สายลมราตรีที่โชยพัดกำเนิดมาจากปีกใหญ่โตสีดำ พัดพาความศักดิ์สิทธิ์และแสงกระจายไป ตัดขาดการมองเห็นและสัมผัสทั้งมวล นำมาซึ่งความมืดมนและอำนาจอันบริสุทธิ์
“เสียงร้องของหงส์เยาว์วัยเหนือล้ำกว่าเสียงหงส์ชรา…สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเรื่องของอนาคต”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองสวีโหย่วหรงในมือของนางพลางกล่าวอย่างเฉยชา
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเข้ามาในความมืดมิดนี้ได้ เว้นแต่นางจะอนุญาต อย่างเช่นจุดสีแดงนี้
ม่ออวี่ก้มหน้า คุกเข่าอยู่นอกตำหนัก ไม่กล้ามองเข้าไป
“ส่งนางกลับไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อยืนยันแล้วว่าเฉินฉางเซิงตายค่อยปล่อยนางออกมา”
ได้ยินเสียงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ม่ออวี่ก็กล้าเงยหน้าขึ้นในที่สุด นางต้องการจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูด
รถไม้ไผ่ถูกจัดเตรียมไว้ และแพะดำก็เดินออกมาจากแห่งใดแห่งหนึ่ง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปที่แพะดำ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้า
ล้อรถไม้ไผ่หมุนไปบนพื้นหินสีเทา เคลื่อนออกจากวังหลวงไปช้าๆ
ม่ออวี่นั่งอยู่ข้างใน มองไปที่สวีโหย่วหรงซึ่งหมดสติบนตักของนาง นางพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา
นางรู้สึกเสียใจกับสวีโหย่วหรง และกับเฉินฉางเซิงด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนว่าการตายของเฉินฉางเซิงจะเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว
อันที่จริง นางเองก็เสียใจเช่นกัน
เป็นเวลานานแล้วที่นางไม่ได้ไปยังสำนักฝึกหลวงหรือได้พบกับเฉินฉางเซิง กระนั้นนางก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องไป ต่อให้เฉินฉางเซิงตาย นางก็ไม่มีเหตุผลให้เสียใจ ครั้นคิดเรื่องนี้ นางก็เศร้ายิ่งกว่าเดิม
รถไม้ไผ่เหมือนจะเคลื่อนไปอย่างช้าๆ แต่แท้จริงกลับเคลื่อนตัวด้วยความเร็วหาใดเปรียบและมีความประหลาดยากบรรยาย แม้ว่าจะไม่มีคนเดินถนนมากนัก แต่ก็มีคนมากมายตามหาตัวเฉินฉางเซิง รวมถึงยอดฝีมือและทหารม้าที่ต้องการจะปกป้องเฉินฉางเซิง แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นรถคันนี้
ใช้เวลาไม่นานรถไม้ไผ่ก็ออกจากประตูทักษิณของจิงตู เข้าสู่ถนนหลวงที่ตรงไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
แทบจะในเวลาเดียวกันที่รถม้าออกจากจิงตู สวีโหย่วหรงก็ลืมตาขึ้น
มิใช่เพราะนางมีวิชาลับอันใด แต่เป็นประสงค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
นางลืมตาขึ้นแต่ไม่อาจเคลื่อนไหว แม้แต่กระดิกนิ้วก็ไม่ได้
เพราะปิ่นปักผมที่ปักบนผมสีดำขลับของนางอย่างลวกๆ
บางทีเรียกว่าปิ่นไม้อาจถูกต้องกว่า
ลำดับสามบนอันดับร้อยศาสตรา ปิ่นไม้หงส์น้อย
สวีโหย่วหรงไม่อาจเคลื่อนไหวแต่นางสามารถพูดได้
กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่านางไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูด ได้แต่จ้องมองเพดานรถอย่างเงียบงัน หากสายตานางมองทะลุไปได้ นางจะเห็นส่วนใดของท้องฟ้ากัน
“ทุกคนล้วนมีชะตาของตนเอง ชะตาของเขาไม่ดี ไม่มีอะไรที่จะทำได้ในเรื่องนี้” ม่ออวี่มองดูนางด้วยสายตาเห็นใจขณะกล่าว
สวีโหย่วหรงถอนสายตากลับมามองไปที่นาง กล่าวว่า “ข้าไม่รู้สึกว่าเขาจะตาย”
ม่ออวี่ย่อมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของเฉินฉางเซิงดี นางคิดในใจ ต่อให้ใต้เท้าสังฆราชปกป้องเขาจากจักรพรรดินีได้ เขาจะมีชีวิตรอดได้อีกสักกี่วัน
สวีโหย่วหรงดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่สำคัญบางอย่าง นางกล่าวอย่างสุขุม “ในเมื่อเป็นชะตาของเขา ก็ควรเป็นไปตามวิธีคิดของเขา ข้าอยากกันเขาออกจากโลก แต่เขาต้องการที่จะกลับไป วิถีสวรรค์ต้องการให้เขาตาย แต่เขาเลือกที่จะเผชิญหน้าความตายเพื่อเอาชีวิตรอด”
“เผชิญหน้าความตายเพื่อเอาชีวิตรอด?”
