ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางเห็นวีรบุรุษและผู้ยิ่งใหญ่มากมาย บ้างเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญมุ่งมั่น บ้างสุภาพเรียบร้อยมารยาทงดงาม บ้างห่วงใยใต้หล้าเวทนาคน นางพบเจอผู้มีพรสวรรค์และยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่สนใจแต่ตนเองหรือวางตัวอยู่เหนือโลก ไม่ก็เสพสุขกับชีวิตพร้อมครอบครัว ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีเพียงชายคนนั้นที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว แม้ว่านางจะสามารถไล่ตามระดับฝีมือของเขาได้ แม้กระทั่งแสดงความดูถูกดูแคลนหรือเหยียดหยามยามพูดถึงชายคนนั้น ทว่านางก็ต้องยอมรับว่ากระทั่งทุกวันนี้ ชื่อของชายคนนี้ก็ยังทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อยามที่นางได้พบเขาครั้งแรก นางยังเป็นเด็กสาวน่ารักสดใสผู้ไม่รู้เรื่องราวทางโลก ในขณะที่เขาเป็นยอดฝีมือที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุด เป็นบุตรแห่งสวรรค์ซึ่งถูกกำหนดให้ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยังมีชีวิตว่าเป็นยอดจักรพรรดิเหนือยุคสมัยทั้งปวง
“จักรพรรดิไท่จง เจ้าตายไปหลายปีแล้ว ยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบอีกหรือ”
นางเงยหน้ามองสถานที่ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีดวงดาวที่ส่องสว่างมากที่สุดบนท้องฟ้าอยู่ หลังจากเงียบงันไประยะหนึ่งนางก็ขมวดคิ้ว
……
……
ค่ำคืนต้นฤดูสารทนี้เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหวนคิดถึงความหลังขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ในยามที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่คิดถึงเรื่องจักรพรรดิไท่จง โจวทงก็คิดถึงอดีตเจ้าสำนักฝึกหลวงซางสิงโจว
โจวทงเป็นคนเลวบริสุทธิ์ ชื่นชอบความเจ็บปวดของศัตรูหรือแม้แต่มิตรสหาย แม้ว่านอกจากเซวียสิ่งชวนแล้วเขาก็ไม่มีใครที่เรียกได้ว่าเป็นสหายอีกก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนวิกลจริตที่มีสมองผิดปกติ ในทางกลับกัน เขาเป็นคนที่สมองปลอดโปร่งและคิดได้อย่างมีเหตุผลกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องเลวบริสุทธิ์
เพื่อที่จะรักษาชีวิตอันงดงามของตนต่อไป เขาจำเป็นต้องรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้ ต้องทำให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรมาสั่นคลอนบัลลังก์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้
ในตอนนี้คนที่จะทำให้บัลลังก์ของจักรพรรดินีสั่นคลอนได้มากที่สุดก็คือเฉินฉางเซิง
บางทีเขาอาจตายในอีกไม่กี่วัน แต่โจวทงก็ไม่อาจเสี่ยงอยู่เฉยรอให้มันเกิดขึ้นได้
นี่เป็นปัญหาที่ซางสิงโจว ราชวงศ์และผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่สร้างขึ้น เขารู้สึกว่าเขาพบทางออกของปัญหานี้แล้ว แต่ว่าเขาต้องเจอกับปัญหาเสียก่อน
เมื่อเขาครุ่นคิดวิธีจัดการปัญหานี้ เขาก็ยิ่งชื่นชมซางสิงโจวมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงขั้นนับถือ
โลกนี้คือโลกของผู้เข้มแข็ง คนผู้หนึ่งสามารถควบคุมลมฝน ปราชญ์ผู้หนึ่งสามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งโลก
ซางสิงโจวนั้นคู่ควรกับคำว่ายอดฝีมืออย่างที่สุด เป็นยอดปรมาจารย์ที่สืบทอดนิกายหลวงอย่างถูกต้อง แม้ว่าชื่อเสียงจะไม่มากนักและไม่เคยถูกจัดอันดับอยู่ในแปดมรสุม กระนั้นทุกคนก็รู้ดีว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพแล้วอย่างแน่นอน และการฝึกบำเพ็ญของเขาก็ลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่สาเหตุที่แท้จริงที่โจวทงนับถือซางสิงโจวก็คือแผนการอันล้ำลึกและสายตาที่ยาวไกล
ในวัดเก่าเมืองซีหนิง เขาเลี้ยงดูเฉินฉางเซิงมานานสิบห้าปี โดยไม่สอนอะไรให้เลย จากนั้นก็ส่งตัวมายังจิงตูและเขียนจดหมายถึงสังฆราช
