ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 115 สังหารโจว (ต้นฤดูกาลแรก)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในลานบ้าน จ้องมองคนทั้งสองที่อยู่ภายใน เขาเคยพบกับโจวทงมาหลายครั้ง ทว่าไม่รู้จักดีนัก ส่วนอีกคนนั้นเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่ก็มีคนไม่มากนักที่จะสามารถนั่งดื่มชาตรงหน้าโจวทงได้ เขาพอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร จึงมีเหตุผลที่จะสังหาร

เขามาสังหารโจวทงเพราะเขากำลังจะตาย

ก่อนตาย เขามีบางสิ่งที่ต้องการจะทำ สิ่งที่ใจเขาต้องการ นี่อาจนับเป็นความบ้าคลั่งครั้งสุดท้ายก่อนตาย หรือดอกไม้ไฟที่ส่องสว่างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายไป

เขาเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง ดังนั้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเขาก็มีศัตรูคู่ต่อสู้มากมาย แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาต้องการให้ตายไป ไม่มีความแค้นส่วนตัว ไม่มีเผ่ามารในจิงตู เหลียงเสี้ยวเซียวได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว จวงห้วนอวี่ก็ฆ่าตัวตายไปแล้วดังนั้นจึงเหลือแค่โจวทงเท่านั้น

เจ๋อซิ่วถูกขังอยู่ใจคุกโจวเป็นเวลานานและถูกทรมานเจียนตาย ในตอนนั้นเมื่อเขาเห็นบาดแผลบนร่างเจ๋อซิ่ว เขาก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องสังหารโจวทง

ผู้คนในสำนักฝึกหลวงรู้ว่าเจ๋อซิ่วอยู่ในจิงตูต่อไปก็เพราะต้องการจะทำเรื่องนี้เช่นกัน เฉินฉางเซิงตัดสินใจจะทำเรื่องนี้แทนเพราะว่าโจวทงทรมานเจ๋อซิ่งเพราะเขาเกี่ยวข้องกับสำนักฝึกหลวง นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอีกมากมายที่จะสังหารโจวทง แต่ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ผลที่สุดแล้วก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการจะทำ

เฉินฉางเซิงแค่ต้องการให้คนเช่นโจวทงตายไป

ในโลกนี้มีคนนับไม่ถ้วนอยากให้โจวทงตาย และพวกเขาก็มุ่งหมายมาหลายปีแล้วแต่ก็ทำได้เพียงมุ่งหมาย ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ

เฉินฉางเซิงกล้า

เขาทำตามแผนที่เจ๋อซิ่วคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซ่อนตัวอยู่ใต้รถม้าเพื่อที่จะผ่านจุดตรวจมาได้อย่างง่ายดาย ใช้ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวซ่อนตัวจากสุนัขดำสามหัวอันชั่วร้ายและน่ากลัว ไม่ไปสัมผัสถูกค่ายกลภายในคุกโจว ในที่สุดก็สามารถมาถึงลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้ มาอยู่ตรงหน้าโจวทง แต่เขาจะสังหารได้หรือไม่

โจวทงนั้นน่ากลัวมิใช่เพียงเพราะลักษณะนิสัยหรือวิธีการ หลายปีที่ผ่านมาเขาได้กวาดล้างจวนอ๋องไปมากมายและได้รับตำราวิชาลับมากมาย การบำเพ็ญเพียรของเขาบรรลุระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงมานานแล้ว ถึงกับมีข่าวลือว่าเขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว และวิชาสนอบโรหิตอันลึกลับของเขาก็น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด! นับตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก้าวขึ้นสู่อำนาจแต่ยังไม่ได้ครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ ราชวงศ์ได้ส่งยอดฝีมือนับไม่ถ้วน และผู้มีจิตสูงส่งมากมายที่สาบานว่าจะล้างแค้นให้ผู้บริสุทธิ์ที่ตายอย่างน่าอนาถในคุกโจวได้พยายามสังหารเขา แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี

วันเวลาเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีใครสามารถสังหารโจวทงได้ ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรน่าทึ่งมากเพียงใด กระนั้นเขาก็ยังเยาว์เกินไป ระดับของเขาไม่ได้สูงเกินไปกว่าจุดสูงสุดของระดับทะลวงอเวจี และหลังจากการทะลวงผ่านล้มเหลวบนหานซาน อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี แล้วเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้บุกเข้ามาสังหารโจวทงถึงที่

