ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 19 สิ่งที่ข้าควรทำ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะได้รับรายงานและสงสัยว่าอิงซานเสวี่ยอิงสังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านผู้นั้นทิ้งไป แต่ความคิดที่ว่า ‘ผู้ที่สังหารจวินอ๋องดำก็คืออิงซานเสวี่ยอิง’ นี้ กลับแค่แวบเข้ามาในห้วงสมองเท่านั้น เพียงครู่เดียวก็ทิ้งออกไปจากสมองแล้ว เนื่องจากเขาเข้าใจดีมากว่า จะสังหารภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จนแม้แต่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มิอาจช่วยไว้ได้ทันนั้นยากเย็นเพียงใด!

จวินอ๋องดำมิใช่ผู้ที่ประมุขรัฐเฉินฟ่านจะสามารถเทียบได้

เมื่อทอดสายตาไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็มีจำนวนไม่เกินสองมือนับได้เท่านั้น ต่อให้เป็นตัวเขา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ต้องอยู่ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ หากอยู่ภายนอกเขาก็ทำมิได้เช่นกัน

“เป็นข้าสังหารเองขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายอมรับพลางยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบอาวุธของจวินอ๋องดำออกมา เขามิได้วางแผนปิดบัง

“เจ้า เจ้าทำได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่อยากจะเชื่อ

“วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ท่านอาจารย์คงจะทราบว่า คัมภีร์โลกเทียมที่บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นล้ำค่าเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

อย่างก่อนหน้านี้ พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ได้ขอเอาไว้ว่าก่อนจะรวบรวมเม็ดทรายอลวนได้ครบนั้น ห้ามแพร่งพรายไปภายนอกว่าโลกเทียมบรรลุเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดสิ่งไม่คาดคิดต่างๆ ขึ้น

“เจ้าบรรลุเขตลวงโลกเทียมแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทั้งแตกตื่นและกระจ่างแจ้งขึ้นมา “ขายให้รัฐโบราณคิมหันตวายุไปแล้วหรือ”

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“อย่าขายราคาต่ำเกินไปล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “คัมภีร์ระดับนี้ บรรพชนฝานและประมุขรัฐเสียดฟ้าล้วนยินดีทุ่มเทราคามหาศาลเพื่อให้ได้มา เพราะนี่เกี่ยวโยงถึงเส้นทางการบำเพ็ญของพวกเขา! ต่อให้เป็นรัฐโบราณใหญ่ทั้งหลาย ก็ล้วนให้ความสำคัญกับคัมภีร์จำพวกวิญญาณต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจวบจนบัดนี้ทั้งดินแดนจิตโลกาก็ยังไม่มีคัมภีร์ขั้นสุดยอดจำพวกวิญญาณเลย”

“ขอรับ ราคาขายยังพอใช้ได้ ในจำนวนนั้นข้ายังได้สมบัติลับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ มาชิ้นหนึ่งด้วย สมบัติลับระดับยอดนี้เหมาะกับข้าเป็นอย่างมาก ข้าค้นคว้ามานานแสนนาน และได้คิดค้นท่าไม้ตายต่างๆ ขึ้นมา ด้วยการผสานกับสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นนี้ อาศัยท่าไม้ตายกระบวนหนึ่ง ก็สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็ทั้งอิจฉาทั้งแตกตื่น

ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ…

เขาเองก็ยังต้องมองตาเป็นมันเลย!