เขายังมีชีวิตอยู่ ตอนแรกนี่คือความเมตตาที่สังฆราชมีต่อเขา ทว่าตอนนี้ได้กลายเป็นอาวุธของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สืบทอดนิกายหลวงทั้งสองก็ย่อมกลายเป็นอาวุธด้วยเช่นกัน เหมยลี่ซา ตัวแทนของกลุ่มหัวเก่าในนิกายหลวง ชายชราที่หวังอย่างสุดใจว่าราชวงศ์เฉินจะกลับคืนสู่บัลลังก์ ก็อาจจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินฉางเซิงมานานแล้ว ทำให้เขาเร่งรีบถึงเพียงนั้น เขาทุ่มเทมากมายเพื่อช่วยเหลือเฉินฉางเซิงให้เติบโตเร็วขึ้น จนสามารถกลายเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวงได้ในเวลาเพียงสองปี ด้วยวิธีนี้หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลงมือสังหารเฉินฉางเซิง นิกายหลวงก็ต้องปกป้องเขา พันธมิตรที่ไม่ได้เหนี่ยวแน่นมั่นคงนี้ก็จะพังทลายลงเป็นธรรมดา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะเสียผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุด และราชวงศ์เฉินก็จะได้กลับคืนสู่บัลลังก์!
เรื่องเล็กน้อยอย่างการส่งเฉินฉางเซิงมาจิงตูก็สามารถทำลายความสงบของต้าโจวที่ดำรงมานานเกือบยี่สิบปีได้!
ทุกคนพูดว่านักปราชญ์มองโลกเหมือนกับกระดานหมาก และเดินหมากกันอย่างไม่คิดเสียดาย แต่ซางสิงโจวถึงกลับกล้าใช้นักปราชญ์เป็นตัวหมาก ใช้การสืบทอดนิกายหลวงเป็นอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ประสบการณ์ จิตใจ ต่างก็ถูกทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างแท้จริง!
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่โจวทงคิด เพราะเขาก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นเดียวกัน
ยิ่งเขานับถือซางสิงโจวมากเพียงไร ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเสียดาย เสียดายที่เขาไม่ได้สังหารเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้
“ที่ข้าต้องการไม่ใช่วิธีการแต่เป็นผลลัพธ์”
เขายืนบนแท่นหิน มองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาที่คุกเข่าอยู่ในลาน เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะมีความคิดเห็นเช่นใด ข้าแค่ต้องการเห็นเขาตาย”
เขาไม่ใช่พวกโรคจิต ในยามที่เขาสังหารหรือทรมานเหล่าขุนนาง เขาไม่แสร้งเป็นสุภาพอ่อนโยนหรือส่งยิ้มเอียงอายออกมา เมื่อเขายิ้ม ส่วนใหญ่เป็นเพราะเรื่องต่างๆ เป็นไปในแบบที่ทำให้เขาพูดไม่ออก เมื่อพูดไม่ออกก็ทำได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นดังเช่นในตอนนี้
“เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นคนมีชื่อเสียงผู้หนึ่ง และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนป่วยคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าพวกเจ้าไม่มีใครสักคนที่หาเขาพบอย่างนั้นหรือ”
โจวทงมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาด้านล่าง ไม่ได้กล่าวสิ่งที่กำลังคิดออกไปแต่อย่างใด
ที่เขารู้ก็คือเฉินฉางเซิงเป็นคนที่กำลังจะตาย
ไม่ว่าเขาจะมีชื่อเสียง ป่วย หรือว่าใกล้ตาย เมื่อคิดดูแล้ว ก็ล้วนเป็นคนที่สามารถหาพบได้อย่างง่ายดาย
กรมอาญานั้นมีสายลับหลายพันคน สายข่าวนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็ยังหาคนผู้นั้นไม่พบแม้ว่าจะใช้เวลาไปแล้วครึ่งค่อนคืน
โจวทงอดยิ้มให้กับผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้
ครั้นเห็นรอยยิ้มบนหน้าของใต้เท้า ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่กรมอาญาคนใดในที่แห่งนี้จะรู้สึกสึกผ่อนคลาย ไม่มีใครกล้ายิ้มไปกับเขาด้วย ใบหน้าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นซีดขาว หมวกสีดำบนหัวไม่อาจปิดกั้นแสงดาวที่สาดส่องลงมาจากบนท้องฟ้า ทำให้สีหน้าของพวกเขาดูหดหู่อย่างยิ่ง
โจวทงหันไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มหายไปในยามที่เขากล่าวอย่างสุขุม “ราชสำนักจ่ายเงินเดือนให้เจ้าสูงที่สุด ข้าย่อมคาดหวังจากเจ้าสูงที่สุด”
เจ้าหน้าที่คนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมอาญา มีหน้าที่ด้านข่าวกรอง ปกติแล้วเขาสามารถเข้าถึงกรมกองต่างๆ รวมไปถึงนิกายหลวงได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เขาได้รับความเคารพไม่ใช่น้อย ทว่าตอนนี้ เมื่อเจ้านายโดยตรงกล่าวกับเขาอย่างเฉยเมย เขาก็ต้องตัวสั่นงันงกอย่างเสียมิได้
เมื่อคาดหวังเอาไว้สูง ความผิดหวังก็ย่อมสูงเป็นธรรมดา เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นใต้เท้าโจวทงต้องใช้วิธีการบางอย่างทำให้เขาไม่อาจลืมเลือนความล้มเหลวในคืนนี้ได้ไปตลอดกาล
มีเสียงดังขึ้น เป็นเสียงหักนิ้วมือ!
