ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 20 ชีวิตการบำเพ็ญ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าวว่า “ในตำนานบอกว่าตอนนั้นมีโอกาสอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งมีหวังจะได้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! ดังนั้นก่อนหน้าสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งก็เคยมีสงครามครั้งใหญ่ ครั้งนั้นราชันย์อนธการอมตะแย่งชิงโอกาสมาไว้ในมือได้ จากนั้นก็จากดินแดนจิตโลกาไป แล้วก้าวไปบนเส้นทางการโจมตีเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เพียงแต่คืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป บัดนี้เขาก็กลับมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการโจมตีล้มเหลว”

“เขาไปโจมตีที่ไหนเพื่อให้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจ

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว หยวนอาจจะรู้ก็ได้กระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เหมือนข้าจะไม่เห็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์เลยขอรับ”

“ฮ่าฮ่า ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่ามาก อาจารย์ของเจ้าอย่างข้าก็ค่อยๆ รู้เรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไป” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้ม “ทั้งดินแดนจิตโลกา วังเทพจิตโลกามีการชี้แนะบางคนจนสำเร็จเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้ว่ากันว่าพวกเขาล้วนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งทั้งสิ้น เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งซึ่งเหมาะสมกับตนเองสักวิชาหนึ่งนั้นเพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนคลุ้มคลั่งได้ มันยาหาได้ยากกว่าสมบัติลับอันสูงส่งเสียอีก! นอกจากนี้แล้ว…ก็มีแต่สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาอย่าง ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ เท่านั้นจึงจะเป็นสถานที่ที่มีโอกาสระดับยอดซ่อนอยู่มากมายอย่างแท้จริง!

“ยอดเขาที่สูงที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักเหมือนกับฟันที่หักไปครึ่งหนึ่งถูกต้องหรือไม่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เรื่องนี้เขารู้ดี!

ก็เพราะยอดเขาขนาดมหึมาที่เหมือนกับฟันที่หักไปนั่นเอง จึงถูกตั้งชื่อว่าหุบเขาเขี้ยวหัก ความกว้างขวางของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเท่ากับรัฐโบราณคิมหันตวายุสามแห่งเลยทีเดียว ที่รู้กันทั่วไปนั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่สิ้นใจไปในนั้นมีอยู่สองท่านด้วยกัน

 “โครงกระดูกและซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมิใช่เพียงร่างเดียวที่ถูกโยนทิ้งไว้ในหุบเขาเขี้ยวหัก”

“ด้วยเหตุนี้ ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักจึงมีเรื่องน่าพิศวงเกิดขึ้นมากมาย! ทั้งให้กำเนิดโลกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ให้กำเนิดสิ่งพิสดารต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังมีอันตรายอีกด้วย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอาจจะสิ้นใจด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ร่างแยกเหล่านี้ของพวกเรายังดีหน่อย หากตายไป ก็แค่เสียร่างแยกไปก็เท่านั้นเอง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอธิบาย “ในภายหน้าเมื่อเจ้าเข้าไปบุกฝ่าก็จะเข้าใจเอง วังเทพจิตโลกานั้นไม่มีอันตรายอันใด แต่หุบเขาเขี้ยวหักกลับเต็มไปด้วยอันตราย! แต่ก็มีโอกาสเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นจำนวนมาก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย

‘หยวน’ ได้ทำให้ดินแดนจิตโลกากลายเป็นดินแดนของตนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงได้โยนสิ่งที่ได้จากการชนะศึกที่เขาไม่ได้ใช้ทิ้งไปอย่างนั้นหรือ

โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น มิใช่เพียงร่างเดียวอย่างนั้นหรือ

“อย่างราชันย์อนธการอมตะ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เคยไปยังหุบเขาเขี้ยวหักมาก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เขาแตกต่างกับพวกเรา ราชันย์อนธการอมตะสู้สุดชีวิตมาตลอด หมายจะกระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตอีกระดับชั้นหนึ่ง วิธีการของเขามีชื่อเสียงเรื่องความชั่วร้ายและอำมหิต หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป และทำให้เรื่องของเขาเสียหาย เช่นนั้นก็จะเป็นการขัดขวางเส้นทางการบำเพ็ญของเขา เกรงว่าเขาคงจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”

“ครั้งนี้เจ้าล่วงเกินปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในภายหน้าหากทำเช่นนี้ต่อไป ก็ยังอาจล่วงเกินราชันย์อนธการอมตะซึ่งน่ากลัวกว่านี้เข้าด้วย ไม่แน่ว่า เจ้าอาจจะล่วงเกินสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่มีลูกไม้โหดร้ายกว่านี้เข้าอีกสักคนสองคนก็เป็นได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ต่อให้เจ้าสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เจ้าก็ขัดขวางพวกเขาไม่ได้อยู่ดี”

“หากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็สามารถขัดขวางได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “เดิมทีการขัดขวางสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็เหนือกว่าขอบเขตที่พลังของข้าในตอนนี้จะสามารถทำได้อยู่แล้ว”

“ระวังหน่อยล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามิได้พูดให้มากความอีกต่อไป

******

เวลาล่วงเลยไป

หลังจากไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ออกไปท่องภายนอกอีก หลังจากผ่านศึกใหญ่มาสองครั้ง สังหารจอมเคารพคนหนึ่งและมารร้ายระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีอารมณ์พลุ่งพล่านมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้สุราสกุลฉวีมาแล้วดื่มอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขาก็เข้าใจวิถีอากาศในรูปแบบใหม่ๆ ท่าไม้ตายใหม่กระบวนหนึ่งกำลังบ่มเพาะขึ้นภายในใจของเขา

เขาต้องการสงบสติอารมณ์ เพื่อที่จะได้ไตร่ตรองและรับรู้

คิดจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ส่วนการอาศัยความเข้าใจที่แตกต่างกันไปคิดค้นกระบวนท่าที่แตกต่างกันขึ้นมาก็เป็นการสั่งสมอย่างหนึ่ง ซึ่งการสั่งสมนั้นจะยิ่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะบรรลุ

……

หลังจากเยี่ยมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเพียงไม่กี่เดือน ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ส่งรายงานมาอีกฉบับหนึ่ง

“การบูชาโลหิต เมืองอันหยากู่รึ”

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบได้รับรายงาน แววอาฆาตก็ผุดขึ้นมาในดวงตา

ตอนนั้นเขากลับชาติมาจุติยังดินแดนจิตโลกา และร่อนลงมายัง ‘เมืองอัคคีโชติ’ ก็เคยประสบกับการบูชาโลหิตมาก่อน ครั้งนั้นเขากระโดดออกมา และใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาว! ท้ายที่สุดเมืองอัคคีโชติก็พ้นจากหายนะทั้งปวงได้

บัดนี้…

มีการบูชาโลหิตอีกแล้วหรือ

“เฮอะ” อากาศตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงปริออกเป็นรอยแยกสีดำทะมึนสายแล้วสายเล่า จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านรอยแยกมุ่งหน้าไปอีกฝั่งหนึ่ง

*******

เดิมทีการบูชาโลหิตในเมืองแห่งหนึ่งก็พบเห็นได้บ่อยทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอยู่แล้ว เมื่อผ่านการบูชาโลหิต ในภายหลังเมื่อเผชฺญกับลูกไม้อื่นๆ ก็สามารถสกัดเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาได้ นี่คือสิ่งที่สามารถเทียบได้กับ ‘แก่นแท้อลวน’ ซึ่งมีประโยชน์ต่อวิญญาณเป็นอย่างมาก ส่วนผู้ที่สามารถสกัดแก่นวิญญาณโลหิตออกมาได้นั้น…แต่ละคนล้วนแต่เป็นมารร้ายที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วดินแดนจิตโลกาซึ่งผ่านการทดลองมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เช่นเจ้าลัทธิเหยียนโม๋ ก็รู้จักสกัดและหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิตขึ้นมา

แม้จะพบเห็นได้บ่อย…แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองแห่งหนึ่ง อายุขัยของผู้บำเพ็ญก็ยาวนานมาก ดังนั้นการบูชาโลหิตในดินแดนจิตโลกาก็ต้องห่างไประยะหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง ต่อให้เป็นระดับอย่าง ‘รัฐประกายเพลิง’ ซึ่งมีการบูชาโลหิตในตัวเมืองมากมายอย่างยิ่ง ก็ต้องนานแสนนานจึงจะมีสักครั้ง เพราะต้องให้เวลาพวกเขาวิวัฒน์และเติบโตด้วย

“ไม่”

“สู้สุดชีวิตกับพวกเขาก็แล้วกัน”

เมืองอันหยากู่ตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกันหมด

บรรดาชาวเมืองนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้น มองดูกองกำลังมารร้ายกองแล้วกองเล่าที่รวมตัวกันขึ้นมา ในบรรดาชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนมีเด็กน้อยที่หวาดผวาเสียจนปล่อยโฮออกมา มีผู้บำเพ็ญที่หมายจะสู้สุดชีวิตอย่างสิ้นหวังเพื่อคนในครอบครัว บ้างก็คิดเอาชีวิตรอด บ้างก็มีผู้ที่คลุ้มคลั่งไป…ความวุ่นวายต่างๆ ‘เมืองอันหยากู่’ แห่งนี้เป็นตัวเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองอัคคีโชติอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน

มิใช่ตัวเมืองทั้งหมดที่จะโชคดีถึงเพียงนั้น ที่ผู้บำเพ็ญในเมืองจะมียอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์เหมือน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ในตอนนั้น

ส่วนจะบังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมืองพอดีน่ะหรือ เรื่องบังเอิญเช่นนี้ก็พบเห็นได้ยากนัก

“ฟิ้ว”