ทว่าเขาก็เข้าใจดีว่า ในดินแดนจิตโลกา มีสมบัติลับระดับยอดสุดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่หลายชิ้นด้วยกัน แต่ที่สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้อย่างง่ายดายกลับมีน้อยเสียจนน่าสงสาร

“คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยอิงจะเติบโตมาถึงขั้นนี้ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าพลังของเจ้าคงจะเหนือกว่าข้าไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูดาบโค้งในมือที่แผ่กลิ่นอายดำมืดออกมา “สมบัติลับชิ้นนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แทบจะไม่มีผู้ใดยอมนำสมบัติลับระดับยอดสุดแลกเปลี่ยนเป็นแก้วผลึกจักรวาลหรอก! หากจะคำนวณราคากันจริงๆ แล้ว สมบัติลับของจวินอ๋องดำชิ้นนี้ก็สามารถคำนวณได้สักสามแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลเลยทีเดียว! วัสดุที่เจ้าต้องการพวกนั้น ราวหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลก็เพียงพอแล้ว ยังเหลืออีกตั้งมากมาย! เจ้ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ หากไม่ต้องการ ข้าก็จะมอบแก้วผลึกจักรวาลให้เพื่อชดเชยให้เจ้า”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาย่อมไม่มีทางเอาเปรียบมากขนาดนี้

“ท่านอาจารย์ ตอนนั้นท่านมอบอาภรณ์ราชันย์มารให้ข้า ข้าก็รับมาเฉยๆ เช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“นั่นคือการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมที่เจ้ารักษาสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ให้ข้า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ ผู้ใดไม่รู้บ้างเล่าว่าผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในระดับจอมเคารพของทั้งดินแดนจิตโลกาก็คือข้า อาจารย์ของเจ้าคนนี้ ข้าไม่มีทางละโมบเอาของน้อยนิดเช่นนี้จากเจ้าหรอก สำหรับข้าแล้ว สามแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็สามารถซื้อสมบัติลับเช่นนี้ได้ทุกที่นั่นแหละ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบม้วนสาส์นชิ้นหนึ่งออกมา บนม้วนสาส์นเริ่มมีร่องรอยตัวอักษรปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วครู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็บันทึกสมบัติล้ำค่าและวัสดุเอาไว้จำนวนมาก

“วัสดุเหล่านี้ต้องใช้ราวหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งม้วนสาส์นใหม่ให้อาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์ช่วยข้าเก็บรวบรวมหน่อยนะขอรับ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้สมบัติลับของจวินอ๋องดำผู้นั้น…เกรงว่าในระยะเวลาอันสั้นคงยังมิอาจเปิดเผยออกไปได้ มิเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าทั่วหล้าคงจะสงสัยว่าท่านอาจารย์หรือไม่ก็ข้าเป็นมือสังหาร”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล้านำดาบโค้งเล่มนี้ออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้

จะต้องมีหลายคนที่สงสัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเขา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรืออิงซานเสวี่ยอิงก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือด้านวิถีอากาศระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอาเปรียบเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน ส่วนดาบโค้งนี้ ฮ่าฮ่า ข้าไม่รีบร้อนหรอก คืนวันยาวนานนัก ในภายหน้าก็มีโอกาสใช้มันแลกเอาผลประโยชน์ที่ข้าต้องการได้ ส่วนเสวี่ยอิง พลังแข็งแกร่งพอ มิอาจปกปิดเอาไว้ได้ ถึงอย่างไรในภายหน้าก็ต้องเผยพลังออกมาอยู่ดี” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ถึงตอนนั้นหากปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์รู้เข้า เจ้าควรทำเช่นไรเล่า เจ้าควรจะเข้าใจนิสัยของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ นับว่าครั้งนี้เจ้าตบหน้าเขาอย่างแรง เขาไม่มีทางละเว้นเจ้าง่ายๆ แน่นอน”

“ช่างเขาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเห็นเข้าก็พูดต่อว่า “มีหวังพอจะรับมือได้หรือไม่”

สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้อย่างง่ายดาย…เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ต้องมีหวังรักษาชีวิตเอาไว้ได้จึงจะถูกต้อง