เฉิงจวิ้นจ้องมองชายหนุ่มในลานบ้านพลางคิดไปถึงเรื่องเหล่านี้

เฉินฉางเซิงเองก็คิดถึงเรื่องเหล่านี้เช่นกัน

ทุกคนต่างก็มีความคิดในใจ แต่ยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในสายลมยามราตรี

ยามที่คิดเรื่องเหล่านี้ เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว เขาดึงกระบี่ไร้ราคีออกมาและผลักด้ามทั้งที่ยังอยู่ภายในฝัก

ในเมืองสวินหยางยามที่เผชิญหน้ากับจูลั่ว หวังผ้อก็ทำเช่นนี้

กระบี่สั้นยาวขึ้นนอกเหนือจากความคม ประดุจทวนในสนามรบ

นี่แสดงว่าเขานั้นระวังอย่างมากและแน่วแน่อย่างยิ่งเช่นกัน

เขาจ้องมองโจวทง

ไม่แม้แต่จะมองไปที่คนซึ่งอยู่ข้างโจวทง

เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือเฉิงจวิ้นผู้นำทหารม้าชุดแดง เป็นยอดฝีมือในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นกลาง

นี่ไม่ใช่การดูถูกฝ่ายตรงข้ามแต่เป็นการมองข้ามอย่างสิ้นเชิง

คนที่เขาต้องการสังหารคือโจวทง ใครที่ขวางกระบี่เขาต้องตาย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครหรือแข็งแกร่งเพียงไหน

เฉิงจวิ้นสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้ยังมีใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้ประสบการณ์จะสามารถแสดงท่าทีและเจตจำนงที่แน่วแน่เช่นนี้ออกมาได้ เขาไม่อยากเชื่อว่าที่ลานบ้านเล็กๆ ภายในกรมอาญาแห่งนี้จะมีคนกล้าแสดงจิตสังหารต่อโจวทงออกมา

จิตสังหารนี้ไม่ได้พุ่งมาที่ตัวเขา แต่เขาก็อยู่ข้างกายโจวทงและอยู่ใกล้กับเฉินฉางเซิงมากกว่าโจวทงเล็กน้อย ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงขาวซีดขึ้นมา มิใช่เพราะเขากลัวหากแต่เป็นเพราะความกังวล เพราะเขากำลังหนักใจ เพราะเขากำลังสูดหายใจลึก

เขาเป็นผู้อยู่ขั้นกลางระดับรวบรวมดวงดาวไม่กี่คนในจิงตู ตอนนี้แก่นแท้ของเขาได้เริ่มที่จะระเบิดออก เมื่อเขาหายใจเข้าต้นไห่ถังในลานบ้านก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแม้ว่าจะไม่มีกระแสลมก็ตาม

สายลมยามราตรีได้ถูกสูดเข้าสู่ปอดของเขา หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นจนตึงราวกับหน้ากลองศึก!

เสียงดุจเสียงเหยี่ยวดังขึ้นจากปลายนิ้ว! เสียงร้องนี้ฉีกผ่านท้องฟ้าราตรี ดังก้องไปทั่วคุกโจว บางทีอาจจะทั่วทุกมุมของจิงตู!

เฉิงจวิ้นรู้สึกว่าเขาไม่ควรกลัวเฉินฉางเซิง ต่อให้เป็นว่าที่สังฆราชก็ตาม เฉินฉางเซิงยังเยาว์เกินไป แม้ว่าการบำเพ็ญของเขาจะสูงมากเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน แต่ก็ยังต่ำต้อยกว่าเฉิงจวิ้น อาการบาดเจ็บของเขาก็น่าจะยังไม่หายดี…แต่เฉิงจวิ้นก็ยังรู้สึกกลัวตายอย่างยิ่ง

ในฐานะผู้นำทหารม้าชุดแดงของต้าโจว เขาได้ทำงานร่วมกับโจวทงมานานหลายปี รับคำสั่งจากจักรพรรดินีหรืออ้างคำสั่งจักรพรรดินี สังหารอ๋องและขุนนาง นักพรต บัณฑิต พ่อค้าร่ำรวยและประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย เขาได้เห็นคนตายมามากมายเกินไป ดังนั้นเขาจึงหวาดกลัวความตายมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังฉลาดอย่างมาก เป็นคนที่รู้ตำแหน่งของตัวเองดี เขาไม่เคยมองข้ามคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบ ทุกคนกล่าวว่าเฉินฉางเซิงนั้นล้มเหลวในการทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาวที่หานซาน แต่เขาก็ยังเป็นว่าทีสังฆราช เป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้ เฉิงจวิ้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะมองเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างนับถือ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะส่งเสียงร้องนี้ออกมาเพื่อบอกแก่จิงตู

ครั้นเสียงร้องนี้ดังขึ้น เฉินฉางเซิงก็เคลื่อนไหว!