เขากลั้นใจหักนิ้วก้อยข้างซ้ายของตนเอง เขาเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดขาวไปกว่าเดิมและเสียงสั่น
“ผู้น้อยไร้ความสามารถ ข้าขอเวลาใต้เท้าอีกครึ่งชั่วยาม ข้าต้องพบคนผู้นั้นอย่างแน่นอน!”
โจวทงมองไปยังเจ้าหน้าที่คนนั้นสีหน้าไม่เปลี่ยนไป แต่เฉิงจวิ้นที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว ในสายตาของเขาการหักนิ้วก้อยนั้นไม่ได้พิสูจน์ความมุ่งมั่นเลยแม้แต่น้อย หากเป็นทหารม้าชุดแดงใต้การควบคุมของเขา เขาต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่ตัดแขนตัวเองอย่างแน่นอน
ในสายตาของเฉิงจวิ้น ใต้เท้าโจวทงนั้นมีเมตตาเกินไปที่พอใจกับการหักนิ้วเพียงนิ้วเดียว แต่ในสายตาของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่แห่งนี้ นี่เป็นคำเตือนที่ชัดเจนและน่ากลัวมาก พวกเจ้าหน้าที่แยกย้ายออกไป นำผู้ใต้บังคับบัญชาของตนกระจายไปทั่วจิงตูในความมืดและเริ่มทำการค้นหา การลงมือของพวกเขานั้นเร่งรีบและเป็นกังวลมากกว่าแต่ก่อน
“ใช้เวลาครึ่งค่อนคืนแต่ยังไม่ได้เบาะแสสักอย่าง แสดงว่าเขามีความสามารถในการปิดบังร่องรอย สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นถึงว่าที่สังฆราช”
เฉิงจวิ้นติดตามโจวทงเข้าไปในห้อง รินน้ำชาให้กับตัวเองถ้วยหนึ่ง ก่อนลดเสียงลงถาม “ในความเห็นของท่าน นอกเหนือจากการสุ่มค้นอย่างไร้จุดหมายแล้ว ไปค้นหาที่ที่เขาต้องการจะไปหลังจากออกจากสำนักฝึกหลวง แล้ววางกับดักเอาไว้ล่วงหน้าจะไม่ดีกว่าหรือ”
ลานบ้านเล็กๆ ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งแห่งนี้ มีใบชาล้ำค่าอยู่นับไม่ถ้วน แต่โจวทงดื่มเพียงต้าหงเผาจากแดนใต้เท่านั้น
ในตอนนี้ ชาที่อยู่ในกาก็คือต้าหงเผา ด้วยว่ายังต้มได้ไม่นานพอ น้ำชาที่รินออกมาจึงมีสีอ่อน
โจวทงมองดูชาสีอ่อนในถ้วยและกล่าว “หากเดาได้ว่าเขาจะไปที่ใด พระราชวังหลีคงไม่ร้อนรนอย่างเช่นตอนนี้”
เฉิงจวิ้นเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาในยามที่กล่าว “เช่นนั้นเราก็บีบให้เขาปรากฏตัว”
สายตาโจวทงยังจับจ้องไปยังถ้วยชาราวกับว่าหากจ้องมองนานพอจะทำให้น้ำชาสีเข้มขึ้นได้
ได้ยินคำแนะนำของเฉิงจวิ้น สีหน้าเขาก็มิได้เปลี่ยนไป เพียงส่งเสียง ‘ออ’ ออกมาอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็ถาม “ทำอย่างไรจึงจะบังคับเขาออกมาได้”
เมื่อเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องที่สุดในแปดพยัคฆ์ วิธีของเฉิงจวิ้นจึงเรียบง่ายและโหดเหี้ยมเสมอ
“ต่อให้เขาอยากอยู่ห่างจากพายุในจิงตู แต่ก็ยังมีคนที่เขาห่วงใย” เฉินจวิ้นกัดฟันและกล่าว “เราไปจับพวกนักเรียนสำนักฝึกหลวงมาสักสองสามคน จับพ่อค้าเร่บนตรอกไป๋ฮวา แล้วก็ตัดมือตัดเท้าโยนไปบนถนนวิหคเพลิง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สนใจ”
โจวทงพลันยิ้มออกมาราวกับว่าชาในถ้วนสีเข้มขึ้นมาจริงๆ
ต้าหงเผาที่สีเข้มและกลิ่นหอมนั้นดูราวกับโลหิต