“รักษาชีวิตเอาไว้ก็ยังพอมีหวังขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“อื้ม”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าสังหารจวินอ๋องดำ ข้ายังพอเข้าใจได้ เพราะถึงอย่างไรเขากับเจ้าก็มีความแค้นใหญ่หลวงต่อกันอยู่ก่อนแล้ว เขาตัดเส้นทางการบำเพ็ญในวังเทพจิตโลกาของเจ้า ความแค้นใหญ่หลวงนี้ต้องชำระ! แต่ว่า…เหตุใดเจ้าจึงไปสังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านเสียเล่า เขากับเจ้าคงไม่มีความแค้นอันใดหรอกกระมัง นอกจากนี้ เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อาจจะลอบเฝ้าดูอยู่ แต่ก็ยังคงไปช่วยกอบกู้ตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งอย่างนั้นหรือ หรือว่าเจ้าเกลียดชังความชั่วร้ายดั่งศัตรูคู่แค้นจริงๆ”

ศิษย์ของตนนั้นต้องการข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวโยงถึงการเข่นฆ่าและหายนะครั้งใหญ่จากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์

เรื่องนี้ทำให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณารู้สึกว่า…ศิษย์ของตนคนนี้เกลียดชังความชั่วร้ายดั่งศัตรูคู่แค้นเกินไปหน่อย

“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

“สมควรทำหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสะดุ้ง “อะไรกันที่เรียกว่าสมควรทำ ก่อนหน้านี้เจ้ามิได้เป็นอย่างนี้เสียหน่อย”

“ก่อนหน้านี้ข้ามิได้เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพลังไม่เพียงพอ หากฆ่าๆๆ อย่างโง่งม เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว คงเติบโตมาไม่ถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้แล้วล่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “มีพละกำลังยิ่งใหญ่เท่าไหร่ จึงจะสามารถรับผิดชอบได้ใหญ่หลวงเท่านั้น บัดนี้พลังของข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจึงย่อมมิอาจมองดูทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงสมควรทำขอรับ”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบงันไปครู่หนึ่ง

เขาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

สมควรทำหรือ

นี่คือความคิดที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจตามธรรมชาติ นี่ก็คือการรู้จักตนเอง เป็น ‘จิตแห่งวิถี’

“เจ้าทำเช่นนี้จะเหนื่อยมากนะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยปากพูด

“เหนื่อย เหตุใดจึงเหนื่อยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าด้วยความสงสัย “สำหรับข้าแล้วนั้นเป็นเรื่องที่สบายมาก เดิมทีการบำเพ็ญก็ต้องต่อสู้และเคี่ยวกรำอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่พบว่ามีมารร้าย จึงลงมือสังหารก็เท่านั้นเอง! นอกจากนี้เมื่อมองเห็นท่าทางยินดีปรีดาของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระโดดออกมาจากหายนะได้ ข้าก็รู้สึกดีใจจากก้นบึ้งหัวใจเช่นกัน นี่เป็นเรื่องเบิกบานใจและพึงพอใจมากอย่างหนึ่ง”

จิตแห่งวิถี

จะต้องยืนหยัดและปฏิบัติจริง!

“เอาล่ะ เป็นความผิดของข้าเอง ข้ารู้สึกว่าเหนื่อยและยุ่งยาก แต่สำหรับเจ้าแล้ว กลับเป็นเรื่องเบิกบานใจและพึงพอใจมาก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า “แต่ว่าเสวี่ยอิง การบำเพ็ญเป็นการยกระดับอย่างต่อเนื่องของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันมากเสียยิ่งกว่ามาก ก็จะเห็นผู้ที่อ่อนแอราวกับมดปลวกจริงๆ! สำหรับบรรดา ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ สิ่งมีชีวิตระดับสูงยิ่งกว่าที่สามารถกระโดดออกจากกรงขังของโลกกำเนิดได้ ก็เห็นผู้บำเพ็ญภายในกรงขังอย่างพวกเราเป็นเหมือนดั่งมดปลวกจริงๆ สำหรับพวกเรา เทพโลกาเทพแท้ที่อ่อนแอเหล่านั้นก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ แค่พ่นลมหายใจออกมาระลอกหนึ่งก็สามารถสังหารได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว หากมิใช่มดปลวกแล้วจะเป็นอะไรเล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่าอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเหมือนจะเข้าใจ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“มดปลวกหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “แม้พวกเราจะเป็นเทพจักรวาล แต่ก็เป็นเด็กน้อยอ่อนแอที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละก้าวๆ เช่นกัน ประสบกับภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้! เติบโตจากผู้ที่อ่อนแอมาถึงขั้นเทพจักรวาล แล้วมองกลับไปยังผู้ที่อ่อนแอ ก็เห็นผู้ที่อ่อนแอเป็นดั่งมดปลวกไปแล้วหรือ ผู้บำเพ็ญก็มิอาจลืมรากเหง้าของตนได้!”

