซึ่งราศีของความเป็นแม่ทัพ
บ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในห้องอาหารมองด้วยความงุนงง หลังจากทั้งสองเดินออกไปแล้วนั้น หลินจ้งเดินยืนขึ้น เดินตามออกไป
บ่าวรับใช้ที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา จากนั้นยืนขึ้นพร้อมกัน แอบเดินตามไปด้านหลัง
ในบริเวณนั้น อ๋องฉีลงมือกับฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวงฝู่อี้เซวียนแอบไปรัฐอิงโดยลำพัง ทำให้อ๋องฉีมีไฟสุมในใจ หรือเพราะว่าคำพูดประโยคนั้นของฉู่เหวินเจี๋ย เติมน้ำมันเข้าไป แต่ในที่สุดแล้ว ต่อให้ฉู่เหวินเจี๋ยออกแรงมากเท่าไร ซ้ายขวาหลบหลีกเช่นไร ก็ยังเจอหมัดของอ๋องฉีไปไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ อ๋องฉีก็ไม่ปล่อยเขาไป ส่งหมัดต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ย ฉู่เหวินเจี๋ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นั่งลงที่พื้นพร้อมกุมใบหน้าของตนเอง บัดนี้ไฟโกรธในใจของอ๋องฉีจึงได้มลายหายไป
มองฉู่เหวินเจี๋ยจากที่สูง ทำเสียงไม่พอใจ ถามว่า “ข้าแก่หรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่กล้าพูด นั่งลงบนพื้นเงียบไม่พูดจา
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว อารมณ์ของอ๋องฉีดีขึ้น เอามือไพล่หลัง เดินเข้าไปในห้องรับรองแขก สั่งว่า “ตั้งสำรับ ข้าหิวแล้ว”
หลินจ้งได้สติกลับมา สั่งบ่าวรับใช้ให้ไปตระเตรียมโต๊ะ จัดวางอาหาร ส่วนตนเดินไปหาฉู่เหวินเจี๋ย ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยบวมขึ้นมากว่าครึ่ง บนอุบว่า “รอก่อนเถิด ดูว่ากลับเมืองหลวงไปแล้ว พี่สาวข้าจะจัดการท่านเช่นไร” พูดจบ หันหลังเดินเข้าไปในห้องอาหาร
หลินจ้งยืนอยู่ที่เดิมด้วยจิตใจว้าวุ่น
ณ รัฐอิง
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวพักผ่อนกันหนึ่งคืน หลังอาหารเช้าวันที่สอง ก็เดินทางไปยังเมืองหลวงรัฐอิง
สองชั่วยามต่อมา มาถึงเมืองหลวง หลังจากสำรวจโดยรอบแล้วก็เข้าไปด้านใน
ไม่มีใครเคยมาที่รัฐอิงมาก่อน ไม่รู้ว่าในจวนขององค์ชายอยู่ที่ใด หากจู่ ๆ เข้าไปถาม ก็จะถูกสงสัยเอาได้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไปเช่าห้องอยู่ก่อน เมื่อสอบถามเส้นทางได้แล้ว ค่อยหาโอกาสเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่
และในขณะนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังคิดวางแผนการหลบหนีของตนเองอยู่
หลายวันแล้ว ที่องค์ชายไม่ได้กลับเข้าจวน หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ พร้อมทั้งใช้โอกาสสำรวจรอบๆ จวน ดูอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม จดจำไว้ในใจ
พลบค่ำ หลังกินอาหารเย็นแล้ว สั่งบ่าวรับใช้ว่า “วันนี้พวกเจ้ากลับไปเถิด ไม่ต้องรับใช้ข้า วันนี้ข้าเดินค่อนข้างนาน รู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนแต่หัวค่ำ”