ความโหดเหี้ยมชั่วร้ายใช่ว่าจะไร้ประสิทธิภาพ โจวทงจ้องมองไปที่ประตู ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหายไปในความมืด และเชื่อว่าในไม่ช้าความคิดอันบ้าคลั่งนี้จะกระจายไปทั่วจิงตูและหาทางไปถึงหูของเฉินฉางเซิงได้
“เจ้าไม่คิดหรือว่านี่จะเป็นการประกาศสงครามกับพระราชวังหลี ย้อนกลับไปตอนที่เฉินฉางเซิงมาที่นี่เพื่อขอคนคืน ทหารม้านิกายหลวงก็มาล้อมสถานที่ของข้าเอาไว้”
โจวทงยิ้มและถามเฉิงจวิ้น รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกล้ำ
เฉิงจวิ้นรู้ว่าโจวทงอยากรู้ว่าเขามุ่งมั่นเพียงใด
เขารู้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นเหมือนโจวทง หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สิ้นอำนาจ เขาก็มีแต่ตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงมายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งด้วยตัวเองในคืนนี้ ทิ้งความระมัดระวังตามปกติไป ส่งมอบทหารม้าชุดแดงไว้ใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่กรมอาญา
เขามองกลับไปที่โจวทง รักษาท่าทีอ่อนน้อมเอาไว้แต่พูดด้วยน้ำเสียงกล้าหาญ “เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เราก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายก้าวล้ำเข้ามาได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว!”
……
……
ไม่มีใครคาดคิดได้ว่าในตอนนี้ เฉินฉางเซิงได้กลับมายังสำนักฝึกหลวงแล้ว หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือกลับมายังถนนด้านนอกสำนักฝึกหลวง
เขาไม่ล่วงรู้เลยว่ามีการตัดสินใจที่จะใช้วิธีอันโหดเหี้ยมอยู่ภายในกรมอาญา
เขามายังตรอกไป๋ฮวาไม่ใช่เพื่อปกป้องนักเรียนสำนักฝึกหลวงและพ่อค้าเร่ในบริเวณนี้จากวิธีอันบ้าระห่ำของโจวทง แต่เพราะเขามีธุระต้องทำ
เขายืนอยู่ในเงามืดของตรอกไป๋ฮวา มองดูเงาร่างคนจากสำนักราชวังและพระราชวังหลีบนรถม้าที่ผ่านปากตรอกไปเป็นระยะๆ
ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนตระกูลเทียนไห่และพวกรุ่นใหม่ของนิกายหลวงต้องการข่มขู่สำนักฝึกหลวง จึงได้ใช้การประลองระหว่างสำนักส่งยอดฝีมือมากมายมาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ในตอนนั้นเขาก็สังเกตเห็นรถม้าที่ปากตรอก
ในทุกการประลองรถม้าคันนี้จะปรากฏขึ้นทุกครั้ง
รถม้านี้ไม่เคยมีเจตนาปกปิดตัวตนของมัน ทุกคนรู้ว่ามันมาจากกรมอาญา
แค่รู้นั้นไม่เพียงพอ เจ๋อซิ่วได้ไปตรวจสอบรถคันนั้น และข้อมูลที่ได้มานั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวเขาตอนนี้
……
……
ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งไม่ได้คับแคบเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วเป็นถนนตรงยาว สามารถขับขี่รถม้าสองคันเคียงกันไปได้ สำนักงานกรมอาญาก็มีขนาดใหญ่โตมาก นอกเหนือจากคุกอันชั่วร้ายแล้ว ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วน ลานบ้านอันโด่งดังที่มีดอกไห่ถังเบ่งบานนั้นอยู่ลึกที่สุด จากส่วนนอกของสำนักงานมาจนถึงที่แห่งนี้ต้องใช้เวลานานมากผ่านจุดตรวจมามากมายนับไม่ถ้วน
