ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าวว่า “ในตำนานบอกว่าตอนนั้นมีโอกาสอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งมีหวังจะได้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! ดังนั้นก่อนหน้าสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งก็เคยมีสงครามครั้งใหญ่ ครั้งนั้นราชันย์อนธการอมตะแย่งชิงโอกาสมาไว้ในมือได้ จากนั้นก็จากดินแดนจิตโลกาไป แล้วก้าวไปบนเส้นทางการโจมตีเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เพียงแต่คืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป บัดนี้เขาก็กลับมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการโจมตีล้มเหลว”
“เขาไปโจมตีที่ไหนเพื่อให้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว หยวนอาจจะรู้ก็ได้กระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เหมือนข้าจะไม่เห็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์เลยขอรับ”
“ฮ่าฮ่า ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่ามาก อาจารย์ของเจ้าอย่างข้าก็ค่อยๆ รู้เรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไป” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้ม “ทั้งดินแดนจิตโลกา วังเทพจิตโลกามีการชี้แนะบางคนจนสำเร็จเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้ว่ากันว่าพวกเขาล้วนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งทั้งสิ้น เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งซึ่งเหมาะสมกับตนเองสักวิชาหนึ่งนั้นเพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนคลุ้มคลั่งได้ มันยาหาได้ยากกว่าสมบัติลับอันสูงส่งเสียอีก! นอกจากนี้แล้ว…ก็มีแต่สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาอย่าง ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ เท่านั้นจึงจะเป็นสถานที่ที่มีโอกาสระดับยอดซ่อนอยู่มากมายอย่างแท้จริง!
“ยอดเขาที่สูงที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักเหมือนกับฟันที่หักไปครึ่งหนึ่งถูกต้องหรือไม่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เรื่องนี้เขารู้ดี!
ก็เพราะยอดเขาขนาดมหึมาที่เหมือนกับฟันที่หักไปนั่นเอง จึงถูกตั้งชื่อว่าหุบเขาเขี้ยวหัก ความกว้างขวางของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเท่ากับรัฐโบราณคิมหันตวายุสามแห่งเลยทีเดียว ที่รู้กันทั่วไปนั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่สิ้นใจไปในนั้นมีอยู่สองท่านด้วยกัน
“โครงกระดูกและซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมิใช่เพียงร่างเดียวที่ถูกโยนทิ้งไว้ในหุบเขาเขี้ยวหัก”
“ด้วยเหตุนี้ ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักจึงมีเรื่องน่าพิศวงเกิดขึ้นมากมาย! ทั้งให้กำเนิดโลกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ให้กำเนิดสิ่งพิสดารต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังมีอันตรายอีกด้วย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอาจจะสิ้นใจด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ร่างแยกเหล่านี้ของพวกเรายังดีหน่อย หากตายไป ก็แค่เสียร่างแยกไปก็เท่านั้นเอง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอธิบาย “ในภายหน้าเมื่อเจ้าเข้าไปบุกฝ่าก็จะเข้าใจเอง วังเทพจิตโลกานั้นไม่มีอันตรายอันใด แต่หุบเขาเขี้ยวหักกลับเต็มไปด้วยอันตราย! แต่ก็มีโอกาสเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นจำนวนมาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย
‘หยวน’ ได้ทำให้ดินแดนจิตโลกากลายเป็นดินแดนของตนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงได้โยนสิ่งที่ได้จากการชนะศึกที่เขาไม่ได้ใช้ทิ้งไปอย่างนั้นหรือ
โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น มิใช่เพียงร่างเดียวอย่างนั้นหรือ
“อย่างราชันย์อนธการอมตะ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เคยไปยังหุบเขาเขี้ยวหักมาก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เขาแตกต่างกับพวกเรา ราชันย์อนธการอมตะสู้สุดชีวิตมาตลอด หมายจะกระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตอีกระดับชั้นหนึ่ง วิธีการของเขามีชื่อเสียงเรื่องความชั่วร้ายและอำมหิต หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป และทำให้เรื่องของเขาเสียหาย เช่นนั้นก็จะเป็นการขัดขวางเส้นทางการบำเพ็ญของเขา เกรงว่าเขาคงจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
“ครั้งนี้เจ้าล่วงเกินปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในภายหน้าหากทำเช่นนี้ต่อไป ก็ยังอาจล่วงเกินราชันย์อนธการอมตะซึ่งน่ากลัวกว่านี้เข้าด้วย ไม่แน่ว่า เจ้าอาจจะล่วงเกินสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่มีลูกไม้โหดร้ายกว่านี้เข้าอีกสักคนสองคนก็เป็นได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ต่อให้เจ้าสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เจ้าก็ขัดขวางพวกเขาไม่ได้อยู่ดี”
“หากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็สามารถขัดขวางได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “เดิมทีการขัดขวางสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็เหนือกว่าขอบเขตที่พลังของข้าในตอนนี้จะสามารถทำได้อยู่แล้ว”