ความชอบแปลกๆ ขององค์ชาย บ่าวรับใช้ที่รับใช้รู้ดี แต่ว่าองค์ชายไม่เคยพาผู้ใดกลับมาด้วย อย่างมากก็ทำเพียงเดินทางไปรัฐอู่ ค้างแรมที่นั่นสามคืนห้าคืน เมื่อสำราญใจเพียงพอแล้วจะกลับมา แต่ครานี้เขาพาคนมาด้วย นี่หมายถึงอะไร บ่าวรับใช้ที่รับใช้ต่างรู้ดี ดังนั้น หลายวันมานี้จึงได้รับใช้เขาอย่างเต็มที่ กลัวว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะไม่พอใจ ไปเป่าหูองค์ชายใหญ่ได้ เช่นนั้นหัวของพวกเขาอาจหลุดจากบ่าเอาได้ ดังนั้นจึงฟังคำของนาง ไม่กล้าคัดค้าน ตอบรับพร้อมออกไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ดับไฟในห้อง รอจนเวลาสมควร ได้ยินเสียงในรอบบริเวณเงียบสงัด ค่อยๆ ยืนขึ้น เดินย่องออกไปที่ประตู เปิดออกอย่างให้เหลือช่องแคบๆ มองออกไปด้านนอก
ในบริเวณเรือนไม่มีคนเฝ้าอยู่ เรือนด้านข้างไม่มีแสงไฟ บ่าวรับใช้ทุกคนคงพักผ่อนกันหมดแล้ว
จึงได้เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เดินย่องออกมา ยืนคิดอยู่ในลานของเรือนอยู่สักครู่ ไม่ได้เดินไปยังประตูหลัก แต่เดินไปยังมุมหนึ่งไกลๆ ที่แอบสังเกตมานานแล้ว รวบรวมความกล้า กระโดดขึ้นไป ร่างบางของนางยืนอยู่บนกำแพงอย่างมั่นคง เดินไปตามกำแพงเล็กน้อย จากนั้นก็หลบอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ มองไปด้านนอกอย่างพิจารณา
จวนองค์ชายใหญ่มาก ใหญ่พอๆ กับจวนอ๋อง ทุกบริเวณในจวนเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงที่เดียวที่มีไฟสว่างอยู่
กัดปาก คิดเล็กน้อย ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ไม่กล้าไปยังที่ที่มีไฟสว่าง แต่กลับยืนดูทิศทางอยู่ในความมืด กระโดดกำแพง เดินตามทางที่พอจำได้ไปยังประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง
นางร่างบางทั้งยังเดินหน้าไปพร้อมพรางตัวไปด้วย จึงไม่ถูกคนที่เฝ้ายามอยู่จับได้ จนสุดท้ายมาถึงหน้าประตูใหญ่จนได้ แต่น่าเสียดาย ประตูปิดสนิท หน้าประตูมีโคมไฟสองดวงแขวนอยู่ ด้านล่างของโคมไฟหนึ่งดวงจะมีชายฉกรรจ์ร่างสูงสองคนยืนเฝ้ายามอยู่
ก้มมองดูร่างเล็กของตน และมองชายฉกรรจ์สี่คนนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ล้มเลิกความคิดที่จะหนีออกไปทางประตูใหญ่ หันหลัง เดินไปทางอื่น มองหาทางหนีทีไล่อื่นๆ
แต่ว่า นางไม่รู้จักทางในจวนองค์ชาย ทั้งตอนนี้ยังเป็นเวลาดึก รอบข้างมืดสนิท กระทั่งทางกลับไปที่ที่ตนเคยอาศัยอยู่ยังจำไม่ได้เลย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ่งเดินยิ่งหลงทาง นางไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ขณะที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น นางคิดถึงที่ที่ไฟสว่างอยู่ เมื่อครู่ตนนั่งอยู่ที่กำแพง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงกันข้าม เป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นางจะสามารถกลับไปที่เดิมได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจยินดีขึ้นมา กระโดดขึ้นไป มองสี่ทิศรอบตัว จนกระทั่งมองเห็นทิศที่ไฟสว่างแล้ว ก็คิดหาทางที่ตนจะเดินต่อไป และเดินไปอย่างไม่ลังเล
ครึ่งชั่วยามต่อมา กระโดดขึ้นกำแพงอีกครั้ง เมื่อหาทิศได้แล้ว จึงได้รู้ว่าตนมาผิดทาง จึงได้รีบเปลี่ยนทางเดิน กลับไปยังเรือนที่ตนเคยอยู่ สูดหายใจลึก กระโดดเข้าไปด้านในโดยไม่คิดอะไรมาก ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ก็มีเสียงงัวเงียดังขึ้น “นายท่าน ดึกป่านฉะนี้แล้ว ท่านไปทำอะไรในลานหรือ”