ณ จวนแห่งหนึ่งภายในเมืองอันหยากู่ รอยแยกสีดำกะพริบวาบ บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น รูปโฉมเปลี่ยนแปลงไป ดูเฉียบคมมากขึ้น กลิ่นอายก็เยียบเย็นขึ้น

มิได้บังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมือง แต่กลับมีคนผู้หนึ่งชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาที่นี่เอง

“ถึงกับกล้าเข่นฆ่าชาวบ้านนับล้านล้านคนในตัวเมืองแห่งหนึ่ง เจ้าและคนอื่นๆ ล้วนสมควรตาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงดังก้อง

เสียงนั้นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

ดังก้องไปทั่วทุกตารางนิ้วของเมืองอันหยากู่ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองอันหยากู่ซึ่งเดิมทีตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและสิ้นหวังต่างก็ได้ยินกันทั่ว มารร้ายเหล่านั้นก็ได้ยินเช่นกัน แต่ละตนพากันสะดุ้งโหยง

ในใจของบรรดาชาวบ้านภายในเมืองต่างก็เกิดความหวังขึ้นมา!

“ผู้ขัดขวางการบูชาโลหิตในตัวเมืองเกาะจันปาก็ถือเป็นศัตรูของเกาะจันปาของข้า” ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลางควบคุมขวดวิญญาณอยู่กลางอากาศเหลือบมองลงไปยังต้นเสียงดังก้องเบื้องล่าง

เกาะจันปา…

ประมุขเกาะจันปาก็รู้จักการเก็บรวบรวมแก่นวิญญาณโลหิต เขาเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เพียงแต่ว่าไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเท่านั้นเอง

“เป็นศัตรูหรือ เฮอะ!”

แค่นเสียงคราหนึ่ง

ฟิ้ว!

เหนือฟากฟ้าทั่วทั้งเมืองอันหยากู่ราวกับกระจกที่แตกร้าว มีรอยแยกหลายสายปรากฏขึ้น รอยแยกแต่ละสายพาดผ่านท้องฟ้ากว่าครึ่งของเมืองอันหยากู่ บ้างก็ทะลุผ่านกองกำลังมารร้ายทั้งกอง บ้างก็ทะลุผ่านมารร้ายขั้นอลวนตนหนึ่ง แม้แต่มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งอยู่กลางอากาศตนนั้นก็ถูกรอยแยกสายหนึ่งทะลุผ่านไป…

รอยแยกบิดเบี้ยวอันอัปลักษณ์ ปกคลุมแทบจะทั่วฟากฟ้าเหนือเมืองอันหยากู่

เพียงแต่ว่ามารร้ายทั้งหมดกลับตายไปจนสิ้นในพริบตาเดียว!

เทพจักรวาลแห่งเกาะจันปาคนหนึ่งซึ่งถือสมบัติลับสำแดงการปิดผนึกเพื่อตัดขาดอยู่ภายนอก เขาหวาดผวาเสียจนหน้าซีดขาว “กฎเกณฑ์อันสูงส่งกดดันดินแดนจิตโลกาหนักหน่วงเพียงใด กระบวนท่าที่สำแดงออกมากลับมีขอบเขตสามารถปกคลุมเมืองแห่งหนึ่งได้ นี่เป็นพลังขั้นสุดยอดอย่างแท้จริง! นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณอีกด้วย เป็นผู้ใดกัน ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน”

“ปัง”

ทันใดนั้นการปิดผนึกตัดขาดที่เขาสำแดงออกมาก็พลันสั่นสะท้านคราหนึ่งอย่างน่าประหลาด การปิดผนึกตัดขาดพลันมีหลุมใหญ่หลุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นร่างกายของเทพจักรวาลคนนี้ก็สั่นเครือ ดวงตาของเขาเบิกโพลงจนแทบกลอกกลิ้ง จากนั้นก็มลายหายไปราวกับเถ้าธุลีอย่างไรอย่างนั้น

มารร้ายของเกาะจันปาที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ล้วนถูกทำลายไปจนสิ้น!

“ข้าทำอะไรประมุขเกาะจันปามิได้ แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่ทำการบูชาโลหิต ข้าก็จะสังหารมัน สังหารสักแปดครั้งสิบครั้ง ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าทำการบูชาโลหิตอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นเหนือบริเวณที่เทพจักรวาลผู้นั้นสิ้นใจไปพลางมองดูด้วยสายตาเยียบเย็น จากนั้นรอยแยกสีดำด้านข้างก็กะพริบวาบ แล้วเขาก็อันตรธานไป

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังห้องเงียบของตนในเมืองหิมะเหิน

ภายในห้องเงียบ ธูปยังคงแผดเผาไป กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไป แววอาฆาตอันคุกรุ่นค่อยๆ สงบลง เขาก็ค่อยๆ บำเพ็ญต่อไป

สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ทำไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเขาก็เท่านั้นเอง

 …………………………………..