“เจ้ายังจำเรื่องของขุนพลเทพฮั่นชิงได้หรือไม่”
“จำได้”
“จักรพรรดิไท่จงเคยกล่าวไว้ คนที่เผชิญหน้าความตายเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นไม่ตายง่ายๆ”
……
……
เฉินฉางเซิงไม่ได้ขบคิดปัญหาชีวิตและความตาย เขาได้ทิ้งเรื่องชีวิตและความตายไปจากใจแล้ว
เขาออกจากวังหลวงมายังที่ที่เป็นความลับที่สุด หรืออาจเป็นที่ที่ธรรมดาที่สุด
โรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อนอกสุสานเทียนซู
ในตอนแรกเขาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานทีเดียว ในที่แห่งนี้เขาได้ทำความรู้จักกับถังซานสือลิ่วอย่างแท้จริง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีความหมายกับเขาอย่างมาก ชีวิตในจิงตูของเขาเริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ตอนนี้เขากลับมาที่นี่แล้ว อย่างแรกเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าเขาจะมาที่นี่ และเหตุผลที่สองก็คือเขาต้องการให้ช่วงสุดท้ายของชีวิตในจิงตูเริ่มต้นที่นี่
เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากวังหลวงได้ไม่นาน มีรถไม้ไผ่วิ่งออกจากวังหลวงไปพร้อมกับสวีโหย่วหรงที่อยู่ข้างใน
เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้ ศิษย์พี่อวี๋เหรินก็อยู่ที่สุสานเทียนซูตรงข้ามแม่น้ำ กำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงดาว
ในคืนนี้ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาต่างก็อยู่ใกล้อย่างมาก แต่เขากลับไม่รู้เลย พลังและความคิดทั้งหมดอยู่กับตัวเขา อยู่กับยาและของวิเศษที่เขาพกติดตัว วิชาต่างๆ ในห้วงแห่งจิต และกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนในฝัก
เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในลานบ้านเล็กๆ เริ่มปรับสภาพการบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใต้แสงดาว
ด้วยว่าเส้นลมปราณฉีกขาดทั้งหมด ปราณแท้ของเขาจึงถูกเอามาใช้ได้น้อยลงกว่าเมื่อสองปีก่อน อย่าว่าแต่เทียบกับระดับของผู้บำเพ็ญขั้นถอดจิตทั่วไปเลย ทว่าประกายแสงดาวที่กระจายอยู่ในร่างกายเป็นเสมือนภูเขาหิมะ ดูเหมือนกับเศษเสี้ยวที่กระจัดกระจายแต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาพบกับปัญหาในการทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ดูผิวเผินก็เหมือนกับว่าระดับการบำเพ็ญของเขายังหยุดอยู่แค่จุดสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี แต่เขาไม่สนใจเรื่องเส้นลมปราณที่ขาดอีกแล้ว เขาสามารถรวบรวมเขตแดนดวงดาวได้ในเวลาอันสั้น
อนึ่งก็คือเขาไม่สนใจเรื่องชีวิตอีกต่อไป เขาจะรวบรวมปราณแท้จำนวนมากเพื่อกลายเป็นยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวขั้นต้น
เขายังรู้เพลงกระบี่ วิชาตัวเบา และวิชาเต๋าอีกนับไม่ถ้วน
หลังจากเขาเข้าสู่ระดับทะลวงอเวจี คู่ต่อสู้ที่เขาพบเจอส่วนใหญ่ก็เป็นยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาว ย่างก้าวหยั่งเทวาแบบง่ายที่ช่วยให้เขาเอาตัวรอดมาหลายครั้งในอดีตไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป เมื่อเทียบกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากวิชานี้กับความเร็วของเขาในตอนนี้แล้ว ความแตกต่างมีเพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับวิชาธรรมดาอย่างเพลงกระบี่ร้อยบุปผา และกระบี่เจ็ดดาวอาจมีประโยชน์เมื่อพบกับศัตรูที่มีระดับเดียวกัน แต่ไม่ใช่กับการต่อสู้ในคืนนี้ วิชาเช่นนี้ล้วนไร้ประโยชน์ ไม่อาจเอามานับรวมได้