“ระวังหน่อยล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามิได้พูดให้มากความอีกต่อไป
******
เวลาล่วงเลยไป
หลังจากไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ออกไปท่องภายนอกอีก หลังจากผ่านศึกใหญ่มาสองครั้ง สังหารจอมเคารพคนหนึ่งและมารร้ายระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีอารมณ์พลุ่งพล่านมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้สุราสกุลฉวีมาแล้วดื่มอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขาก็เข้าใจวิถีอากาศในรูปแบบใหม่ๆ ท่าไม้ตายใหม่กระบวนหนึ่งกำลังบ่มเพาะขึ้นภายในใจของเขา
เขาต้องการสงบสติอารมณ์ เพื่อที่จะได้ไตร่ตรองและรับรู้
คิดจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ส่วนการอาศัยความเข้าใจที่แตกต่างกันไปคิดค้นกระบวนท่าที่แตกต่างกันขึ้นมาก็เป็นการสั่งสมอย่างหนึ่ง ซึ่งการสั่งสมนั้นจะยิ่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะบรรลุ
……
หลังจากเยี่ยมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเพียงไม่กี่เดือน ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ส่งรายงานมาอีกฉบับหนึ่ง
“การบูชาโลหิต เมืองอันหยากู่รึ”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบได้รับรายงาน แววอาฆาตก็ผุดขึ้นมาในดวงตา
ตอนนั้นเขากลับชาติมาจุติยังดินแดนจิตโลกา และร่อนลงมายัง ‘เมืองอัคคีโชติ’ ก็เคยประสบกับการบูชาโลหิตมาก่อน ครั้งนั้นเขากระโดดออกมา และใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาว! ท้ายที่สุดเมืองอัคคีโชติก็พ้นจากหายนะทั้งปวงได้
บัดนี้…
มีการบูชาโลหิตอีกแล้วหรือ
“เฮอะ” อากาศตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงปริออกเป็นรอยแยกสีดำทะมึนสายแล้วสายเล่า จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านรอยแยกมุ่งหน้าไปอีกฝั่งหนึ่ง
*******
เดิมทีการบูชาโลหิตในเมืองแห่งหนึ่งก็พบเห็นได้บ่อยทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอยู่แล้ว เมื่อผ่านการบูชาโลหิต ในภายหลังเมื่อเผชฺญกับลูกไม้อื่นๆ ก็สามารถสกัดเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาได้ นี่คือสิ่งที่สามารถเทียบได้กับ ‘แก่นแท้อลวน’ ซึ่งมีประโยชน์ต่อวิญญาณเป็นอย่างมาก ส่วนผู้ที่สามารถสกัดแก่นวิญญาณโลหิตออกมาได้นั้น…แต่ละคนล้วนแต่เป็นมารร้ายที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วดินแดนจิตโลกาซึ่งผ่านการทดลองมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เช่นเจ้าลัทธิเหยียนโม๋ ก็รู้จักสกัดและหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิตขึ้นมา
แม้จะพบเห็นได้บ่อย…แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองแห่งหนึ่ง อายุขัยของผู้บำเพ็ญก็ยาวนานมาก ดังนั้นการบูชาโลหิตในดินแดนจิตโลกาก็ต้องห่างไประยะหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง ต่อให้เป็นระดับอย่าง ‘รัฐประกายเพลิง’ ซึ่งมีการบูชาโลหิตในตัวเมืองมากมายอย่างยิ่ง ก็ต้องนานแสนนานจึงจะมีสักครั้ง เพราะต้องให้เวลาพวกเขาวิวัฒน์และเติบโตด้วย
“ไม่”
“สู้สุดชีวิตกับพวกเขาก็แล้วกัน”
เมืองอันหยากู่ตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกันหมด
บรรดาชาวเมืองนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้น มองดูกองกำลังมารร้ายกองแล้วกองเล่าที่รวมตัวกันขึ้นมา ในบรรดาชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนมีเด็กน้อยที่หวาดผวาเสียจนปล่อยโฮออกมา มีผู้บำเพ็ญที่หมายจะสู้สุดชีวิตอย่างสิ้นหวังเพื่อคนในครอบครัว บ้างก็คิดเอาชีวิตรอด บ้างก็มีผู้ที่คลุ้มคลั่งไป…ความวุ่นวายต่างๆ ‘เมืองอันหยากู่’ แห่งนี้เป็นตัวเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองอัคคีโชติอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน
มิใช่ตัวเมืองทั้งหมดที่จะโชคดีถึงเพียงนั้น ที่ผู้บำเพ็ญในเมืองจะมียอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์เหมือน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ในตอนนั้น
ส่วนจะบังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมืองพอดีน่ะหรือ เรื่องบังเอิญเช่นนี้ก็พบเห็นได้ยากนัก
“ฟิ้ว”
ณ จวนแห่งหนึ่งภายในเมืองอันหยากู่ รอยแยกสีดำกะพริบวาบ บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น รูปโฉมเปลี่ยนแปลงไป ดูเฉียบคมมากขึ้น กลิ่นอายก็เยียบเย็นขึ้น
มิได้บังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมือง แต่กลับมีคนผู้หนึ่งชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาที่นี่เอง
“ถึงกับกล้าเข่นฆ่าชาวบ้านนับล้านล้านคนในตัวเมืองแห่งหนึ่ง เจ้าและคนอื่นๆ ล้วนสมควรตาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงดังก้อง
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ดังก้องไปทั่วทุกตารางนิ้วของเมืองอันหยากู่ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองอันหยากู่ซึ่งเดิมทีตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและสิ้นหวังต่างก็ได้ยินกันทั่ว มารร้ายเหล่านั้นก็ได้ยินเช่นกัน แต่ละตนพากันสะดุ้งโหยง
ในใจของบรรดาชาวบ้านภายในเมืองต่างก็เกิดความหวังขึ้นมา!
