ตอนที่ 892 เรื่องราวใหญ่โต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 892 เรื่องราวใหญ่โต

อดีตอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์อู๋ทั้งสองคนเดินทางไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว

สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ณ ที่ราบหลีลั่วก็โยกย้ายไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว

แม้แต่ทหารดาบเทวะกองทัพที่สามก็ได้ย้ายฐานทัพมายังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว

แน่นอนว่าเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้มิอาจปิดบังชาวอู๋ทั้งหลายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ค้าขายที่จมูกไวกว่าผู้ใด

เหล่าผู้ค้าขายรับรู้ได้ทันทีว่าที่หกรัฐแห่งเป่ยเซียวจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ เพียงแต่พวกเขามิทราบว่าเป็นเรื่องใด

ต่อจากนั้น ข่าวที่ฝ่าบาทเสด็จไปยังเขตซื่อหยางก็ได้แพร่สะพัดออกไป มิกี่วันต่อมาก็ได้ยินข่าวอีกว่าโหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังได้พาคนจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังรัฐหยู่โจว

และยังได้ยินมาอีกว่าคุณชายจากตระกูลซือหม่า ตระกูลหาน ตระกูลหวางซุน ตระกูลโจ่งและตระกูลหยูได้เดินทางไปยังหยู่โจวด้วยเช่นกัน

เมื่อนึกถึงโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋ก็เหมือนจะมีเพียงหกรัฐแห่งเป่ยเซียวที่มิได้มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้นเลย อีกทั้งการที่ฝ่าบาทเสด็จไปด้วยพระองค์เอง ทำให้น้ำนิ่งเกิดคลื่นขึ้นมาเนื่องจากมีหินก้อนใหญ่ถูกโยนลงไป ระลอกคลื่นนั้นได้ซัดซาดไปทั่วทั้งราชวงศ์อู๋เลยทีเดียว

บรรดาพ่อค้านั่งมิติดเพราะสัญญาณชัดเจนเป็นอย่างยิ่งนัก การกระทำต่าง ๆ เหล่านี้สื่อให้เห็นว่าที่หยู่โจวจะมีการเคลื่อนไหวคราใหญ่เกิดขึ้น !

อีกทั้งยังเป็นการเคลื่อนไหวที่ฝ่าบาททรงดำเนินการด้วยพระองค์เอง !

นี่คือโอกาสทางการค้ามากมายเพียงใด ?

ดังนั้น สายตาของผู้ค้าขายในราชวงศ์อู๋จึงจับจ้องไปยังรัฐหยู่โจว บัดนี้บรรดาผู้ค้าแต่ละตระกูลในราชวงศ์อู๋ก็ได้ดำเนินแผนการค้าขายจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว รวมถึงสินค้าก็ได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย

พวกเขาจึงมีเวลาเหลือเฟือในการปลีกตัวออกมาสำรวจ ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปกอบโกยจากหกรัฐแห่งเป่ยเซียวเพิ่มสักหน่อยแล้ว

ถนนจากทั่วสารทิศพุ่งตรงมายังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว เดิมทีแทบจะมิพบเห็นผู้คนสัญจรผ่านกันไปมา ทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยมนุษย์และรถม้าราวกับสายน้ำไหลหลาก เช่นเดียวกับครานั้นที่พ่อค้าในราชวงศ์หยูได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า

นอกจากหลัวปิงหลิงจือโจวแห่งหยู่โจวและเจียงซั่งนายอำเภอเขตซื่อหยางแล้ว ผู้ที่รู้ซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในครานี้ก็น่าจะเป็นผู้ค้าขายในเมืองซื่อหยาง

เดิมทีชาวเมืองซื่อหยางใกล้จะอดตายเต็มทีแล้ว อีกทั้งยังมีประชากรจำนวนมากที่ได้พากันอพยพออกไป

หยางฮวาเถ้าแก่เนี้ยแห่งโรงเตี๊ยมซื่อหยางมีสีหน้าเบิกบานใจมากยิ่งนัก เนื่องจากพระบารมีของฝ่าบาทช่างเจิดจรัสเสียจริง !

ฝ่าบาทประทับอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หนึ่งคืน บัดนี้ที่โรงเตี๊ยมมีแขกเข้าพักมิขาดสาย ดังเช่นเช้าวันนี้ห้องพักถูกจองหมดทุกห้อง มิเหลือห้องว่างแม้แต่ห้องเดียว !