เขาสงบใจและครองจิตให้แจ่มใส ลบวิชากระบี่และวิชาเต๋ามากมาย เหลือไว้เพียงวิชาที่ทรงพลังที่สุด เฉียบคมที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในห้วงแห่งจิต เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน เพลงกระบี่แท้ของนิกายหลวง พลองพลิกขุนเขา กระบี่แสงชั่วพริบตา เพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า เพลงกระบี่ทลายทัพ…และสามกระบวนท่าที่ซูหลีสอน
เพลงกระบี่สันดาป เพลงกระบี่รอบรู้ เพลงกระบี่โง่งม
เหล่านี้คือวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินฉางเซิง
สำหรับยอดมือกระบี่ที่แท้จริง บางทีอาจไม่มีเพลงกระบี่ที่สูงหรือต่ำ แต่มีแค่ขนาดที่ต่างกัน
เพลงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงชำนาญที่สุดล้วนเป็นเพลงกระบี่ขนาดใหญ่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเพลงกระบี่ทั้งสามที่ซูหลีสอนให้ ในแง่ของความยืดหยุ่นและบรรยากาศล้วนยิ่งใหญ่ที่สุด
เพลงกระบี่ขนาดใหญ่หรือวิชาขนาดใหญ่ล้วนแต่สิ้นเปลืองปราณแท้และดวงจิตอย่างมาก ดวงจิตของเฉินฉางเซิงนั้นมั่นคงและแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีปราณแท้ปริมาณมหาศาล อย่างไรก็ตาม เขามีปัญหาเรื่องการนำปราณแท้มาใช้ จึงไม่อาจต่อสู้ได้นานนัก ในการต่อสู้มากมายที่ผ่านมา เขาพยายามทำให้จบลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ มีแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในการสอบใหญ่และในการต่อสู้โกลาหลในเมืองสวินหยาง เมื่อเขาไม่มีทางเลือก ก็ให้ตัวเองจมอยู่ในการดิ้นรนที่ขมขื่น ในความเป็นจริงแล้ว การต่อสู้พวกนั้นขมขื่นอย่างยิ่ง มีหลายโอกาสที่เขาเกือบจะพ่ายแพ้ใต้คมกระบี่ของคู่ต่อสู้
คืนนี้เขาบาดเจ็บหนัก หากฝืนใช้ปราณแท้แล้วติดขัด ก็เป็นการแน่นอนว่าเขาไม่อาจตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เขาจำต้องชนะในการโจมตีครั้งเดียว
เขาลืมตามองไปที่ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าราตรี เริ่มทำการคำนวณ
คนผู้นั้นไม่ได้เกิดมาอนาถา มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นภรรยาน้อยของขุนนางผู้ช่วยในกรมพิธีการ วัยเด็กไร้ซึ่งประสบการณ์ที่เจ็บปวดเกินทน ไม่เคยขาดแคลนอาหารหรือเสื้อผ้า หรือถูกภรรยาหลวงกลั่นแกล้ง แม้ว่าการสอบขุนนางของเขาจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรเช่นกัน อารมณ์ของคนผู้นั้นโหดเหี้ยมไร้ปรานีอย่างที่สุด ความแข็งแกร่งก็น่าเกรงขามยิ่งนัก ดวงจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ก่อตัวจากความไม่พอใจของคนนับล้านและความทุกข์ทรมานไร้ขอบเขต เขาเคยได้ประสบมาด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจต้านทานได้…
ข้อมูลข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในห้วงแห่งจิต เป็นเฉกเช่นดาวบนท้องฟ้า มีมากมายเกินคณนา ดูเหมือนจะเกาะกลุ่มกันมั่วๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์หาสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่กระนั้นดวงดาวเหล่านี้ก็เชื่อมโยงกัน มีเส้นที่มองไม่เห็นระหว่างกันก่อตัวเป็นแผนที่ดวงดาว และภายในนั้นก็จะพบเห็นความหมายที่ถูกซ่อนเอาไว้
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ
กระบี่ไร้ราคียังคงอยู่เงียบๆ ในซ่อนคม แต่เขาก็ได้ชักกระบี่ออกมาแล้ว
……
……
รถไม้ไผ่เคลื่อนไปตามถนนหลวงสู่แดนใต้ แพะดำที่ลากรถนั้นย่อมไม่รู้ว่าเกิดสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงขึ้นในจิงตู มันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในวังหลวงและอยากออกมาเดินเล่น ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่บนต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงริมถนน แต่แพะดำพบว่าความสดชื่นจากหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้านั้นน่าสนใจทีเดียว มันเดินไปหยุดไปเช่นนี้ ประหนึ่งว่าไม่ได้เคลื่อนที่เร็วเท่าไรนัก แต่ในระยะดื่มชาถ้วยเดียว รถคันนี้ก็เดินทางจากวังหลวงมาถึงเขาเสียวซาน ด้วยความเร็วเท่านี้ บางทีพวกเขาอาจไปถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในบ่ายวันนี้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เคลื่อนสายตาจากเขาเสียวซานไปทางตะวันออก จนถึงทุ่งหญ้าที่เทือกเขาสิ้นสุด ที่ใจกลางทุ่งหญ้าเป็นเมืองใหญ่ กำแพงเมืองทั้งสูงทั้งหนา เป็นภาพเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าจิงตู มันคือเมืองหลวงในนามของโลกนี้ ลั่วหยาง
ตลาดฉังเล่อในเมืองลัวหย่างอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของเมือง มีจวนอ๋องใหญ่โตที่หรูหราหาใดเปรียบ เซียงอ๋อง ไท่อ๋อง…ผู้คนมากมายที่เป็นบุตรในนามของนาง เช่นเดียวกับหลานอีกหลายคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ แขนโอบกอดนักร้องสาว ปล่อยตัวตามแต่ใจปรารถนา นางไม่รู้ว่าพวกเขาทำเพื่อให้นางกับขุนนางของนางดูหรือไม่ แต่นางก็ไม่สน
นางถอนสายตากลับมาที่จิงตู เห็นชายชรากำลังรดน้ำต้นไม้ในพระราชวังหลี ญาติของนางที่อยู่ในเรือนใหญ่ เทียนในสวนส้มจี๊ดที่ยังไม่ดับไป หิมะใต้สะพานหน่ายเหอ ต้นไห่ถังในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง และชายหนุ่มกางร่มเดินไปยังทิศทางนั้น
นางยืนอยู่บนแท่นกานลู่ ทั่วทั้งโลกอยู่ใต้เท้าของนาง แต่ในสายตาของนาง มีเพียงแค่คนผู้นั้นที่นางไม่เห็น
สิบกว่าปีก่อน นางเชื่อว่าคนผู้นี้ตายไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่ จากวันที่นางยืนยันเรื่องนี้ รอยร้าวก็เกิดขึ้นระหว่างนางกับสังฆราช นอกจากนางกับสังฆราช ก็ไม่มีใครในโลกรับรู้เรื่องนี้ พายุในจิงตูยังคงอยู่ในการควบคุม เฉกเช่นสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นเหมือนเดิม
นางเข้าใจดีว่าคนผู้นี้ได้ปล่อยเฉินฉางเซิงเข้ามาในจิงตูเพื่อเปิดเผยความลับนี้ เพื่อให้นางกับสังฆราชเกิดความระแวงซึ่งกันและกัน แต่นางก็ได้แต่ยอมรับมัน เพราะเวลาไม่อาจย้อนกลับ เหตุการณ์ที่สำนักฝึกหลวงได้เกิดไปแล้ว และสังฆราชก็ก็ไม่อาจไว้ใจนางว่าจะไม่ขุ่นเคืองในเรื่องนี้
นับจากการพบกันครั้งแรกที่สวนร้อยหญ้า นางก็ไม่เคยชอบคนผู้นั้น ถึงขนาดรังเกียจเขา จนเมื่อนางรู้ว่าเขาไม่เพียงเป็นซางสิงโจวแต่ยังเป็นนักพรตจี้อีกด้วย นางก็เริ่มเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง เรื่องที่นางไม่เข้าใจในตอนนั้นในที่สุดก็ได้รับคำตอบ
นามซางสิงโจวนั้นเป็นตัวแทนที่ถูกต้องของนิกายหลวงและเป็นศัตรูที่ต่อต้านนาง
นามนักพรตจี้เป็นตัวแทนเจตนาจักรพรรดิไท่จง ความหวังที่ยังไม่บรรลุของเขา
นี่เป็นเหตุให้นางกังวล