รถม้าที่กลับมาจากสำนักฝึกหลวงเดินทางเข้าสู่สำนักงานโดยตรง วิ่งไปตามถนนหินผ่านจุดตรวจต่างๆ หมาดำสามหัวที่น่ากลัวไม่ได้แสดงความผิดปกติอะไร ในที่สุด รถม้าก็หยุดลงที่ด้านนอกลานบ้าน
นี่ก็ดึกมากแล้วแต่ผู้คนมากมายในจิงตูกลับไม่อาจนอนหลับได้ เช่นเดียวกับคนในลานบ้านแห่งนี้
โจวทงและเฉิงจวิ้นนั้นนั่งดื่มชาอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรับรู้รสชาติที่แท้จริงของชาได้หรือไม่ด้วยสภาพอารมณ์ในตอนนี้
เมื่อเสียงดังมาจากภายนอกลานบ้าน อารมณ์เฉิงจวิ้นก็ดีขึ้นมาบ้าง
รถม้าคนนี้นำข่าวสถานการณ์ล่าสุดจากบริเวณรอบสำนักฝึกหลวงมา เป็นข่าวที่เขาสนใจเป็นที่สุด
ประตูลานบ้านถูกผลักเปิดออก เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนั้นก็หยุดลง คาดว่าเจ้าหน้าที่หยุดเดินและยืนอยู่ภายในลานบ้าน
เฉิงจวิ้นหันหน้ากลับไปยังลานบ้านและตระหนักว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่มีเจตนาที่จะรายงานออกมา ดังนั้นเขาจึงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ในฐานะขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เขามีชื่อเสียงที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ความสามารถก็ใช่ย่อย เขาปกครองด้วยความเข้มงวดอย่างที่สุด หากทหารม้าชุดแดงของเขารายงานข่าวสารอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ เขาคงโยนถ้วยชาทิ้งและทำให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่อาจเคลื่อนไหวได้…
ทว่าที่นี่คือตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ไม่ใช่อาณาเขตของเขา เขาอาจดูหยาบกร้านและใจร้อนแต่ความจริงแล้วเขานั้นฉลาดมาก ย่อมไม่ตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาของโจวทงต่อหน้าโจวทง เช่นเดียวกับเมื่อครู่ที่ผ่านมาเมื่อยามที่เขารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่กรมอาญาที่หักนิ้วก้อยตนเองนั้นได้รับการลงโทษน้อยเกินไปแต่ก็ไม่พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงรักษาท่าทีเอาไว้ในตอนนี้
แต่ชั่วขณะต่อมา เขาก็พบว่าตนไม่อาจรักษาท่าทีเอาไว้อีกต่อไป
เพราะเจ้าหน้าที่ในลานบ้านได้เงยหน้าขึ้นมา
เป็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์มาก
เฉิงจวิ้นยืนขึ้นด้วยความตกใจ
โจวทงหันกายไปทางลานบ้าน ดวงตาหรี่ลงและความเย็นเยียบไหลไปทั่วร่าง
เฉินฉางเซิง
ผู้มาคือเฉินฉางเซิง
ทั่วทั้งจิงตูกำลังค้นหาเขา แต่พวกเขาค้นหามาทั้งคืนก็ยังไม่มีใครหาร่องรอยของเขาพบ
นักฆ่ามือสังหารจากกรมอาญาค้นหาเขาไปทั่วทุกที่แต่เขากลับมาปรากฏตัวที่สำนักงานกรมอาญา!
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
โจวทงจ้องมองชายหนุ่มอย่างเงียบงัน ไม่กล่าวอะไรออกมาและวางถ้วยชาลงช้าๆ
ชาต้าหงเผาในถ้วยตอนนี้ถูกต้มนานเกินไป สีชาจึงเข้มดุจโลหิต
เฉินฉางเซิงมองกลับไปเงียบๆ มือขวายกขึ้นจับด้ามกระบี่ท่ามกลางสายลมฤดูสารท
ในคืนฤดูสารทที่เหมือนจะยาวนานไร้สิ้นสุดนี้ โจงทงได้ค้นหาตัวเขาอย่างไม่ลดละ หวังจะสังหารเขา
กลับกลายเป็นว่าเขาเองก็ค้นหาโจวทงและต้องการจะสังหารเช่นเดียวกัน