ตอนที่ 893 ฝ่าบาทมิว่าง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 893 ฝ่าบาทมิว่าง

แสงสุริยาแผดเผาอย่างมิปราณี

ภายในห้องซีเซียงด้านหลังสำนักงานเขตซื่อหยางร้อนราวกับเรือที่โดนไฟเผาก็มิปาน

เสี่ยวฉีนำแตงโมแช่น้ำจนเย็น จากนั้นก็นำขึ้นมาแล้วตัดเป็นชิ้นพอดีคำ นางนำเข้าไปให้ที่ห้องซีเซียง พลันเห็นกลุ่มศีรษะสุมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน และได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า “เฝิงหล่าวซื่อ สิ่งนี้มีกระบวนการมิต่างจากการกลั่นสุราสักเท่าใดนัก ส่วนที่มิเหมือนกันคือต้องสร้างหอกลั่นขนาดใหญ่”

“หลังจากที่น้ำมันปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบผ่านการกลั่นด้วยอุณหภูมิสูงจากหอกลั่น ไอร้อนที่ลอยขึ้นไปเมื่อได้รับความเย็นก็จะกลั่นตัวเป็นของเหลวตกลงบนภาชนะรองรับซึ่งจัดเรียงเป็นชั้น ๆ หลายสิบชั้นในหอกลั่น โดยไอร้อนจะกลั่นตัวเป็นของเหลวตกในชั้นใดก็ขึ้นอยู่กับช่วงจุดเดือดของส่วนนั้น ชั้นบนสุดของหอกลั่นจะมีอุณหภูมิต่ำสุดเป็นส่วนของก๊าซหุงต้ม รองลงมาอุณหภูมิจะสูงขึ้นเป็นส่วนของน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าดและน้ำมันดีเซลตามลำดับ น้ำมันก๊าดสามารถใช้จุดไฟในการให้แสงสว่างได้ ส่วนเบนซิน…เรียกว่าน้ำมันเบนซิน ของสิ่งนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก และจะต้องกักเก็บเอาไว้ทั้งหมด”

“ฉินเฉิงเย่ เมื่อมีน้ำมันเบนซินแล้วเครื่องจักรไอน้ำของสำนักวิทยาศาสตร์จะสามารถยกระดับเป็นเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในได้ ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายถึงเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในนี้เป็นการส่วนตัว”

“สิ่งที่พวกเจ้าต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือ มิว่าจะเป็นน้ำมันชนิดใดก็กลัวไฟทั้งสิ้น เพื่อป้องกันการปะทุอย่างรุนแรงจึงต้องสร้างหอกลั่นให้ห่างจากบ่อน้ำมันพอสมควรและต้องสร้างกำแพงป้องกันไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการจุดไฟที่บ่อน้ำมัน มิเช่นนั้นจะเกิดหายนะคราใหญ่ ! ”

“……”

เสี่ยวฉีเฝ้ามองอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง นางได้เห็นภาพแบบนี้เป็นวันที่สามแล้ว

ในสามวันนี้ ฝ่าบาททรงอธิบายให้พวกเขาอย่างมิรู้จักเหน็ดจักเหนื่อย วาดภาพให้พวกเขาและคอยเตือนเรื่องปัญหาด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ มองดูแล้วฝ่าบาททรงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เหงื่อของพระองค์ไหลท่วมพระวรกายราวกับเพิ่งวิ่งผ่านสายฝนมา ทว่าพระองค์กลับไร้โทสะแต่อย่างใด ราวกับกลัวว่าถ้าตกหล่นสิ่งใดไปจะทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวไปโดยปริยาย

เพื่อสิ่งมหัศจรรย์นี้แล้ว ฝ่าบาทถึงขั้นผลักท่านราชเลขาจัว ท่านที่ปรึกษาหนานกงและขุนนางคนอื่น ๆ ออกไปก่อน พวกเขาล้วนถูกเมินเฉยมา 5 วันแล้ว เกรงว่าพวกเขาต้องรอจนกว่าฝ่าบาทจะอธิบายเรื่องน้ำมันปิโตรเลียมจนหมดสิ้นและรอให้พวกของคุณชายฉินเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน ฝ่าบาทถึงจะให้ความสนพระทัยผู้อาวุโสเหล่านั้น

เสี่ยวฉีนำแตงโมเข้าไปให้ ฟู่เสี่ยวกวนหยิบขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น “ฟู่ว…ร้อนเกินไปแล้ว มามามา มาทานกัน” เขาเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวฉี “ใช่ ! เสี่ยวฉี เจ้านำแตงโมไปให้พวกใต้เท้าจัวที่อยู่ห้องข้าง ๆ ด้วย”

“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”

บนใบหน้าของเสี่ยวฉีมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาทันที นางหันหลังเดินออกไป สองหูได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “สิ่งที่เรียกว่าเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในคือการให้เชื้อเพลิงทำการเผาไหม้อยู่ภายในเครื่องยนต์ เป็นเช่นนี้…”

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก พวกเขาวิ่งมาที่เขตซื่อหยางด้วยความตื่นเต้น สุดท้ายฝ่าบาทก็มิได้ประทับอยู่ที่เขตซื่อหยางเพราะเดินทางไปยังเขตชื่อที่อยู่ถัดไป

พวกเขารั้งรออยู่ที่เขตซื่อหยางได้ 5 วันแล้ว รอจนผู้ค้าขายเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ทั้งยังมีทหารดาบเทวะกองทัพที่สามจำนวน 100,000 นายโดยการนำของเฉินป๋อ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติเดินทางมายังเขตซื่อหยางอีกด้วย

ในที่สุดฝ่าบาทก็กลับมาเสียที ทว่าพระองค์ทำเพียงทักทายพวกเขาเท่านั้น พระองค์บอกให้พวกเขารอไปก่อน แต่จนถึงบัดนี้พวกเขาได้รั้งรอฝ่าบาทมา 3 วันแล้ว

ฝ่าบาทสนทนากับคนของสำนักวิทยาศาสตร์ที่ห้องนั้นทั้งวันทั้งคืน สิ่งที่สนทนากันก็คือบึงดำของเขตซื่อหยาง ฝ่าบาทตรัสว่าสิ่งนั้นคือน้ำมันปิโตรเลียม เป็นน้ำมันที่ไหลมาจากรอยร้าวของหินใช่หรือไม่ ?

พวกเขามิเข้าใจสักเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของฝ่าบาทก็เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้เป็นของดี

เอาเถิด ถึงเยี่ยงไรลูกไม้ของฝ่าบาทก็ไร้ที่สิ้นสุด เพียงคอยดูว่าการเคลื่อนไหวคราใหญ่นี้ จะสร้างสิ่งใดออกมาอีกกัน

วันนี้แม้แต่เสนาบดีกรมคลังโหยวเซียนจือก็ได้เดินทางมาถึงแล้ว

“ใต้เท้าทั้งสอง ครานี้ฝ่าบาททรงใช้เงินจำนวนมหาศาล ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้ข้าน้อยเตรียมทองคำจำนวน 10 ล้านตำลึง โดยสั่งให้ธนาคารซื่อทงออกตั๋วเงินจำนวน 100 ล้านตำลึงให้แก่กรมคลัง…”

โหยวเซียนจือรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เขามองไปทางเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “นี่คือยอดรวมภาษีรายได้ในสองปีที่ผ่านมาของราชวงศ์อู๋ หากมิมีทองจำนวนมากกลับคืนสู่ท้องพระคลังและทันทีที่เงินจำนวนนี้ถูกปล่อยออกไปแล้วเกิดอุทกภัยขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาในภายหลังคงยากที่จะจินตนาการถึงได้ ! ”

“งบประมาณจากหลัวปิงหลิงจือโจวแห่งรัฐหยู่โจวออกมาแล้วหรือยัง ? ” หนานกงอี้หยู่ถามกลับ

“ออกมาแล้วขอรับ การสร้างถนนจากเขตชื่อไปถึงเขตซื่อหยาง คิดเป็นระยะทาง 560 ลี้ ฝ่าบาททรงเร่งรัดมาจึงจำต้องให้อีก 2 รัฐรับสมัครคนงานจำนวน 500,000 คน ระยะเวลาก่อสร้างประมาณไว้ที่ 4 เดือน อย่างช้าที่สุดก็ต้องแล้วเสร็จในต้นเดือนสิบ มิเช่นนั้นจะถึงช่วงหิมะตกหนักจนเกินความสามารถในการทำงานได้ แค่เงินก่อสร้างก็มียอดประมาณการอยู่ที่ 1,200,000 ตำลึงแล้ว เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายพวกเครื่องมือ วัสดุและอื่น ๆ ยอดรวมก็ราว ๆ 2 ล้านกว่าตำลึงขอรับ”

ฟังดูแล้วเหมือนจะมิมากแต่อย่างใด

เพราะตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้ใช้เงินจำนวนมากจนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

เมื่อมองจากเขตการค้าเสรีด่านต้ายู่ที่อยู่ติดกับแคว้นอี๋ เพียงฝ่าบาทตวัดปลายนิ้ว เงินก็ลดลงไปถึง 10 ล้านตำลึงและมีเมืองที่ใหม่เอี่ยมผุดขึ้นมาจากผืนปฐพีอีกมากมาย

ดูห้ารัฐซียู่เยี่ยงรัฐเหอซีนั่นสิ เมื่อฝ่าบาททรงประทับตราอีกครา เงิน 8 ล้านตำลึงก็ได้ตกไปที่เมืองเป่ยจวิ้นแล้ว

ดังนั้นมิต้องเอ่ยถึงการสร้างถนน เพราะถนนหนทางของห้ารัฐซียู่และหกรัฐแห่งเป่ยเซียวมีผู้ค้าขายยอมทนลำบากเดินทางมาน้อยมากยิ่งนัก แล้วจะแก้ไขปัญหานี้เยี่ยงไร ? ดังนั้นฝ่าบาทจึงตวัดนิ้วอนุมัติงบประมาณสำหรับการตัดถนน เพียงพริบตาเดียวเงินก็ได้หายไปจากท้องพระคลังมากถึง 30 ล้านตำลึงแล้ว

ดังนั้นนี่เป็นเพียงเงิน 2 ล้านกว่าตำลึงเท่านั้น แทบมิมีอันใดน่าเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ

โหยวเซียนจือเอ่ยต่อว่า “มิใช่ว่าฝ่าบาทเสด็จไปยังเขตชื่อมาแล้วคราหนึ่งเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ถนนเส้นนั้นเดิมทีมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เขตชื่อ แต่หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จไป ถนนเส้นนั้นก็ต้องเริ่มสร้างจากเทือกเขาชื่อซาน ! ”

“แค่จากเทือกเขาชื่อซานไปจนถึงเขตชื่อก็ต้องใช้เงินมากถึง 3 ล้านตำลึงแล้ว ! ”

“ดังนั้นถนนเส้นนี้จึงใช้งบประมาณมากถึง 5 ล้านตำลึง งบประมาณขยายเมืองซื่อหยางอยู่ที่ 3 ล้านตำลึง งบประมาณการสร้างกำแพงล้อมรอบบึงดำอยู่ที่ 2 ล้านตำลึง เงิน 10 ล้านตำลึง…ก็มิมีเหลือแล้วขอรับ”

จัวอี้สิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็คิดว่ายังดี เพราะถึงเยี่ยงไรสิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ หากโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จเมื่อใด เหล่าผู้ค้าขายย่อมมาลงทุนสร้างโรงงานยังสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน

ฝ่าบาทเคยตรัสว่าเยี่ยงไรนะ ?

อ้อ ! จำได้แล้ว พระองค์ตรัสว่าราชสำนักก่อสร้างเวที ผู้ค้าขายเล่นละคร ส่วนราษฎรคือผู้รับชม คำเอ่ยนี้สมเหตุสมผลยิ่ง

“ข้าน้อยรู้สึกว่าฝ่าบาทบัญชาให้พิมพ์ตั๋วเงินจำนวน 100 ล้านตำลึง… ทว่าสิ่งเหล่านี้ใช้งบประมาณเพียงแค่ 10 ล้านตำลึงเท่านั้น ดังนั้นธนาคารซื่อทงมิควรพิมพ์อีก 90 ล้านตำลึง ควรพิมพ์ให้น้อยลงสักหน่อยจะดีกว่าหรือไม่ ? ”

พวกเขาทราบกันดีว่า หากเงินตราล้นคลังจะทำให้ราคาของสินค้าพุ่งสูงขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหายนะ

เพียงแต่สิ่งที่พวกเขามิทราบก็คือพัฒนาการด้านเศรษฐกิจของราชวงศ์อู๋นั้นรวดเร็วจนเกินไป การไหลของเงินในตลาดจึงเร็วมิเท่าทันการเติบโตของเศรษฐกิจ ฟู่เสี่ยวกวนต้องเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง

สำหรับคำเอ่ยของโหยวเซียนจือ เสนาบดีอาวุโสทั้งสองรู้สึกว่าสมเหตุสมผลยิ่งเพราะสุดท้ายแล้วการที่น้ำค่อย ๆ ไหลรินย่อมยอดเยี่ยมกว่าการเปิดเขื่อนให้น้ำไหลทะลัก

“รอให้ฝ่าบาทจัดการเรื่องที่ห้องข้าง ๆ เสร็จแล้ว เจ้าก็ลองเสนอความคิดเห็นต่อพระองค์ดูเถิด ใช่ ! บัดนี้โจวถงถงอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หนานกงอี้หยู่เอ่ยถาม

โหยวเซียนจือส่ายหน้าไปมา “ยามที่ข้าน้อยออกมาจากเมืองกวนหยุนก็ยังมิมีข่าวคราวของใต้เท้าโจว ทว่าฝ่ายตรวจการได้ส่งขุนนางจำนวนมากไปแต่ละพื้นที่แล้ว แสดงว่าการปกครองส่วนท้องถิ่นถึงเวลาได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริงแล้วขอรับ”

เพียงหนึ่งปีกว่าที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ ใต้หล้าสงบสุข นโยบายชัดเจน ราษฎรได้รับผลประโยชน์ ทว่าขุนนางบางส่วนที่ไล่ตามฝ่าบาทมิทัน แม้พวกเขามิเคยคิดคดโกงมาก่อน แต่หากพวกเขามิสามารถปฏิบัติตามนโยบายของฝ่าบาทได้ก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่งเช่นกัน

“เพียงชั่วพริบตา เดือนหกก็ได้มาเยือนแล้ว พอกลับไปก็ต้องให้สำนักศึกษาฮ่านหลินเตรียมสอบชิวเหวยเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ”

หนึ่งหัวไชเท้าต่อหนึ่งหลุม บัดนี้ถึงเวลาดึงหัวไชเท้าออกแล้ว โพรงเปล่าที่เกิดขึ้นเหล่านั้นจำต้องมีหัวไชเท้าใหม่เข้าไปเติมเต็ม !