“นี่มิใช่การลืมรากเหง้า นี่คือการยกระดับการบำเพ็ญต่างหากเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโต้กลับ “เดิมทีเส้นทางการบำเพ็ญก็ยากลำบากมากอยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับหายนะอันหนักหน่วง ผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยก็ล้มลง! พวกเราสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย มีพรสวรรค์ มีโอกาส มีการบำเพ็ญจิต และมีโชคบ้าง …สามารถเดินมาจนถึงระดับนี้ได้ก็ยากเกินไปแล้ว ไยจึงต้องเพิ่มอันตรายและตัวแปรตั้งมากมายให้ตนเองเพื่อผู้ที่อ่อนแอด้วยเล่า  พวกเขาล้วนมีเส้นทางของตนเอง ก็ให้พวกเขาสู้ให้เต็มที่เถิด”

“หากข้าไม่ไปทำ ผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสสู้สุดชีวิตด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เส้นทางการบำเพ็ญมีภยันตรายหนักหน่วงอยู่แล้ว แต่การเข่นฆ่าขนานใหญ่นั้นมิใช่ภยันตราย หากแต่เป็นการทำลายระเบียบของโลกการบำเพ็ญทั้งหมด! หากแต่ละคนล้วนมัวแต่เอาตัวรอด เช่นนั้นผู้ที่อ่อนแอก็จะตายไปกันหมด ผู้ที่มีกำลัง ย่อมต้องแบกรับภาระ นี่จัดเป็นความรับผิดชอบของตนอยู่แล้ว!”

“ตอนที่ข้าอ่อนแอก็สามารถถอยหนีได้”

“ตอนที่ข้าแข็งแกร่ง ก็ต้องออกหน้าให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“แต่เช่นนี้เจ้า…ก็จะไปยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดขึ้นอย่างอดมิได้ “เจ้ารู้ไหมว่า ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง ผู้ที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่ามีพลังเป็นอันดับหนึ่งของทั้งดินแดนจิตโลกามิใช่จักรพรรดิเซี่ย หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอีกท่านหนึ่ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ข้าทราบขอรับ ว่าเป็นราชันย์อนธการอมตะ ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นผู้นำมาซึ่งความสิ้นหวังและความตาย”

“ถูกต้อง ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เขาเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดคนหนึ่ง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา “ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้วขอรับ เพราะถึงอย่างไรก็มีตำนานเกี่ยวกับเขาตั้งมากมาย ทว่าเขามิได้หายสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้วหรือขอรับ นับตั้งแต่สงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งจวบจนบัดนี้ก็ไม่มีข้าวของเขาเลย วันคืนยาวนานถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะสิ้นใจไปนานแล้วล่ะขอรับ” สิ่งมีชีวิตที่แทบจะเท่ากับสิ้นใจไปแล้ว สามารถจินตนาการได้ว่าตอนนั้นลูกไม้ของเขาชั่วร้ายและอำมหิตเพียงใด

ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

แม้จะไม่เห็นด้วยกับ ‘การรับรู้จิตแห่งวิถี’ ของศิษย์ แต่ก็มิได้ปิดบังว่าเขานับถือคนเช่นนี้

“เขายังไม่ตาย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ย “เขากลับมาแล้ว”

“กลับมาแล้วหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง “กลับมาแล้วแปลว่าอะไรกัน”

 ……………………………….