ยังไม่ทันที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ส้นรองเท้าก็ได้ทำให้พื้นหินแหลกไปแล้ว ส่งเศษหินกระเด็นไปตัดผ่านเสียงร้องเหลือไว้แต่เสียงหวือๆ

ร่างเขาหายไปในทันที พุ่งขึ้นไปบนบันไดหินราวกับลูกศรพร้อมเสียงดังก้อง กระบี่ในมือแทงตรงออกไป

ชิ้ง!

เสียงกระบี่อันบริสุทธิ์ไร้ซึ่งเสียงอื่นเจือปนฟังดูสะอาดอย่างยิ่ง

เพราะกระบี่นี้แทงออกไปตรงๆ โดยไม่มีการผันแปรแม้แต่น้อย

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการโจมตีนี้ไม่มีลูกเล่นอะไรเลย

แม้เพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงร่ำเรียนมาจากซูหลี แต่ก็มาจากการสร้างเสริมของเขาเอง หลังจากการต่อสู้ในลมฝนเมืองสวินหยางและหลังจากการต่อสู้หลายสิบครั้งหน้าสำนักฝึกหลวงเมื่อฤดูสารทปีกลาย รวมถึงการต่อสู้กับสวีโหย่วหรงบนสะพานหน่ายเหอ ทั่วทั้งต้าลู่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่และได้บรรลุถึงระดับที่ทำให้ทั่งโลกต้องสั่นสะเทือน หากมิใช่เพราะยังเยาว์ เขาคงถูกนับเป็นยอดมือกระบี่ไปแล้ว

แต่การสังหารโจวทงในคืนนี้ การโจมตีแรกของเขากลับเรียบง่ายอย่างมากจนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพลงกระบี่ มันตรงนิ่งหาใดเปรียบ รวดเร็วหาใดเปรียบ เฉกเช่นเส้นตรงที่วาดขึ้นจากแสงตะเกียงที่สาดส่องระหว่างห้องกับลานบ้านและที่ปลายของเส้นตรงนั้นก็คือโจวทง

ในตอนนั้น เฉิงจวิ้นยังยืนอยู่ระหว่างกลาง การโจมตีของเฉินฉางเซิงนั้นรวดเร็วมาก แหลมคมมาก แต่สำหรับยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวขั้นกลางอย่างเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือแม้แต่น้อย เขาสามารถใช้วิชาตัวเบาหลบกระบี่และโจมตีกลับ แน่นอนว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือใช้เขตแดนดวงดาวรับกระบี่นี้อย่างมั่นคง

แต่เฉิงจวิ้นเลือกที่จะหลบอย่างไม่ลังเล

เพราะเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นน่ากลัวเกินไป แหลมคมเกินไป

แสงโคมสีเหลืองภายในห้องพลันหม่นมัวลงในทันทีเมื่อเฉิงจวิ้นเคลื่อนกายไปทางขวาราวกับหมอกควันเพื่อหลบกระบี่นี้ ใบหน้าเขาซีดขาว สีหน้าค่อนข้างตื่นตระหนก

นี่เป็นภาพที่เฉินฉางเซิงอยากเห็นมากที่สุด

เขาไม่เคยคิดว่าการโจมตีนี้จะสามารถสังหารชายผู้นี้ได้ และกระบี่นี้ก็ไม่เคยคิดที่จะแทงชายผู้นี้ เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีชื่อแซ่อะไร แต่เขาไม่สนใจถ้าหากจำเป็นต้องแทงให้ตาย แต่หากการโจมตีนี้ที่บรรจุไว้ด้วยพลังทั้งหมดของเขาต้องลงเอยที่ร่างผู้ชายคนนี้ก็คงเป็นการเสียเปล่าอย่างที่สุด

กระบี่นี้ควรจะตกไปบนร่างของโจวทง

อาจเพราะแสงจากกระบี่นั้นเจิดจ้าเกินไป แสงสลัวจากโคมไฟภายในห้องจึงดูสว่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน

โจวทงมองกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่ซีดขาวกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือกังวลแต่เป็นเพราะความชิงชังและโกรธเกรี้ยว

เขารู้ดีว่ากระบี่ที่ดูธรรมดาของเฉินฉางเซิงนั้นอันที่จริงแล้วไม่ธรรมดา บรรจุไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่นับไม่ถ้วน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและประณีตอย่างที่สุด บรรจุเอาไว้ซึ่งความเข้าใจทั้งหมดที่เฉินฉางเซิงมีในวิถีกระบี่ แม้แต่เขาก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะมองมันออกได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลหรือสนใจแม้แต่น้อย เขายังสงบและมั่นใจดังเช่นเคย

เพราะว่าการบำเพ็ญของเขากับเฉินฉางเซิงนั้นมีระยะห่างที่กว้างใหญ่เกินไป ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีความก้าวหน้าในวิถีกระบี่มากมายเพียงใด ก็ไม่อาจทดแทนความแตกต่างนี้ได้

เขาย่อมไม่อาจเทียบกับเฉินฉางเซิงได้ในแง่ของวิถีกระบี่ แต่เขาย่อมไม่ปล่อยให้พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในกระบี่ตรงของเฉินฉางเซิงมีโอกาสได้ใช้กระบวนท่าที่ตามมา เขาเลือกที่จะใช้การบำเพ็ญตนที่ยากหยั่งถึงของเขาถล่มเข้าใส่เฉินฉางเซิงให้แหลกเป็นเศษวิญญาณท่ามกลางทะเลโลหิต

เสียงดังปังสะท้อนไปทั่วห้อง

นี่เป็นเสียงที่นิ้วขาวซีดของโจวทงเคาะใส่ถ้วยชา

ถ้วยลายครามกระทบกับปลายนิ้วที่เคยควักดวงตามาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เสียงกระทบที่ดังขึ้นนั้นกระจ่างใสอย่างที่สุด

น้ำชาภายในถ้วยเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา

ชานี้เป็นบรรณาการจากแดนใต้ ต้าหงเผาอย่างดีที่สุด

ชาในคื้นนี้ถูกต้มนานเกินไป จนมีสีเข้มดุจโลหิต

วงคลื่นของชานี้จึงดูประหนึ่งคลื่นที่ลอยตัวขึ้นมาจากทะเลเลือด

แสงภายในห้องพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน

ทะเลเลือดที่ปรากฏขึ้นในห้อง ถ้วยชาและกาน้ำชาล้วนจมอยู่ในเลือด กลิ่นคาวเลือดลอยขึ้นมาท่ามกลางทะเลเลือด แผ่กำจายไปทั่วบริเวณ แม้แต่ใบสีเขียวของต้นไห่ถังในลานบ้านก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ราวกับว่าถูกราดรดด้วยโลหิตมาเป็นเวลาชั่วนาตาปี

ในโลกแห่งโลหิตนี้ ใบหน้าขาวซีดของโจวทงดูน่าหวาดกลัวอย่างประหลาด

ในชั่วลมหายใจเดียว สัมผัสวิญญาณของเขาก็ได้ปิดล้อมพื้นที่หลายร้อยจั้งเอาไว้ เปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นทะเลเลือด

ทะเลเลือดนี้ชุ่มโชกชุดขุนนางสีแดงของเขา ทำให้มันมีสีแดงยิ่งขึ้นจนน่าหวาดกลัว

ภายในทะเลเลือด เหมือนกับว่ามีวิญญาณนับไม่ถ้วนร้องขอความช่วยเหลือและสาปแช่ง

กระบี่ของเฉินฉางเซิงยังอยู่ห่างจากโจวทงอยู่สามฉื่อทว่าเสียงพวกนี้ได้มาถึงหูของเขาแล้ว

ครั้นเขาได้ยินเสียงอันทุกข์ทรมานเหล่านี้ ไอพลังปราณที่แข็งแกร่งน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและความเจ็บปวดก็ทะลวงเข้ามาในห้วงแห่งจิต!

นี่เป็นวิชาโจมตีจิตใจที่น่าเกรงขามที่สุดของโจวทง สนอบโรหิต!

……