“ผู้ขัดขวางการบูชาโลหิตในตัวเมืองเกาะจันปาก็ถือเป็นศัตรูของเกาะจันปาของข้า” ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลางควบคุมขวดวิญญาณอยู่กลางอากาศเหลือบมองลงไปยังต้นเสียงดังก้องเบื้องล่าง
เกาะจันปา…
ประมุขเกาะจันปาก็รู้จักการเก็บรวบรวมแก่นวิญญาณโลหิต เขาเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เพียงแต่ว่าไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเท่านั้นเอง
“เป็นศัตรูหรือ เฮอะ!”
แค่นเสียงคราหนึ่ง
ฟิ้ว!
เหนือฟากฟ้าทั่วทั้งเมืองอันหยากู่ราวกับกระจกที่แตกร้าว มีรอยแยกหลายสายปรากฏขึ้น รอยแยกแต่ละสายพาดผ่านท้องฟ้ากว่าครึ่งของเมืองอันหยากู่ บ้างก็ทะลุผ่านกองกำลังมารร้ายทั้งกอง บ้างก็ทะลุผ่านมารร้ายขั้นอลวนตนหนึ่ง แม้แต่มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งอยู่กลางอากาศตนนั้นก็ถูกรอยแยกสายหนึ่งทะลุผ่านไป…
รอยแยกบิดเบี้ยวอันอัปลักษณ์ ปกคลุมแทบจะทั่วฟากฟ้าเหนือเมืองอันหยากู่
เพียงแต่ว่ามารร้ายทั้งหมดกลับตายไปจนสิ้นในพริบตาเดียว!
เทพจักรวาลแห่งเกาะจันปาคนหนึ่งซึ่งถือสมบัติลับสำแดงการปิดผนึกเพื่อตัดขาดอยู่ภายนอก เขาหวาดผวาเสียจนหน้าซีดขาว “กฎเกณฑ์อันสูงส่งกดดันดินแดนจิตโลกาหนักหน่วงเพียงใด กระบวนท่าที่สำแดงออกมากลับมีขอบเขตสามารถปกคลุมเมืองแห่งหนึ่งได้ นี่เป็นพลังขั้นสุดยอดอย่างแท้จริง! นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณอีกด้วย เป็นผู้ใดกัน ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน”
“ปัง”
ทันใดนั้นการปิดผนึกตัดขาดที่เขาสำแดงออกมาก็พลันสั่นสะท้านคราหนึ่งอย่างน่าประหลาด การปิดผนึกตัดขาดพลันมีหลุมใหญ่หลุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นร่างกายของเทพจักรวาลคนนี้ก็สั่นเครือ ดวงตาของเขาเบิกโพลงจนแทบกลอกกลิ้ง จากนั้นก็มลายหายไปราวกับเถ้าธุลีอย่างไรอย่างนั้น
มารร้ายของเกาะจันปาที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ล้วนถูกทำลายไปจนสิ้น!
“ข้าทำอะไรประมุขเกาะจันปามิได้ แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่ทำการบูชาโลหิต ข้าก็จะสังหารมัน สังหารสักแปดครั้งสิบครั้ง ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าทำการบูชาโลหิตอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นเหนือบริเวณที่เทพจักรวาลผู้นั้นสิ้นใจไปพลางมองดูด้วยสายตาเยียบเย็น จากนั้นรอยแยกสีดำด้านข้างก็กะพริบวาบ แล้วเขาก็อันตรธานไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังห้องเงียบของตนในเมืองหิมะเหิน
ภายในห้องเงียบ ธูปยังคงแผดเผาไป กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไป แววอาฆาตอันคุกรุ่นค่อยๆ สงบลง เขาก็ค่อยๆ บำเพ็ญต่อไป
สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ทำไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเขาก็เท่านั้นเอง
…………………………………..