นี่คือสถานการณ์ใดกัน ? ก่อนหน้านี้ต่อให้มีพ่อค้าเดินทางมาจำนวนมากก็มิเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

แล้วบัดนี้เป็นเพราะเหตุใด ?

นางมิเคยได้ยินว่าที่เขตซื่อหยางมีการค้าใดน่าสนใจเลยนี่ !

หรือคนเหล่านี้เดินทางมาเพื่อชื่นชมพระบารมีของฝ่าบาทกัน ?

“พ่อค้าหวาง ท่านช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเขตซื่อหยางของเราเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ? ”

“หยางฮวา ข้ามีนามว่าหวางหยวนว่าย ! แม้ข้าจะเคยช่วยผู้อื่นซื้อและขายของมาก่อน แต่มิได้หมายความว่าข้าจะเป็นพ่อค้าไปตลอดชีวิตนะ ! ”

หยางฮวาสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือ “ไอหยา… ท่านหวางหยวนว่าย ท่านเดินทางออกจากเขตซื่อหยางไปได้นานเท่าใดกันเชียว ? บัดนี้ร่ำรวยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฮึ ๆ ! ” หวางหยวนว่ายสะบัดชุดผ้าไหมที่ตนเองสวมใส่ จากนั้นก็ยกน้ำชาขึ้นดื่มพลางจ้องมองไปยังหยางฮวา “เมื่อปีกลายข้าได้เสนอให้เจ้าปิดโรงเตี๊ยมแห่งนี้เพื่อออกไปดูโลกภายนอกเสียบ้าง ทว่าเจ้าก็มิเชื่อ ข้าสามารถหาเงินมาได้จำนวนหนึ่ง อาจจะมิมากมายแต่ก็ได้ปีละ 300 ตำลึง”

หวางหยวนว่ายมิได้ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหยางฮวาทำท่าทางประหลาดใจ เขารู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งนัก อีกทั้งยืดอกเอ่ยต่ออีกว่า “มิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? เรือนที่เมืองกวนหยุนข้ายังมิมีปัญญาซื้อ แต่ข้าได้ซื้อเรือนที่ชิงหัวโจวเอาไว้ 1 หลัง เงินที่นำไปซื้อเรือนได้มาจากการค้ารังไหม”

“เดิมทีข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงมิกลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว แต่คาดมิถึงว่าเจ้านายของข้าอยากมายังเขตซื่อหยาง เขาจึงให้ข้าช่วยนำทางมายังสถานที่แห่งนี้”

หยางฮวารู้สึกอิจฉามากยิ่งนัก พ่อค้าหวางผู้นี้อดีตได้บากหน้าออกไปขายของในท้องถนนเพื่อหาเลี้ยงชีพ หนึ่งปีหากมีรายได้ 10 ตำลึงก็ดีใจเสียจนนอนมิหลับแล้ว เขาเพิ่งเดินทางออกจากเขตซื่อหยางได้เพียง 1 ปีเท่านั้น คาดมิถึงว่าจะสามารถทำเงินได้ถึงปีละ 300 ตำลึงแล้ว…มันเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว !

“หยางฮวา ข้าว่าเจ้าขายโรงเตี๊ยมนี้ทิ้งเสียเถิด เพราะโลกภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขตซื่อหยางมีอันใดดีกันเล่า ? นอกจากแต่ละวันต้องทนตากแดดตากลมแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับหิมะขาวโพลนในฤดูหนาวอีก บัดนี้ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง ข้าจะพาเจ้าไปทำการค้ารังไหมที่ชิงหัวโจว เยี่ยงไรเสีย 1 ปีก็ได้เงินมากกว่า 180 ตำลึง”

ในขณะที่หยางฮวากำลังใจเต้นรัวอยู่นั้น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามก็ได้หันหน้ามาทางนาง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่เนี้ย อย่าได้หลงเชื่อคำที่เขาเอ่ยเชียว แม้ที่อื่นจะสามารถทำเงินได้มากมายจริง แต่เขาผิดที่มิรู้ว่าเขตซื่อหยางกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครายิ่งใหญ่”

“น้องชายท่านนี้ ข้าเกิดและเติบโตในเขตซื่อหยาง ความรุ่งเรืองในตอนนี้เป็นจริงแล้วหรือ ? หากจะให้เอ่ยแบบมิน่าฟังก็คือเมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จกลับไปแล้ว เขตซื่อหยางก็จะเงียบเหงาดังเดิม ผู้คนเหล่านี้มาเพียงเพื่อหวังเอาอกเอาใจองค์จักรพรรดิเท่านั้น ท่านคิดว่าที่เขตซื่อหยางมีตุ๊กตาทองคำหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือกงซุนเซ่อผู้ที่หยุนซีเหยียนคำนึงหานั่นเอง !

เขาเดินทางมาจากเมืองว่อเฟิง เดิมทีตั้งใจจะไปยังเมืองกวนหยุนแต่ระหว่างทางได้ยินชาวบ้านลือกันว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่เขตซื่อหยาง ณ หกรัฐแห่งเป่ยเซียว ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับและเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้

แม้เขาจะมิทราบแน่ชัดว่าที่เขตซื่อหยางจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดขึ้น ทว่าจากนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนที่เขารู้จัก นี่เป็นการบ่งชี้ให้เห็นแล้วว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องเกิดการพัฒนาอย่างแน่นอน !

ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อืม…ที่เขตซื่อหยางมีตุ๊กตาทองคำปรากฏขึ้นจริง ท่านคิดว่าพ่อค้ามากมายเหล่านี้เดินทางมาเพื่อสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? หากมิเชื่อก็ลองไปเอ่ยถามเจ้านายของท่านดูเถิด หากมิใช่ว่ามีโอกาสทางการค้ามหาศาล พ่อค้าเหล่านี้จะกรูกันเข้ามาเพื่ออันใดกัน ? ”

“เถ้าแก่เนี้ย” กงซุนเซ่อหันไปมองทางหยางฮวา “โรงเตี๊ยมของท่านจะมีผู้คนเข้ามาพักอาศัยมากมายในอนาคต หากมิเชื่อ…ก็รอดูเถิด”

หยางฮวาทำท่าครุ่นคิด พ่อหนุ่มผู้นี้เอ่ยได้มีเหตุมีผลมากยิ่งนัก

หากบรรดาขุนนางเดินทางเข้ามามากมายเพื่อเอาอกเอาใจองค์จักรพรรดิก็ยังพอเป็นไปได้ แต่บัดนี้ผู้ที่เดินทางเข้ามาล้วนเป็นพ่อค้าเสียส่วนมาก !

พวกเขามิจำเป็นต้องเอาอกเอาใจองค์จักรพรรดิ พวกเขาสนใจเพียงเรื่องเงินทองและผลกำไรเท่านั้น !

ว่าแต่ที่เขตซื่อหยางนี้มีการค้าอันใดน่าลงทุนกัน ?

หยางฮวามิรู้และมิเข้าใจเอาเสียเลย

“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เอาเป็นว่าข้าทำเงินจากที่อื่นได้มากกว่าที่นี่”

หยางฮวาครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยกับหวางหยวนว่ายว่า “ข้าเป็นสตรี จะให้ออกไปทำการค้าเพียงลำพังก็เกรงว่าจะมิเหมาะสมเท่าใดนัก ที่โรงเตี๊ยมนี้ก็เปิดกิจการมาหลายปีแล้ว หากขายทิ้งก็คงเสียดายแย่ สู้รอดูอีกสักหน่อยมิดีกว่าหรือ”

ทันใดนั้นก็มีพ่อค้าคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ทว่ากลับยิ้มแย้มแจ่มใส “เถ้าแก่เนี้ย ขอน้ำชาเย็น ๆ หนึ่งถ้วย”

“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”

“วันนี้เขตซื่อหยางได้ประกาศแล้วว่าจะขยายเมืองซื่อหยาง ในประกาศกล่าวว่าสร้างเมืองที่สามารถรองรับผู้คนได้ราว 200,000 คน ! กรมโยธาธิการกำลังออกสำรวจอยู่ คาดว่าต่อมาจะมีการประมูลในมิช้า… เจ้าสิ่งนี้เป็นของแปลกใหม่ ข้าต้องศึกษาสักหน่อย หากได้มาสักโครงการก็คงมิเดินทางมาเสียเปล่าแล้ว”

หยางฮวารีบยืดตัวขึ้นพร้อมกับเบิกตากว้าง “ท่านว่าเยี่ยงไรนะเจ้าคะ ? ”

ด้านกงซุนเซ่อที่ได้ฟังก็พลันยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มนี้ช่างเป็นเอกลักษณ์ของเขาเสียจริง !

เขายังคงเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองถึงเพียงนี้ !

จากนั้นกงซุนเซ่อก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปท่ามกลางแสงสุริยาแผดเผา สายตาจดจ้องไปยังพื้นธรณีร้อนระอุแห้งผากพลางนึกในใจว่า ให้เวลาอย่างมาก 3 ปี สถานที่แห่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน